การเดินทางของความรู้สึก
ตอนที่ 3
หมายเหตุ: สำหรับเรื่องสั้น ในป่าแห่งความทรงจำ อาทิตย์นี้ของดเว้นไปก่อน ด้วยเหตุผลเดิม ๆ นั่นคือ แต่งไม่ทัน55 อาทิตย์นี้จึงลงเรื่องยาวเรื่องนี้ ในตอนที่ 3 ครับ สำหรับตอนที่ 3 จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน (part) จึงจะจบตอนครับ
26 พฤศจิกายน 2006, 06.46 น.
นิรุตต์ออกจากห้องพักของธเนศในรุ่งเช้าเพื่อให้เวลาธเนศได้ทบทวนก่อนตัดสินใจ เขาย้ำกลับธเนศอีกครั้งว่าให้หัวใจของเขานั้นนิ่งที่สุดในตอนเลือกจะทำอะไร เพราะผลที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจก็ย่อมต้องรับผิดชอบไม่ต่างจากสิ่งที่ฌอง ปอล ซาตท์ กล่าวไว้ว่าเสรีภาพย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบ แต่กำหนดการก็ยังคงเป็นกำหนดการ เขาจะต้องตัดสินใจให้ได้ภายในสองถึงสามวันนี้ หากเขาเลือกรับข้อเสนอของนิรุตต์ เขาจำเป็นที่จะต้องเผื่อเวลาให้มากในการเตรียมตัว โดยเฉพาะการเดินทางที่ใช้ระยะเวลานานจากกรุงเทพฯไปยังสต็อกโฮล์ม ธเนศแทบจะลุกเดินไปส่งนิรุตต์ไม่ไหวเพราะผลของการเมาที่ยังไม่สร่างดี ธเนศมองเห็นนิรุตต์คล้ายกับภาพที่ไม่ชัดเจนนักแม้เขาได้ยินคำกล่าวลาของนิรุตต์อย่างแจ้งรูหู
เขาเดินกลับไปที่เตียงนอน พยายามจะนอนต่อหลังจากนั้น แต่สิ่งที่นิรุตต์เตือนนั้นทำให้เขาคิดวนเวียนในหัว เขายอมแพ้ นอนต่อไม่ไหว ต้องลุกออกจากเตียงไปล้างหน้าและแปรงฟัน เขาใช้เวลาห้านาทีในการทำมันทั้งสองอย่าง ก่อนที่จะกระตือรือร้นพรวดออกจากห้องน้ำยังโทรศัพท์มือถือของตน ไม่ใช่เพราะเสียงเรียกเข้า หรือโทรศัพท์มือถือของเขานั้นสั่นแต่อย่างใด เขาต้องการจะจองตั๋วเครื่องบิน...
ตอนนี้บ่ายโมงแล้ว สายตาของธเนศเขม็งตรงไปยังนาฬิกาข้อมือของตน เขาโชคดีที่มีผู้โดยสารคนหนึ่งยอมเลื่อนตั๋ว พนักงานของสายการบินบอกกับเขาแบบนั้น เขาจึงได้ที่นั่งสุดท้ายของเครื่องบินลำนี้ ซึ่งจะมุ่งตรงไปยังเชียงรายรอบเวลาบ่ายสองโมง เขาเกือบมาไม่ทันเช็คอินเพราะทุกอย่างกะทันหัน เขาต้องเตรียมเสื้อผ้าสำหรับตัวเขาเผื่อเอาไว้อย่างมากสามวัน อีกทั้งเงินอีกจำนวนหนึ่งเพื่อรองรับการใช้จ่ายของเขา เขาประหม่าเล็กน้อยเพราะไม่ได้เข้ามาสนามบินมานานกว่าหกเดือนแล้ว ครั้งสุดท้ายก็หลังจากที่เขากลับมาจากการเยี่ยมครอบครัวของรินะ ไอซาวะ ทั้ง ๆ ที่ปกติตลอดช่วงเวลาที่เขาได้ทำงานเป็นอาจารย์ เขาจะต้องเดินทางโดยเครื่องบินสองถึงสามครั้งในรอบหนึ่งเดือน สนามบินดอนเมืองดูโหวงเหวงตากว่าปกติเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผู้โดยสารส่วนใหญ่จึงเป็นผู้โดยสารขาเข้ามากกว่าขาออก
หลังจากเดินเล่นไปมา เสียงตามสายจากประตูที่ห้าสิบเจ็ดประกาศเรียกขึ้นเครื่อง เขาหยิบกระเป๋าสะพายแนบตัว เขาดื่มกาแฟมาแล้วสามแก้วตั้งแต่เช้า เป็นกาแฟดำชนิดไม่ปรุงแต่งสิ่งใดเพราะธเนศคิดว่าการปรุงกาแฟด้วยน้ำตาลหรือครีมเทียมนั้นทำให้คาเฟอีนลดลง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยบอบ โดยเฉพาะขอบตาที่ช้ำเพราะเขาไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ และกินเบียร์ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เมื่อธเนศเดินเข้ามานั่งในตัวเครื่อง เขารัดเข็มขัดให้แน่น แอร์เย็นที่ส่งออกจากท่อข้างบนเป็นสิ่งที่ธเนศไม่ชอบ เพราะมันโดนหัวของธเนศอย่างหลีกเลียงไม่ได้ เขาใช้มือบิดมันเพื่อปิด เสียงของพนักงานต้อนรับบอกกับธเนศอย่างสุภาพว่าให้ปรับพนักเก้าอี้ให้ตรงก่อนที่เครื่องจะขึ้น เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
“Cabin crew prepare for takeoff.” เสียงประกาศของกัปตันเครื่อง หลังจากนั้นไม่นาน เครื่องบินเร่งระดับความเร็วขึ้นล้อของเครื่องบินเสียดสีไปกับรันเวย์ ธเนศมองออกไปนอกหน้าต่าง เครื่องทะยานสู่ฟากฟ้า ผ่านกลุ่มเมฆหลากรูปทรง ธเนศหยิบกระดาษใบหนึ่งที่พับอยู่ในกระเป๋ากางเกง เขากางมันออกมาแล้วอ่านทบทวน น้ำตาของเขาไหลออกจากเบ้าตาทั้งสองที่หมองคล้ำ แม้ว่า...แม้ว่าเขาเพิ่งเขียนมันเมื่อช่วงสายของวันนี้
.........................................................................................................................................
กุมภาพันธ์ 1998
“แม่...”
ธเนศเอ่ยชื่อเธอ แต่เขาไม่อาจนึกคำพูดใด ๆ ออก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขานึกคำพูดใดไม่ออกต่อหน้าแม่ของเขา หญิงวัยกลางคนอายุห้าสิบสองทรุดตัวลง พยุงใบหน้าของตนเองให้ฉาบด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ว่าใครก็ต่างดูออกว่าใบหน้าของเธอในตอนนั้นช่างเสแสร้ง คิ้วของเธอขมวดลง สีหน้าของเธอเรียกได้ว่าซีดเผือกก็ไม่ผิดนัก ความมัวหมองถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด ธเนศกุมมือทั้งสองของเธอไว้ เขาพยายามจะเข้มแข็ง เพราะอย่างน้อยที่สุด เขาไม่คิดว่าความเสียใจจะทำให้ทุกเรื่องนั้นดีขึ้นเลย ต่อหน้าแม่ของเขา ยิ่งเขาโศกเศร้ามากเพียงใด แม่ของเขาก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
“บอกมาเถอะลูก” เธอขอร้องธเนศ ให้พูดความจริงตามที่ตนได้มาจากนายแพทย์
หลังจากที่เธอได้ยินถ้อยคำของธเนศ เธอผ่อนคลาย ราวกับว่าความกังวลที่มีอยู่ไปอันตรธานไปโดยสิ้น เพราะอย่างน้อยที่สุด เธอล่วงรู้ในสิ่งที่คนอีกหลายคนไม่เคยรู้ เธอเหลือเวลาชีวิตอีกเพียงสี่เดือน
ในความเป็นจริง เนื้อร้ายในการตรวจพบครั้งแรก มันหายไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว เนื่องจากเธอรักษามันแต่เนิ่น ๆ ทว่าไม่มีใครรู้ว่าเนื้อร้ายในช่องท้องของเธอกลับลุกลามอีกครั้ง และตอนนี้มันก็ไปยังบางส่วนของปอดแล้ว เธออึดอัด เพราะบ่อยครั้งที่เธอไอออกมาเป็นเลือด บางครั้งเธอทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บปวด ใช่ว่าเธอจะประมาทต่ออาการเหล่านั้น เธอรู้ดีว่าวันนั้นจะต้องมาถึง แม้เป็นเวลาสามปีนับจากตอนนั้น แต่เธอกลับไม่เคยตรวจสุขภาพอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ เธอรู้ดีว่ามะเร็งจะกลับมาหาเธอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เธอเลือกที่จะไม่ดิ้นรน และยอมรับกับความเป็นจริงอันแสนเศร้าและมหัศจรรย์ไปด้วยในเวลาเดียวกัน
“ทำไมครับแม่” ธเนศรู้สึกไม่พอใจ
“ที่กรุงเทพฯ เราก็มีห้องพักขนาดใหญ่พอ แต่ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมแม่ไม่เคยบอกผมเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ๆ ทำไมแม่เลือกจะอยู่กับความเจ็บปวดได้นานขนาดนี้ ถ้าแม่อยู่กับผมที่กรุงเทพฯ แม่คงจะหายขาดไปแล้วตอนนี้ โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯมีเครื่องมือในการรักษาโรคนี้ได้หากเราเริ่มต้นมันเร็ว”
“แต่ทำไมแม่กลับเลือกอยู่แต่ในบ้านของแม่ ในอำเภอที่มีโรงพยาบาลเล็ก ๆ รักษาได้เพียงแค่ความเจ็บปวดเบื้องต้น ทำไมทุกครั้งแม่จะทำตัวเองให้ทรมาน นั่งรถไปรักษามะเร็งที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด และกลับบ้าน ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ ทั้ง ๆ ที่แม่สามารถนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้...ผมไม่เคยเข้าใจเลยนิดเดียว” ธเนศซบลงตรงอกของเธอ เขาพยายามจะเก็บความเศร้าต่อไป แต่ความอึดอันตันใจ ความโมโหที่ไม่เข้าใจแม่นั้นทำให้เขากลับรู้สึกเศร้ากว่าเดิม
แม่ของเขานั่งก้มหน้า สายตาของเธอพยายามจะจดจ้องบางสิ่งที่อยู่ลึกในใจ บางสิ่งที่เธออยู่กับมันมาตลอดทั้งชีวิต และไม่สามารถออกไปภายนอกตัวตนของเธอได้ เธอไม่ตอบ หรือบางที เธออาจไม่ได้ยินสิ่งที่ธเนศพูดกับเธอเลย หลังจากก้อมหน้า เธอเงยหน้าขึ้น จ้องมองธเนศ บุตรชายเพียงคนเดียวที่เธอมี และกล่าวกับเขาอย่างสั้น ๆ ว่า
“เรากลับบ้านกันเถอะลูก”
ธเนศตัดสินใจพักการเรียนปริญญาโทหนึ่งเทอม ตลอดเวลาสามเดือนนั้น เขาอยู่บ้านกับแม่ของเขา ธเนศรู้ดีว่าเวลาของเธอเหลืออยู่ไม่มากแล้ว เขามีมอร์ฟีนเก็บไว้พอสมควร แต่ก็ต้องไม่ให้มากเกินไป หรือน้อยเกินไป แม่ของเขามักขอร้องให้ธเนศพาเธอออกไปนอกบ้านอยู่เสมอในตลอดเดือนแรก เธอบอกกับเขาว่าเธอยังมีเรี่ยวแรงที่จะเที่ยว และอากาศเย็นอีกระลอกกำลังแผ่เข้ามา เธอบอกกับเขาว่านี่คงเป็นการใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองคนตามประสาแม่ลูกในครั้งสุดท้าย เขาตอบรับ แต่ในใจก็ยังกังวลว่าแม่ของเขาจะต้องรู้สึกทรมานมากกว่าเดิม เพราะหนทางที่ขับแล่นไปนั้นเต็มไปด้วยทางสูงชันและคดเคี้ยว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเมืองเชียงใหม่ หรืออำเภออื่น ๆ ในเชียงใหม่ ที่ที่แม่ของเขาอยากไปเที่ยวเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเธอ การนั่งรถในระยะทางยาวไกล และเวลาที่ยาวนานทำให้อาการแม่ทรุดลงเรื่อย ๆ ร่างกายของเธออ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด
ภาพทิวทัศน์ของสามเหลี่ยมทองคำคือภาพสุดท้ายที่เธอระลึกได้ เพราะหลังจากนั้นอาการป่วยของเธอก็เริ่มหนักลง แม่ของเขาเดินไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ได้แต่ลุกขึ้นจากเตียงนอน เขาต้องพยุงเธอไปนั่งอาบน้ำในห้องน้ำ และป้อนข้าวเธอในบ้าน บ่อยครั้งที่เธอไม่อยากกินอาหาร นั่นทำให้ร่างกายของแม่ซูบผอมลงไปทุกที เขาฉีดมอร์ฟีนให้เธอก่อนนอน เพื่อให้เธอหลับสบายในยามกลางคืน แต่ว่าในตอนเช้า เสียงร้องของแม่ทำให้เขาต้องตื่นขึ้นมา แม่ของเขาร้องด้วยความเจ็บปวด เนื้อร้ายได้ย่ำกรายและเผาผลาญชีวิตของเธอทีละน้อย เขาฉีดมอร์ฟีนอีกครั้ง แต่เธอก็หลับไป เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณหนึ่งเดือน เธอพยายามจะพูดคุยกับธเนศ แต่ร่างกายก็มักไม่ตอบสนอง ทุกครั้งที่เธอต้องการจะคุยกับธเนศ เธอต้องรวบรวมลมหายใจและฝืนใจในการเปล่งเสียงจากลำคอ
“แม่ครับ” ธเนศเอ่ยขึ้นมา มันเป็นคืนวันหนึ่งในเดือนเมษาที่อากาศร้อนอบอ้าว ทุกอย่างดูเงียบงัน ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของจิ้งหรีด
“ผมคิดถึงพ่อ หากเขาอยู่ด้วยกันตรงนี้ก็คงดีมากเลยนะครับ” เขาพูด เป็นเวลาสักพักกว่าแม่ของเขาจะได้ยินคำพูดของเขา เธอพยักหน้าและยิ้มให้เขา ราวกับว่าพ่อคือตัวแทนของความสุข เธอขยับตัวขึ้นเล็กน้อย ธเนศพยายามประคองเธอไว้
“พ่อ” เธอเปล่งเสียง “พ่อของลูก เป็นคนดีนะ”
“แล้ว...แม่คิดถึงพ่อไหมครับ” เธอพยักหน้า ใบหน้าของเธอเศร้าสร้อย
“แม่รักพ่อมาก” เธอพูด พยายามจะสูดลมหายใจอีกครั้ง
“แต่ แม่รู้แค่เพียง...พ่อไม่เคย...รักแม่เลย”
.........................................................................................................................................
(มีต่อ)
การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 3 (part 1)
ตอนที่ 3
หมายเหตุ: สำหรับเรื่องสั้น ในป่าแห่งความทรงจำ อาทิตย์นี้ของดเว้นไปก่อน ด้วยเหตุผลเดิม ๆ นั่นคือ แต่งไม่ทัน55 อาทิตย์นี้จึงลงเรื่องยาวเรื่องนี้ ในตอนที่ 3 ครับ สำหรับตอนที่ 3 จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน (part) จึงจะจบตอนครับ
26 พฤศจิกายน 2006, 06.46 น.
นิรุตต์ออกจากห้องพักของธเนศในรุ่งเช้าเพื่อให้เวลาธเนศได้ทบทวนก่อนตัดสินใจ เขาย้ำกลับธเนศอีกครั้งว่าให้หัวใจของเขานั้นนิ่งที่สุดในตอนเลือกจะทำอะไร เพราะผลที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจก็ย่อมต้องรับผิดชอบไม่ต่างจากสิ่งที่ฌอง ปอล ซาตท์ กล่าวไว้ว่าเสรีภาพย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบ แต่กำหนดการก็ยังคงเป็นกำหนดการ เขาจะต้องตัดสินใจให้ได้ภายในสองถึงสามวันนี้ หากเขาเลือกรับข้อเสนอของนิรุตต์ เขาจำเป็นที่จะต้องเผื่อเวลาให้มากในการเตรียมตัว โดยเฉพาะการเดินทางที่ใช้ระยะเวลานานจากกรุงเทพฯไปยังสต็อกโฮล์ม ธเนศแทบจะลุกเดินไปส่งนิรุตต์ไม่ไหวเพราะผลของการเมาที่ยังไม่สร่างดี ธเนศมองเห็นนิรุตต์คล้ายกับภาพที่ไม่ชัดเจนนักแม้เขาได้ยินคำกล่าวลาของนิรุตต์อย่างแจ้งรูหู
เขาเดินกลับไปที่เตียงนอน พยายามจะนอนต่อหลังจากนั้น แต่สิ่งที่นิรุตต์เตือนนั้นทำให้เขาคิดวนเวียนในหัว เขายอมแพ้ นอนต่อไม่ไหว ต้องลุกออกจากเตียงไปล้างหน้าและแปรงฟัน เขาใช้เวลาห้านาทีในการทำมันทั้งสองอย่าง ก่อนที่จะกระตือรือร้นพรวดออกจากห้องน้ำยังโทรศัพท์มือถือของตน ไม่ใช่เพราะเสียงเรียกเข้า หรือโทรศัพท์มือถือของเขานั้นสั่นแต่อย่างใด เขาต้องการจะจองตั๋วเครื่องบิน...
ตอนนี้บ่ายโมงแล้ว สายตาของธเนศเขม็งตรงไปยังนาฬิกาข้อมือของตน เขาโชคดีที่มีผู้โดยสารคนหนึ่งยอมเลื่อนตั๋ว พนักงานของสายการบินบอกกับเขาแบบนั้น เขาจึงได้ที่นั่งสุดท้ายของเครื่องบินลำนี้ ซึ่งจะมุ่งตรงไปยังเชียงรายรอบเวลาบ่ายสองโมง เขาเกือบมาไม่ทันเช็คอินเพราะทุกอย่างกะทันหัน เขาต้องเตรียมเสื้อผ้าสำหรับตัวเขาเผื่อเอาไว้อย่างมากสามวัน อีกทั้งเงินอีกจำนวนหนึ่งเพื่อรองรับการใช้จ่ายของเขา เขาประหม่าเล็กน้อยเพราะไม่ได้เข้ามาสนามบินมานานกว่าหกเดือนแล้ว ครั้งสุดท้ายก็หลังจากที่เขากลับมาจากการเยี่ยมครอบครัวของรินะ ไอซาวะ ทั้ง ๆ ที่ปกติตลอดช่วงเวลาที่เขาได้ทำงานเป็นอาจารย์ เขาจะต้องเดินทางโดยเครื่องบินสองถึงสามครั้งในรอบหนึ่งเดือน สนามบินดอนเมืองดูโหวงเหวงตากว่าปกติเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผู้โดยสารส่วนใหญ่จึงเป็นผู้โดยสารขาเข้ามากกว่าขาออก
หลังจากเดินเล่นไปมา เสียงตามสายจากประตูที่ห้าสิบเจ็ดประกาศเรียกขึ้นเครื่อง เขาหยิบกระเป๋าสะพายแนบตัว เขาดื่มกาแฟมาแล้วสามแก้วตั้งแต่เช้า เป็นกาแฟดำชนิดไม่ปรุงแต่งสิ่งใดเพราะธเนศคิดว่าการปรุงกาแฟด้วยน้ำตาลหรือครีมเทียมนั้นทำให้คาเฟอีนลดลง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยบอบ โดยเฉพาะขอบตาที่ช้ำเพราะเขาไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ และกินเบียร์ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เมื่อธเนศเดินเข้ามานั่งในตัวเครื่อง เขารัดเข็มขัดให้แน่น แอร์เย็นที่ส่งออกจากท่อข้างบนเป็นสิ่งที่ธเนศไม่ชอบ เพราะมันโดนหัวของธเนศอย่างหลีกเลียงไม่ได้ เขาใช้มือบิดมันเพื่อปิด เสียงของพนักงานต้อนรับบอกกับธเนศอย่างสุภาพว่าให้ปรับพนักเก้าอี้ให้ตรงก่อนที่เครื่องจะขึ้น เขาพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์
“Cabin crew prepare for takeoff.” เสียงประกาศของกัปตันเครื่อง หลังจากนั้นไม่นาน เครื่องบินเร่งระดับความเร็วขึ้นล้อของเครื่องบินเสียดสีไปกับรันเวย์ ธเนศมองออกไปนอกหน้าต่าง เครื่องทะยานสู่ฟากฟ้า ผ่านกลุ่มเมฆหลากรูปทรง ธเนศหยิบกระดาษใบหนึ่งที่พับอยู่ในกระเป๋ากางเกง เขากางมันออกมาแล้วอ่านทบทวน น้ำตาของเขาไหลออกจากเบ้าตาทั้งสองที่หมองคล้ำ แม้ว่า...แม้ว่าเขาเพิ่งเขียนมันเมื่อช่วงสายของวันนี้
.........................................................................................................................................
กุมภาพันธ์ 1998
“แม่...”
ธเนศเอ่ยชื่อเธอ แต่เขาไม่อาจนึกคำพูดใด ๆ ออก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขานึกคำพูดใดไม่ออกต่อหน้าแม่ของเขา หญิงวัยกลางคนอายุห้าสิบสองทรุดตัวลง พยุงใบหน้าของตนเองให้ฉาบด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ว่าใครก็ต่างดูออกว่าใบหน้าของเธอในตอนนั้นช่างเสแสร้ง คิ้วของเธอขมวดลง สีหน้าของเธอเรียกได้ว่าซีดเผือกก็ไม่ผิดนัก ความมัวหมองถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด ธเนศกุมมือทั้งสองของเธอไว้ เขาพยายามจะเข้มแข็ง เพราะอย่างน้อยที่สุด เขาไม่คิดว่าความเสียใจจะทำให้ทุกเรื่องนั้นดีขึ้นเลย ต่อหน้าแม่ของเขา ยิ่งเขาโศกเศร้ามากเพียงใด แม่ของเขาก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
“บอกมาเถอะลูก” เธอขอร้องธเนศ ให้พูดความจริงตามที่ตนได้มาจากนายแพทย์
หลังจากที่เธอได้ยินถ้อยคำของธเนศ เธอผ่อนคลาย ราวกับว่าความกังวลที่มีอยู่ไปอันตรธานไปโดยสิ้น เพราะอย่างน้อยที่สุด เธอล่วงรู้ในสิ่งที่คนอีกหลายคนไม่เคยรู้ เธอเหลือเวลาชีวิตอีกเพียงสี่เดือน
ในความเป็นจริง เนื้อร้ายในการตรวจพบครั้งแรก มันหายไปตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว เนื่องจากเธอรักษามันแต่เนิ่น ๆ ทว่าไม่มีใครรู้ว่าเนื้อร้ายในช่องท้องของเธอกลับลุกลามอีกครั้ง และตอนนี้มันก็ไปยังบางส่วนของปอดแล้ว เธออึดอัด เพราะบ่อยครั้งที่เธอไอออกมาเป็นเลือด บางครั้งเธอทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บปวด ใช่ว่าเธอจะประมาทต่ออาการเหล่านั้น เธอรู้ดีว่าวันนั้นจะต้องมาถึง แม้เป็นเวลาสามปีนับจากตอนนั้น แต่เธอกลับไม่เคยตรวจสุขภาพอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ เธอรู้ดีว่ามะเร็งจะกลับมาหาเธอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เธอเลือกที่จะไม่ดิ้นรน และยอมรับกับความเป็นจริงอันแสนเศร้าและมหัศจรรย์ไปด้วยในเวลาเดียวกัน
“ทำไมครับแม่” ธเนศรู้สึกไม่พอใจ
“ที่กรุงเทพฯ เราก็มีห้องพักขนาดใหญ่พอ แต่ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมแม่ไม่เคยบอกผมเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ๆ ทำไมแม่เลือกจะอยู่กับความเจ็บปวดได้นานขนาดนี้ ถ้าแม่อยู่กับผมที่กรุงเทพฯ แม่คงจะหายขาดไปแล้วตอนนี้ โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯมีเครื่องมือในการรักษาโรคนี้ได้หากเราเริ่มต้นมันเร็ว”
“แต่ทำไมแม่กลับเลือกอยู่แต่ในบ้านของแม่ ในอำเภอที่มีโรงพยาบาลเล็ก ๆ รักษาได้เพียงแค่ความเจ็บปวดเบื้องต้น ทำไมทุกครั้งแม่จะทำตัวเองให้ทรมาน นั่งรถไปรักษามะเร็งที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด และกลับบ้าน ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ ทั้ง ๆ ที่แม่สามารถนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้...ผมไม่เคยเข้าใจเลยนิดเดียว” ธเนศซบลงตรงอกของเธอ เขาพยายามจะเก็บความเศร้าต่อไป แต่ความอึดอันตันใจ ความโมโหที่ไม่เข้าใจแม่นั้นทำให้เขากลับรู้สึกเศร้ากว่าเดิม
แม่ของเขานั่งก้มหน้า สายตาของเธอพยายามจะจดจ้องบางสิ่งที่อยู่ลึกในใจ บางสิ่งที่เธออยู่กับมันมาตลอดทั้งชีวิต และไม่สามารถออกไปภายนอกตัวตนของเธอได้ เธอไม่ตอบ หรือบางที เธออาจไม่ได้ยินสิ่งที่ธเนศพูดกับเธอเลย หลังจากก้อมหน้า เธอเงยหน้าขึ้น จ้องมองธเนศ บุตรชายเพียงคนเดียวที่เธอมี และกล่าวกับเขาอย่างสั้น ๆ ว่า
“เรากลับบ้านกันเถอะลูก”
ธเนศตัดสินใจพักการเรียนปริญญาโทหนึ่งเทอม ตลอดเวลาสามเดือนนั้น เขาอยู่บ้านกับแม่ของเขา ธเนศรู้ดีว่าเวลาของเธอเหลืออยู่ไม่มากแล้ว เขามีมอร์ฟีนเก็บไว้พอสมควร แต่ก็ต้องไม่ให้มากเกินไป หรือน้อยเกินไป แม่ของเขามักขอร้องให้ธเนศพาเธอออกไปนอกบ้านอยู่เสมอในตลอดเดือนแรก เธอบอกกับเขาว่าเธอยังมีเรี่ยวแรงที่จะเที่ยว และอากาศเย็นอีกระลอกกำลังแผ่เข้ามา เธอบอกกับเขาว่านี่คงเป็นการใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองคนตามประสาแม่ลูกในครั้งสุดท้าย เขาตอบรับ แต่ในใจก็ยังกังวลว่าแม่ของเขาจะต้องรู้สึกทรมานมากกว่าเดิม เพราะหนทางที่ขับแล่นไปนั้นเต็มไปด้วยทางสูงชันและคดเคี้ยว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเมืองเชียงใหม่ หรืออำเภออื่น ๆ ในเชียงใหม่ ที่ที่แม่ของเขาอยากไปเที่ยวเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเธอ การนั่งรถในระยะทางยาวไกล และเวลาที่ยาวนานทำให้อาการแม่ทรุดลงเรื่อย ๆ ร่างกายของเธออ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด
ภาพทิวทัศน์ของสามเหลี่ยมทองคำคือภาพสุดท้ายที่เธอระลึกได้ เพราะหลังจากนั้นอาการป่วยของเธอก็เริ่มหนักลง แม่ของเขาเดินไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ได้แต่ลุกขึ้นจากเตียงนอน เขาต้องพยุงเธอไปนั่งอาบน้ำในห้องน้ำ และป้อนข้าวเธอในบ้าน บ่อยครั้งที่เธอไม่อยากกินอาหาร นั่นทำให้ร่างกายของแม่ซูบผอมลงไปทุกที เขาฉีดมอร์ฟีนให้เธอก่อนนอน เพื่อให้เธอหลับสบายในยามกลางคืน แต่ว่าในตอนเช้า เสียงร้องของแม่ทำให้เขาต้องตื่นขึ้นมา แม่ของเขาร้องด้วยความเจ็บปวด เนื้อร้ายได้ย่ำกรายและเผาผลาญชีวิตของเธอทีละน้อย เขาฉีดมอร์ฟีนอีกครั้ง แต่เธอก็หลับไป เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณหนึ่งเดือน เธอพยายามจะพูดคุยกับธเนศ แต่ร่างกายก็มักไม่ตอบสนอง ทุกครั้งที่เธอต้องการจะคุยกับธเนศ เธอต้องรวบรวมลมหายใจและฝืนใจในการเปล่งเสียงจากลำคอ
“แม่ครับ” ธเนศเอ่ยขึ้นมา มันเป็นคืนวันหนึ่งในเดือนเมษาที่อากาศร้อนอบอ้าว ทุกอย่างดูเงียบงัน ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของจิ้งหรีด
“ผมคิดถึงพ่อ หากเขาอยู่ด้วยกันตรงนี้ก็คงดีมากเลยนะครับ” เขาพูด เป็นเวลาสักพักกว่าแม่ของเขาจะได้ยินคำพูดของเขา เธอพยักหน้าและยิ้มให้เขา ราวกับว่าพ่อคือตัวแทนของความสุข เธอขยับตัวขึ้นเล็กน้อย ธเนศพยายามประคองเธอไว้
“พ่อ” เธอเปล่งเสียง “พ่อของลูก เป็นคนดีนะ”
“แล้ว...แม่คิดถึงพ่อไหมครับ” เธอพยักหน้า ใบหน้าของเธอเศร้าสร้อย
“แม่รักพ่อมาก” เธอพูด พยายามจะสูดลมหายใจอีกครั้ง
“แต่ แม่รู้แค่เพียง...พ่อไม่เคย...รักแม่เลย”
.........................................................................................................................................
(มีต่อ)