ในการใช้ชีวิตประจำวันสำหรับการเดินทางใน กทม. จำเป็นต้องใช้งานบริการของ UBER หรือGRAB CAR อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แต่บ่อยมากที่เจอปัญหา และไม่ต้องการให้ผู้อื่นมาเจอปัญหาแบนนี้จากการบริการของ uber และ grab car
ปัญหาจากการใช้ UBER :
- รถวิ่งโฉบข้างๆ ด่านทางด่วน (แต่ไม่ได้ขึ้นทางด่วน) ระบบมันก็คิดค่าทางด่วน (เส้นประดิษฐ์มนูธรรม)
(ถึงแม้จะคืนค่าทางด่วนที่ไม่ได้ใช้จริงให้ภายหลังแต่ช้ามากและอาจลืมไปเลย)
- ราคาค่าโดยสารหน้าแอพก่อนกดเรียกรถกับราคาปลายทางไม่ตรงกัน (ราคาสิ้นสุดการเดินทางแพงกว่าเสมอๆ)
- รถวิ่งออกนอกเส้นทาง (ทั้งๆที่ใกล้กว่าและรถติดน้อยกว่า) ระบบจะคิดค่าโดยสารตามระยะทาง+เวลาทันที
- บางใช้ไม่ได้ใช้บริการ uber อยู่ๆ ก็มีคำขอตัดเงินไปที่บัตรเครดิตผ่านระบบ visa (จนต้องขอให้ธนาคารทางเงินกลับคืนมา)
- สมัยก่อนช่วงเปลี่ยนจากระบบคิดตามเวลามาเป็นระบบเหมาจ่าย กดรถเรียกป๊บระบบจะตัดเงินป๊บ (หลังๆ นี้จะดีขึ้น)
ปัญหาจากการใช้ GRAB CAR :
- คนขับเลือกกดรับงาน (ใกล้ๆ ไม่ไป) จะเอาแต่ใกล้ๆ เพราะเขาหวังทำรอบเอา insentive
(มีทั้งพวกสายอิน-สายเขี่ย) สรุป คือ ไม่ต่างอะไรก็พี่ taxi meter เลย
- รถที่มาวิ่งขาดคุณภาพ รถเก่า เช่น แอร์ไม่เย็น, วิ่งไปเสียงหอนดังที่ช่วงล่าง หรือล้อยาง (เจอบ่อยมาก)
- ใบหน้าคนขับที่มารับเรา ไม่ตรงกับใบหน้าในแอพ (กรณีนี้เจอบ่อยมากๆ)
- คนขับรถไม่ค่อยสุภาพ (บางคนเท่านั้น) และเจอ GRABCAR ขาโหด เจอลูกระนาดไม่แตะเบรกเลย
- ที่แย่ที่สุดเลย คือ กดงานปุ๊บ พี่แกกดรับปั๊บ แล้วกดส่งงานทันที ทำให้เงินในบัตรถูกตัดทันที กว่าจะขอคืนได้ ช่างยากแสนยาก (โทรหา CC เขาก็แถไปวันๆ กว่าจะได้คืนนี่หลายรอบมาก)
- ราคาค่าบริการแพงกว่าความเป็นจริงมาก (ใส่ส่วนลดแล้วก็ยังแพงอยู่) ประเด็นนี้ใครพอใจใช้บริการก็เลือกพิจารณาตามอัธยาสัย
สรุป จากทั้งปัญหาที่ใช้บริการทั้ง 2 ค่าย สิ่งที่อยากแนะนำ ได้แก่
- เวลาใช้บริการควรใช้เงินสด เวลามีปัญหาจะได้ไม่ต้องปวดหัวขอคืนเงินภายหลัง
- ถ้านั่ง uber ควรสำรองเงินค่าโดยสารให้มากกว่าราคาที่แจ้งหน้า APP ก่อนเรียกงานทุกครั้ง (ราคาปลายทางมักแพงกว่าเสมอ)
ถึงแม้ว่าจะเจอปัญหาตามข้างบนก็ยังคงใช้ uber และ grab car อยู่นะ (หากไม่ใช้ 2 ค่ายต้องคงต้องพึ่ง taxi ที่บอกว่า แก็สหมด, ต้องไปส่งรถ, ไปไม่ทัน, ไม่รู้จักทาง ฯลฯ แน่เลย)
ข้อควรระวังจากการใช้บริการ UBER และ GRAB CAR ? และท่านเคยเจอปัญหากับตัวเองบ้างไหม ?
ปัญหาจากการใช้ UBER :
- รถวิ่งโฉบข้างๆ ด่านทางด่วน (แต่ไม่ได้ขึ้นทางด่วน) ระบบมันก็คิดค่าทางด่วน (เส้นประดิษฐ์มนูธรรม)
(ถึงแม้จะคืนค่าทางด่วนที่ไม่ได้ใช้จริงให้ภายหลังแต่ช้ามากและอาจลืมไปเลย)
- ราคาค่าโดยสารหน้าแอพก่อนกดเรียกรถกับราคาปลายทางไม่ตรงกัน (ราคาสิ้นสุดการเดินทางแพงกว่าเสมอๆ)
- รถวิ่งออกนอกเส้นทาง (ทั้งๆที่ใกล้กว่าและรถติดน้อยกว่า) ระบบจะคิดค่าโดยสารตามระยะทาง+เวลาทันที
- บางใช้ไม่ได้ใช้บริการ uber อยู่ๆ ก็มีคำขอตัดเงินไปที่บัตรเครดิตผ่านระบบ visa (จนต้องขอให้ธนาคารทางเงินกลับคืนมา)
- สมัยก่อนช่วงเปลี่ยนจากระบบคิดตามเวลามาเป็นระบบเหมาจ่าย กดรถเรียกป๊บระบบจะตัดเงินป๊บ (หลังๆ นี้จะดีขึ้น)
ปัญหาจากการใช้ GRAB CAR :
- คนขับเลือกกดรับงาน (ใกล้ๆ ไม่ไป) จะเอาแต่ใกล้ๆ เพราะเขาหวังทำรอบเอา insentive
(มีทั้งพวกสายอิน-สายเขี่ย) สรุป คือ ไม่ต่างอะไรก็พี่ taxi meter เลย
- รถที่มาวิ่งขาดคุณภาพ รถเก่า เช่น แอร์ไม่เย็น, วิ่งไปเสียงหอนดังที่ช่วงล่าง หรือล้อยาง (เจอบ่อยมาก)
- ใบหน้าคนขับที่มารับเรา ไม่ตรงกับใบหน้าในแอพ (กรณีนี้เจอบ่อยมากๆ)
- คนขับรถไม่ค่อยสุภาพ (บางคนเท่านั้น) และเจอ GRABCAR ขาโหด เจอลูกระนาดไม่แตะเบรกเลย
- ที่แย่ที่สุดเลย คือ กดงานปุ๊บ พี่แกกดรับปั๊บ แล้วกดส่งงานทันที ทำให้เงินในบัตรถูกตัดทันที กว่าจะขอคืนได้ ช่างยากแสนยาก (โทรหา CC เขาก็แถไปวันๆ กว่าจะได้คืนนี่หลายรอบมาก)
- ราคาค่าบริการแพงกว่าความเป็นจริงมาก (ใส่ส่วนลดแล้วก็ยังแพงอยู่) ประเด็นนี้ใครพอใจใช้บริการก็เลือกพิจารณาตามอัธยาสัย
สรุป จากทั้งปัญหาที่ใช้บริการทั้ง 2 ค่าย สิ่งที่อยากแนะนำ ได้แก่
- เวลาใช้บริการควรใช้เงินสด เวลามีปัญหาจะได้ไม่ต้องปวดหัวขอคืนเงินภายหลัง
- ถ้านั่ง uber ควรสำรองเงินค่าโดยสารให้มากกว่าราคาที่แจ้งหน้า APP ก่อนเรียกงานทุกครั้ง (ราคาปลายทางมักแพงกว่าเสมอ)
ถึงแม้ว่าจะเจอปัญหาตามข้างบนก็ยังคงใช้ uber และ grab car อยู่นะ (หากไม่ใช้ 2 ค่ายต้องคงต้องพึ่ง taxi ที่บอกว่า แก็สหมด, ต้องไปส่งรถ, ไปไม่ทัน, ไม่รู้จักทาง ฯลฯ แน่เลย)