*คำเตือน* ยาวมาก XD
แชร์ประสบการณ์การเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นตอนนี้มาได้สองปีกว่าแล้วค่ะ จบป.โทใบที่ 2 และกำลังต่อเอก ในสาขาที่คนถามตลอดว่า หางานที่ไทยได้หรอ คือ เอกวัสดุศาสตร์ สาขาวิศวกรรมนิวเคลียร์ค่ะ
จริงๆที่ตัดสินใจมาเขียนก็อยากให้กำลังใจกับคนที่กำลังเรียนต่อส่วนหนึ่ง และอาจจะพอเป็นแนวทางได้ด้วยอีกส่วนหนึ่ง เพราะมีหลายคนที่เรียนจบไปแล้วทิ้งคำพูดไว้ และมีคำถามจากน้องๆที่เพิ่งมาใหม่ที่อาจจะหมดกำลังใจ เช่น มาเที่ยวกับมาเรียนญี่ปุ่นมันไม่เหมือนกันนะ หรือคิดถูกแล้วล่ะที่ไม่ต่อเอกที่นี่ หรือใครที่เรียนต่อก็ขอให้อดทนกันต่อไป เป็นต้น น้องๆที่มาใหม่หลายคนก็แอบแป้วไปเหมือนกัน
เราเชื่ออย่างนึงว่าคนทุกคนไม่เหมือนกัน Every single person is unique เพราะงั้นประสบการณ์ที่เกิดกับเราก็อาจไม่เกิดกับคนอื่น หรือที่เกิดกับคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องเกิดกับเราเสมอไป เมื่ออยุ่ในสังคมเดียวกัน มันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดแต่ส่วนหนึ่งถ้ามันจะเกิดเราว่าเป็นเพราะตัวเราต้องการมห้มันเกิดหรือมีความคิดแบบนั้นไปแล้วมากกว่าค่ะ
เราเลยอยากแบ่งปันประสบการณ์และแนวคิดที่เราใช้ในการเรียนที่นี่ได้อย่างมีความสุข หรืออย่างน้อยคนอื่นๆหรือเพื่อนต่างชาติหลายคนก็บอกว่า เราอยู่ได้โดยไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร
เรามีข้อคิดที่เรามักจำไว้ในใจเสมอ
1. ยอมรับว่านี่คือสิ่งที่เราเลือกและทำให้ดีที่สุด
จ้อนี้เป็นสิ่งที่เราจำขึ้นใจเสมอค่ะ เหมือนที่คนชอบพุดว่าในชีวิตมีสามสิ่งที่ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ คือ คำพูด เวลา และโอกาส เมื่อเราออกปากอะไรไป ลงทุนเวลาไปกับสิ่งใด และได้โอกาสอะไรมา เราคือคนที่คัดสินใจเองทั้งนั้น ต่อให้พ่อแม่บังคับหรือใครต่อใครแนะนำมาคนที่ตกปากรับคำไปคือตัวเรา เพราะฉะนั้น ทำให้ดีที่สุดค่ะ
2. ยอมรับว่าทุกคนแตกต่าง ทุกวัฒนธรรมแตกต่าง ไม่ได้มีอะไรดีหรือแย่ไปทั้งหมด
เรามาอยุ่ต่างบ้านต่างเมืองแน่นอน ญี่ปุ่นไม่ได้ใช้ภ.อังกฤษเป็นภาษาหลัก มันไม่ได้ง่ายมีลำบากบ้างขัดใจบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินปรับตัว เคยได้ยินคำพูดนึงค่ะว่า ถ้าคนเราซื่อสัตย์และตรงต่อเวลาได้อย่างคนญี่ปุ่น ทำความรู้จักคนและให้ความเป็นกันเองเหมือนครอบครัวได้อย่างคนไทย และทำงานได้อย่างเปิดกว้างแบบคนอเมริกัน ไม่ว่าอยุ่ที่ไหนในโลกก็อยู่ได้ เราก็เชื่อแบบนั้นนะคะ
3. หากคาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนแล้วมันยาก ก็เริ่มเปลี่ยนที่ตัวเราก่อน
ข้อนี้เป็นอีกข้อที่เรารู้สึกว่าสำคัญมากในการปรับตัวค่ะ เราว่าคนเราโดยส่วนใหญ่ทำอะไรก็มักนึกถึงตัวเองก่อนโดยธรรมชาติ และบางครั้งเมื่อเกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้นมักโทษสิ่งแวดล้อมก่อนเสมอ ซึ่งหลายๆอย่างเรามองว่ามันอาจมีส่วนแต่ถ้าบางอย่างเราเปลี่ยนได้มันก็ดีกับตัวเรา เช่น เรามองว่าการที่เราได้มาเรียนที่นี่คือการเปิดโอกาสให้เราได้เจอคนที่หลากหลาย นอกจากการเรียนเพื่อปริญยาและความรู้สิ่งที่เราได้คือการพัฒนาทักษะในการรับมือกับคนที่มาจากต่างวัฒนธรรม และภาษา ซึ่งเมื่อจบออกไปในการทำงานบางครั้งเราเลือกไม่ได้อยุ่แล้วว่าคนที่เราต้องทำงานด้วยจะเป็นใคร และนี่ก็เป็นโอกาสดีอย่างนึงค่ะ
นอกจากข้อคิดเหล่านี้ การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และการบริหาร work-life balance ก็สำคัญ หลายคนถามเราเยอะมาก ว่าเราอาเวลาไหนไปทำกิจกรรมเยอะแยะมากมาย หลายคนบอกด้วยซ้ำว่าตกลงได้ทุนไปเหลายคนบอกด้วยซ้ำว่าตกลงได้ทุนไปเรียนหรือไปเที่ยว 555 ก็มาประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องเที่ยวแล้วล่ะเนอะจะรออะไรล่ะ ^ ^ แต่ราอาจจะเป้นคนที่โชคดีคนนึงด้วยค่ะที่ได้เจอที่ปรึกษาดีที่เขาเข้าใจเด็กต่างชาติและสนับสนุนเราอย่างมากถ้าเราจะทำกิจกรรมอะไร งั้นลองไปดูกิจกรรมคร่าวๆที่เราทำดีกว่าค่ะ
1. เที่ยว
เรื่องเที่ยวนี่ปีแรกหมดตัวไปเยอะค่ะ 555 เพิ่งมาตื่นเต้น อยู่ในโตเกียวเดินทางก็ง่าย แลปยังไม่หนักหน่วงมาก สุดสัปดาห์วางโปรแกรมกับเพื้อยตลอดเลยค่ะ ทุกเทศกาล มาถึงก็ใบไม้ร่วงไปตามสวนดูใบไม้แดง พอเริ่มหนาวก็ไปเช็คตารางดู illumination เข้าหน้าหนาวก็ไปร่วมกิจกรรมกับสมาคมนักเรียนไทยไปเล่นสโนวบอร์ด ใบไม้ผลิก็ไปตามดูซากุระ พอเริ่มร้อนก็ไปปีนฟูจิ เราว่าคนส่วนมาก มาเรียนต่างประเทศเนี่ยก็มักจะเลือกประเทสที่ตัวเองชอบหรือใฝ่ฝันซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ แล้วมันก็ช่วยคลายความเครียดได้ดีมากนะคะ หลังๆเวลาไม่ค่อยมี รวมถึงเงินด้วย 555 ก็อาศัยว่าพอไปพรีเซ็นต์งานก็จะเบิกค่าเดินทางได้ เราก็จะเที่ยวต่ออีกสักวันสองวันหลังงานเสร็จหรือก่อนเริ่มงานค่ะ เอาให้คุ้ม 555
2. ร่วมกิจกรรมที่จัดเพื่อชาวต่างชาติ
มหาลัยที่เราอยู่พยายามจะผลักตัวเองให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นในระดับนานาชาติ เลยทไให้มึนต่างชาติเยอะขึ้นก็จะทำให้มีกิจกรรมเพื่อชาวต่างชาติอยู่พอสมควร ยิ่งในเขตโตเกียวนี่มีพวกหน่วยงานที่จัดขึ้นพร้อมอาสาสมัครมาทำกอจกรรมให้ค่อนข้างเยอะนะคะ เราก็มาแรกๆก็เสิร์ชหาในกูเกิ้ล แล้วสมัครเข้าร่วมแทบทุกอันเลยค่ะในช่วงปีแรกเช่นกัน มีทั้งสอนชงชา เขียนพู่กัน แต่งชุดยูกาตะ กิโมโน จัดดอกไม้ คาราเต้ ไอคิโด ยิงธนู เดินเที่ยวคามาคุระ หรือจะมีทัศนศึกษาของมหาลัยสามวันสองคืนไปเกียวโตโอซาก้าในราคาแค่หนึ่งหมื่นห้าพันเยน ที่รวมชินคันเซน โรงแรมเรียวกังและกิจกรรมต่างๆนานาเข้าไปแล้ว ลดกระหน่ำจริงๆ พวกนี้หาข้อมูลได้กับทางมหาลัยหรือหน่วยงานอาสาสมัครในพื้นที่หรือหอพักได้เลยค่ะ สนุกสนานสุดๆได้เจอเพื่อนใหม่ๆเยอะด้วย
3. ลองเข้าไปทำงานในสมาคมนักเรียนต่างๆ
เข้ามาเราก็เข้าไปทำงานบริหารในสมาคมนักเรียนต่างชาติ กับนักเรียนไทยในมหาลัยเลยค่ะ อันนี้ได้ประสบการณ์ดีๆกับการทำงานกับคนที่หลากหลายเยอะมาก มีเครียดบ้างแต่ก็เป็นได้เรียนรู้เยอะ ตอนที่ทำผลลัพธ์อาจจะไม่ค่อยดีแต่ก็ได้มานั่งพิจารณาตัวเองแล้วปรับตัวเองให้ดีขึ้นค่ะ โดยเฉพาะตอนที่ทำงานกับสมาคมนักเรียนต่างชาติ เราได้ทำงานกับเพื่อนต่างชาติคนนึงที้เขาเป็นแนวอเมริกันจ๋ามาก เลยทำให้เข้าใจแนวคิดของเขามากขึ้น และก็รู้ตัวและยอมรับตัวเองมากขึ้น กล้าที่จะบอกตรงๆมากขึ้นถ้าคิดว่าความสามารถเรายังไม่ถึงหรือทำอะไรไม่ได้ และได้ปรับการควบคุมอารมณ์หรือวิธีการพูดกับคนประเภทต่างๆที่เราอาจจะต้องเจอกับคนที่เราไม่ชอบหรือรับมือยากด้วยค่ะ
4. ร่วมงานดูงาน หรือกิจกรรมต่างๆให้มาก
ด้วยความที่เรามาเรียนนิวเคลียร์เนี่ย จริงๆก็ใหม่สำหรับเรามากตอนอยู่ที่ไทยเราเรียนเอกวัสดุศาสตร์เซรามิกมาจากที่จุฬาฯค่ะ ความรู้ด้านนิวเคลียร์มีแค่ว่าฟิชชั่นคืออนุภาคใหญ่แตกเป็นเล็ก ฟิวชั่นคือเล็กรวมเป็นใหญ่ ระเบิดนิวเคลียร์ฮิโรชิม่านางาซากิ กับพวกโรงงานนิวเคลียร์ระเบิดที่เชอโนบิลกับฟุคุชิมะ 555 มาครั้งแรกความรุ้เรื่องนิวเคลียร์ต่ำเตี้ยมากจริงๆค่ะ แต่ผ่านไปสองปี เราสมัครไปดูงานที่ฟุคุชิมะที่ระเบิดมาช่วงปิดเทอม ก็นั่งรถไปถึงหน้าตึกที่ระเบิดเลยล่ะค่ะ แล้วก็ได้ไปดูงานที่โรงริวเคลียร์ที่ฮอกไกโดมา แล้วยังได้ทุนเป็นตัวแทนของโครงการที่จัดโดยมหาลัยฮอกไกโด (ซึ่งไม่ใช่มหาลัยที่เราเรียน 555) ไปดูงานที่อเมริกา 2 อาทิตย์ ได้ไปดูโรงงานนิวเคลียร์ที่แถวอิลินอยส์มาอีก 4 โรงงาน รวมไปถึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับวิศวกร บุคลากรในระดับต่างๆ และนักเรียนทั้งในและนอกสาขาถึงสถานการณ์และการแก้ปัญหาต่างๆอีกมากมาย เรารู้สึกว่า ถ้าเราไม่ได้มาเรียนที่นี่เราคงไม่ได้มีโอกาสขนาดนี้น่ะค่ะ นอกจากนี้ยังได้ไปดูงานตามบริษัทที่น่าสนใจ เช่น Google Japan, Mitsubishi, Hitashi, FE Steel โอ้ยนับไม่ถ้วนเลยค่ะ เรียกว่า ถ้าไม่ติดอะไรก็ไปหมดแทบทุกงาน 555
6. กิจกรรมนอกสาขา นอกมหาลัยถ้ามีโอกาสก็สมัครเลย
บางครั้งหมกตัวอยู่แต่ในแลปก็เครียดนะคะ เราเลยชอบสมัครไปร่วมกิจกรรมหรือลองลงแข่งอะไรที่ไม่ตรงสายบ้าง เช่น แข่งคิดไอเดียธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาในสังคม แข่งพรีเซ็นต์งานวิทยาศาสตร์ใน 3 นาที แข่งเขียน essay ตามหัวข้อที่เขากำหนด หรือลงเรียนวิชาในสาขาอื่นซึ่งเราก็สนใจด้านธุรกิจด้วยก็มีไปลงวิชาธุรกิจบ้าง design thinking บ้าง หรือด้านวิศวกรรมหน่อยก็ ergonomic อะไรแบบนี้
7. งานพิเศษ สัมภาษณ์น่าสนใจ ได้ค่าตอบแทนด้วยก็จัดสักหน่อย
คนที่มาญี่ปุ่นส่วนมากก้จะหางานพิเศษทำเป็นค่าขนมเพิ่มค่ะ สายเราก็จะหาอะไรทำยากหน่อย 555 แต่เห็นทีรุ่นพี่ที่เรียนด้าน IT ทำงานเขียนโปรแกรมก็ตรงสายงานแถมได้ค่าขนมเยอะเชียว เราก็หาแต่งานด้านภาษาซะส่วนใหญ่ค่ะ มีเคยไปลองเป็น Chat host ที่นี่เขาจะมีคนญี่ปุ่นที่ยอมเสียตังค์เป้นรายชม.เพื่อเข้ามานั่งคุยแต่ภ.อังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาตัวเองน่ะค่ะ เราก็ไปเป็นคนชวนเขาคุยก็คุยไปเรื่อยจิปาถะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ใครที่เขายังพูดไม่คล่องเราก็ช่วยเขาพูดช้าๆชัดๆ บางทีก็ทำให้เรารู้จักคนใหม่ๆ อย่างมีคนนึงเราได้รู้จักเขาเลยทำให้ได้ไปลองเวิร์คช็อป Temporary Dance สนุกดีค่ะ หรือบางทีเราก็หาข้อมูลเรื่องเที่ยวจากคนเหล่านี้แล่ะค่ะ 555 นอกจากนี้จากที่นี่จะชอบมีรับสมัครคนเพื่อไปทำเซอร์เวย์ ซึ่งถ้าเราสนใจก็สมัครไป แล้วก็จะได้ค่าตอบแทนค่ะ ก็ทำให้ได้เห็นอะไรใหม่ๆนะคะ ล่สุดมีเซอเวย์ที่ต้องการถามเรื่องดีไซน์เอาแต่คนไทยไปนั่งคุยกันเพื่ถกกันว่าอย่างไหนคือหรูหรา เรียบง่าย โมเดิร์น หรือว่ามีอีกอันให้เราไปนั่งในห้องที่เขาจะปรับบรรยากาศในคอนดิชั่นต่างๆแล้ววัดอุณหภูมิร่างกายเรา เพราะเขาจะยุคตลาดก่อสร้างพวกตึกสำนักงานในแถบอาเซียนอะไรแลบนี้น่ะค่ะ มีอันนึงชอบมาก ให้ไปชิมลูกพีช 555 อร่อยเลย
8. หาวิธีคลายเครียดที่ทำได้ง่ายไว้เป็นของตัวเอง
ถ้าเราไม่มีเวลาออกไปทำกิจกรรมต่างๆจริงๆเนี่ยก็ต้องมีเผื่อไว้ค่ะ อย่างเรา ชอบเล่นเน็ตดูยูทูป อ่านนิยาย หรือแม้กระทั่งไปคาราโอเกะคนเดียว 555 โอ้ยเครียดเมื่อไร ไปร้องคนเดียวตลอดเลยค่ะ สองสามชม. ถ้าเรารู้สึกว่าเรากำลังออกนอก Comfort zone เมื่อไร เราต้องหาวิธีอะไรสักอย่างที่สามารถดึงเรากลับมาให้ได้เร็วและง่ายที่สุดค่ะ หาให้เจอ จะช่วยได้เยอะเลยค่ะ
ก็คร่าวๆก็ประมาณนี้ล่ะค่ะ 555 หลังๆจากที่หาเรื่องใส่ตัวไปทำนุ่นนี่นั่น ตอนนี้บางทีเรื่องก็มาหาเราแทน ก็ทำให้ไม่ว่างดีค่ะ 555 เราว่าถ้าตัดสินใจเลือกจะออกมาเรียนต่างประเทศแล้วเนี่ย อย่างนึวที่ต้องยอมรับก่อนเลยคือ มันไม่ง่ายและไม่สบายเหมือนบ้านเรา เพราะเราต้องเจอความไม่คุ้นเคยในแทบทุกๆอย่างที่เจอ และยอย่างที่บอกคือเราจะไปเปลี่ยนคนอื่นให้เขาทำในสิ่งที่เราคุ้นเคยก็ไม่ได้ เพราะงั้นเราพยายามปรับตัวเองก่อน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ และอย่าปิดกั้นตัวเองในการทำความรู้จักคน การพูดคุยก็เป็นทางออกนึงที่ช่วยในการคลายเครียดได้ดีนะคะ
โอกาสที่ได้ออกมาขนาดนี้มันไม่ได้ง่าย อย่าจบไปแค่เพื่อใบปริญญา ระหว่างทางที่ได้มามันมีค่ามากกว่าเยอะนะคะ
ยาวมากเลย จะมีคนอ่านไหมนะ 555 ใครที่กำลังเครียดทักมาคุยกันได้นะคะ เราชอบคุยกับคน ชอบแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือง่ายๆคือพูดมากนั่นเอง ตอนนี้ชิวิตนักเรียนทุนของเราก็น่าจะผ่านมาเกือบครึ่งทางแล้ว ตอนนี้ยังมีความสุขดีกับชิวิตในญี่ปุ่นค่ะ ^ ^ ใครอยากหาคนคุย หาคำปรึกษาแลกเปลี่ยนก้มาคุยกันได้นะคะ
ปล. คิดว่าน่าจะมีพิมพ์ผิดเยอะเพราะว่าพิมพ์ในมือถือ ต้องขอโทษด้วยนะคะเดี๋ยวจะมาตามเช็คแล้วแก้อีกทีค่ะ
ปล2. ในสปอยด้านล้างเป็นตัวอย่างไทมไลน์ที่เราบันทึกว่าเราทำกิจกรรมอะไรไปบ้างค่ะ ใครสนใจกดดูได้นะคะ ^ ^ มีถึงแค่เดือนมค. เพราะยังทำต่อไม่เสร็จ 555
เรียนต่อต่างประเทศ (ญี่ปุ่น) ประสบการณ์ที่มากกว่าแค่ใบปริญญา
แชร์ประสบการณ์การเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่นตอนนี้มาได้สองปีกว่าแล้วค่ะ จบป.โทใบที่ 2 และกำลังต่อเอก ในสาขาที่คนถามตลอดว่า หางานที่ไทยได้หรอ คือ เอกวัสดุศาสตร์ สาขาวิศวกรรมนิวเคลียร์ค่ะ
จริงๆที่ตัดสินใจมาเขียนก็อยากให้กำลังใจกับคนที่กำลังเรียนต่อส่วนหนึ่ง และอาจจะพอเป็นแนวทางได้ด้วยอีกส่วนหนึ่ง เพราะมีหลายคนที่เรียนจบไปแล้วทิ้งคำพูดไว้ และมีคำถามจากน้องๆที่เพิ่งมาใหม่ที่อาจจะหมดกำลังใจ เช่น มาเที่ยวกับมาเรียนญี่ปุ่นมันไม่เหมือนกันนะ หรือคิดถูกแล้วล่ะที่ไม่ต่อเอกที่นี่ หรือใครที่เรียนต่อก็ขอให้อดทนกันต่อไป เป็นต้น น้องๆที่มาใหม่หลายคนก็แอบแป้วไปเหมือนกัน
เราเชื่ออย่างนึงว่าคนทุกคนไม่เหมือนกัน Every single person is unique เพราะงั้นประสบการณ์ที่เกิดกับเราก็อาจไม่เกิดกับคนอื่น หรือที่เกิดกับคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องเกิดกับเราเสมอไป เมื่ออยุ่ในสังคมเดียวกัน มันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดแต่ส่วนหนึ่งถ้ามันจะเกิดเราว่าเป็นเพราะตัวเราต้องการมห้มันเกิดหรือมีความคิดแบบนั้นไปแล้วมากกว่าค่ะ
เราเลยอยากแบ่งปันประสบการณ์และแนวคิดที่เราใช้ในการเรียนที่นี่ได้อย่างมีความสุข หรืออย่างน้อยคนอื่นๆหรือเพื่อนต่างชาติหลายคนก็บอกว่า เราอยู่ได้โดยไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร
เรามีข้อคิดที่เรามักจำไว้ในใจเสมอ
1. ยอมรับว่านี่คือสิ่งที่เราเลือกและทำให้ดีที่สุด
จ้อนี้เป็นสิ่งที่เราจำขึ้นใจเสมอค่ะ เหมือนที่คนชอบพุดว่าในชีวิตมีสามสิ่งที่ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ คือ คำพูด เวลา และโอกาส เมื่อเราออกปากอะไรไป ลงทุนเวลาไปกับสิ่งใด และได้โอกาสอะไรมา เราคือคนที่คัดสินใจเองทั้งนั้น ต่อให้พ่อแม่บังคับหรือใครต่อใครแนะนำมาคนที่ตกปากรับคำไปคือตัวเรา เพราะฉะนั้น ทำให้ดีที่สุดค่ะ
2. ยอมรับว่าทุกคนแตกต่าง ทุกวัฒนธรรมแตกต่าง ไม่ได้มีอะไรดีหรือแย่ไปทั้งหมด
เรามาอยุ่ต่างบ้านต่างเมืองแน่นอน ญี่ปุ่นไม่ได้ใช้ภ.อังกฤษเป็นภาษาหลัก มันไม่ได้ง่ายมีลำบากบ้างขัดใจบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินปรับตัว เคยได้ยินคำพูดนึงค่ะว่า ถ้าคนเราซื่อสัตย์และตรงต่อเวลาได้อย่างคนญี่ปุ่น ทำความรู้จักคนและให้ความเป็นกันเองเหมือนครอบครัวได้อย่างคนไทย และทำงานได้อย่างเปิดกว้างแบบคนอเมริกัน ไม่ว่าอยุ่ที่ไหนในโลกก็อยู่ได้ เราก็เชื่อแบบนั้นนะคะ
3. หากคาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนแล้วมันยาก ก็เริ่มเปลี่ยนที่ตัวเราก่อน
ข้อนี้เป็นอีกข้อที่เรารู้สึกว่าสำคัญมากในการปรับตัวค่ะ เราว่าคนเราโดยส่วนใหญ่ทำอะไรก็มักนึกถึงตัวเองก่อนโดยธรรมชาติ และบางครั้งเมื่อเกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้นมักโทษสิ่งแวดล้อมก่อนเสมอ ซึ่งหลายๆอย่างเรามองว่ามันอาจมีส่วนแต่ถ้าบางอย่างเราเปลี่ยนได้มันก็ดีกับตัวเรา เช่น เรามองว่าการที่เราได้มาเรียนที่นี่คือการเปิดโอกาสให้เราได้เจอคนที่หลากหลาย นอกจากการเรียนเพื่อปริญยาและความรู้สิ่งที่เราได้คือการพัฒนาทักษะในการรับมือกับคนที่มาจากต่างวัฒนธรรม และภาษา ซึ่งเมื่อจบออกไปในการทำงานบางครั้งเราเลือกไม่ได้อยุ่แล้วว่าคนที่เราต้องทำงานด้วยจะเป็นใคร และนี่ก็เป็นโอกาสดีอย่างนึงค่ะ
นอกจากข้อคิดเหล่านี้ การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และการบริหาร work-life balance ก็สำคัญ หลายคนถามเราเยอะมาก ว่าเราอาเวลาไหนไปทำกิจกรรมเยอะแยะมากมาย หลายคนบอกด้วยซ้ำว่าตกลงได้ทุนไปเหลายคนบอกด้วยซ้ำว่าตกลงได้ทุนไปเรียนหรือไปเที่ยว 555 ก็มาประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องเที่ยวแล้วล่ะเนอะจะรออะไรล่ะ ^ ^ แต่ราอาจจะเป้นคนที่โชคดีคนนึงด้วยค่ะที่ได้เจอที่ปรึกษาดีที่เขาเข้าใจเด็กต่างชาติและสนับสนุนเราอย่างมากถ้าเราจะทำกิจกรรมอะไร งั้นลองไปดูกิจกรรมคร่าวๆที่เราทำดีกว่าค่ะ
1. เที่ยว
เรื่องเที่ยวนี่ปีแรกหมดตัวไปเยอะค่ะ 555 เพิ่งมาตื่นเต้น อยู่ในโตเกียวเดินทางก็ง่าย แลปยังไม่หนักหน่วงมาก สุดสัปดาห์วางโปรแกรมกับเพื้อยตลอดเลยค่ะ ทุกเทศกาล มาถึงก็ใบไม้ร่วงไปตามสวนดูใบไม้แดง พอเริ่มหนาวก็ไปเช็คตารางดู illumination เข้าหน้าหนาวก็ไปร่วมกิจกรรมกับสมาคมนักเรียนไทยไปเล่นสโนวบอร์ด ใบไม้ผลิก็ไปตามดูซากุระ พอเริ่มร้อนก็ไปปีนฟูจิ เราว่าคนส่วนมาก มาเรียนต่างประเทศเนี่ยก็มักจะเลือกประเทสที่ตัวเองชอบหรือใฝ่ฝันซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ แล้วมันก็ช่วยคลายความเครียดได้ดีมากนะคะ หลังๆเวลาไม่ค่อยมี รวมถึงเงินด้วย 555 ก็อาศัยว่าพอไปพรีเซ็นต์งานก็จะเบิกค่าเดินทางได้ เราก็จะเที่ยวต่ออีกสักวันสองวันหลังงานเสร็จหรือก่อนเริ่มงานค่ะ เอาให้คุ้ม 555
2. ร่วมกิจกรรมที่จัดเพื่อชาวต่างชาติ
มหาลัยที่เราอยู่พยายามจะผลักตัวเองให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นในระดับนานาชาติ เลยทไให้มึนต่างชาติเยอะขึ้นก็จะทำให้มีกิจกรรมเพื่อชาวต่างชาติอยู่พอสมควร ยิ่งในเขตโตเกียวนี่มีพวกหน่วยงานที่จัดขึ้นพร้อมอาสาสมัครมาทำกอจกรรมให้ค่อนข้างเยอะนะคะ เราก็มาแรกๆก็เสิร์ชหาในกูเกิ้ล แล้วสมัครเข้าร่วมแทบทุกอันเลยค่ะในช่วงปีแรกเช่นกัน มีทั้งสอนชงชา เขียนพู่กัน แต่งชุดยูกาตะ กิโมโน จัดดอกไม้ คาราเต้ ไอคิโด ยิงธนู เดินเที่ยวคามาคุระ หรือจะมีทัศนศึกษาของมหาลัยสามวันสองคืนไปเกียวโตโอซาก้าในราคาแค่หนึ่งหมื่นห้าพันเยน ที่รวมชินคันเซน โรงแรมเรียวกังและกิจกรรมต่างๆนานาเข้าไปแล้ว ลดกระหน่ำจริงๆ พวกนี้หาข้อมูลได้กับทางมหาลัยหรือหน่วยงานอาสาสมัครในพื้นที่หรือหอพักได้เลยค่ะ สนุกสนานสุดๆได้เจอเพื่อนใหม่ๆเยอะด้วย
3. ลองเข้าไปทำงานในสมาคมนักเรียนต่างๆ
เข้ามาเราก็เข้าไปทำงานบริหารในสมาคมนักเรียนต่างชาติ กับนักเรียนไทยในมหาลัยเลยค่ะ อันนี้ได้ประสบการณ์ดีๆกับการทำงานกับคนที่หลากหลายเยอะมาก มีเครียดบ้างแต่ก็เป็นได้เรียนรู้เยอะ ตอนที่ทำผลลัพธ์อาจจะไม่ค่อยดีแต่ก็ได้มานั่งพิจารณาตัวเองแล้วปรับตัวเองให้ดีขึ้นค่ะ โดยเฉพาะตอนที่ทำงานกับสมาคมนักเรียนต่างชาติ เราได้ทำงานกับเพื่อนต่างชาติคนนึงที้เขาเป็นแนวอเมริกันจ๋ามาก เลยทำให้เข้าใจแนวคิดของเขามากขึ้น และก็รู้ตัวและยอมรับตัวเองมากขึ้น กล้าที่จะบอกตรงๆมากขึ้นถ้าคิดว่าความสามารถเรายังไม่ถึงหรือทำอะไรไม่ได้ และได้ปรับการควบคุมอารมณ์หรือวิธีการพูดกับคนประเภทต่างๆที่เราอาจจะต้องเจอกับคนที่เราไม่ชอบหรือรับมือยากด้วยค่ะ
4. ร่วมงานดูงาน หรือกิจกรรมต่างๆให้มาก
ด้วยความที่เรามาเรียนนิวเคลียร์เนี่ย จริงๆก็ใหม่สำหรับเรามากตอนอยู่ที่ไทยเราเรียนเอกวัสดุศาสตร์เซรามิกมาจากที่จุฬาฯค่ะ ความรู้ด้านนิวเคลียร์มีแค่ว่าฟิชชั่นคืออนุภาคใหญ่แตกเป็นเล็ก ฟิวชั่นคือเล็กรวมเป็นใหญ่ ระเบิดนิวเคลียร์ฮิโรชิม่านางาซากิ กับพวกโรงงานนิวเคลียร์ระเบิดที่เชอโนบิลกับฟุคุชิมะ 555 มาครั้งแรกความรุ้เรื่องนิวเคลียร์ต่ำเตี้ยมากจริงๆค่ะ แต่ผ่านไปสองปี เราสมัครไปดูงานที่ฟุคุชิมะที่ระเบิดมาช่วงปิดเทอม ก็นั่งรถไปถึงหน้าตึกที่ระเบิดเลยล่ะค่ะ แล้วก็ได้ไปดูงานที่โรงริวเคลียร์ที่ฮอกไกโดมา แล้วยังได้ทุนเป็นตัวแทนของโครงการที่จัดโดยมหาลัยฮอกไกโด (ซึ่งไม่ใช่มหาลัยที่เราเรียน 555) ไปดูงานที่อเมริกา 2 อาทิตย์ ได้ไปดูโรงงานนิวเคลียร์ที่แถวอิลินอยส์มาอีก 4 โรงงาน รวมไปถึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับวิศวกร บุคลากรในระดับต่างๆ และนักเรียนทั้งในและนอกสาขาถึงสถานการณ์และการแก้ปัญหาต่างๆอีกมากมาย เรารู้สึกว่า ถ้าเราไม่ได้มาเรียนที่นี่เราคงไม่ได้มีโอกาสขนาดนี้น่ะค่ะ นอกจากนี้ยังได้ไปดูงานตามบริษัทที่น่าสนใจ เช่น Google Japan, Mitsubishi, Hitashi, FE Steel โอ้ยนับไม่ถ้วนเลยค่ะ เรียกว่า ถ้าไม่ติดอะไรก็ไปหมดแทบทุกงาน 555
6. กิจกรรมนอกสาขา นอกมหาลัยถ้ามีโอกาสก็สมัครเลย
บางครั้งหมกตัวอยู่แต่ในแลปก็เครียดนะคะ เราเลยชอบสมัครไปร่วมกิจกรรมหรือลองลงแข่งอะไรที่ไม่ตรงสายบ้าง เช่น แข่งคิดไอเดียธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาในสังคม แข่งพรีเซ็นต์งานวิทยาศาสตร์ใน 3 นาที แข่งเขียน essay ตามหัวข้อที่เขากำหนด หรือลงเรียนวิชาในสาขาอื่นซึ่งเราก็สนใจด้านธุรกิจด้วยก็มีไปลงวิชาธุรกิจบ้าง design thinking บ้าง หรือด้านวิศวกรรมหน่อยก็ ergonomic อะไรแบบนี้
7. งานพิเศษ สัมภาษณ์น่าสนใจ ได้ค่าตอบแทนด้วยก็จัดสักหน่อย
คนที่มาญี่ปุ่นส่วนมากก้จะหางานพิเศษทำเป็นค่าขนมเพิ่มค่ะ สายเราก็จะหาอะไรทำยากหน่อย 555 แต่เห็นทีรุ่นพี่ที่เรียนด้าน IT ทำงานเขียนโปรแกรมก็ตรงสายงานแถมได้ค่าขนมเยอะเชียว เราก็หาแต่งานด้านภาษาซะส่วนใหญ่ค่ะ มีเคยไปลองเป็น Chat host ที่นี่เขาจะมีคนญี่ปุ่นที่ยอมเสียตังค์เป้นรายชม.เพื่อเข้ามานั่งคุยแต่ภ.อังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาตัวเองน่ะค่ะ เราก็ไปเป็นคนชวนเขาคุยก็คุยไปเรื่อยจิปาถะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ใครที่เขายังพูดไม่คล่องเราก็ช่วยเขาพูดช้าๆชัดๆ บางทีก็ทำให้เรารู้จักคนใหม่ๆ อย่างมีคนนึงเราได้รู้จักเขาเลยทำให้ได้ไปลองเวิร์คช็อป Temporary Dance สนุกดีค่ะ หรือบางทีเราก็หาข้อมูลเรื่องเที่ยวจากคนเหล่านี้แล่ะค่ะ 555 นอกจากนี้จากที่นี่จะชอบมีรับสมัครคนเพื่อไปทำเซอร์เวย์ ซึ่งถ้าเราสนใจก็สมัครไป แล้วก็จะได้ค่าตอบแทนค่ะ ก็ทำให้ได้เห็นอะไรใหม่ๆนะคะ ล่สุดมีเซอเวย์ที่ต้องการถามเรื่องดีไซน์เอาแต่คนไทยไปนั่งคุยกันเพื่ถกกันว่าอย่างไหนคือหรูหรา เรียบง่าย โมเดิร์น หรือว่ามีอีกอันให้เราไปนั่งในห้องที่เขาจะปรับบรรยากาศในคอนดิชั่นต่างๆแล้ววัดอุณหภูมิร่างกายเรา เพราะเขาจะยุคตลาดก่อสร้างพวกตึกสำนักงานในแถบอาเซียนอะไรแลบนี้น่ะค่ะ มีอันนึงชอบมาก ให้ไปชิมลูกพีช 555 อร่อยเลย
8. หาวิธีคลายเครียดที่ทำได้ง่ายไว้เป็นของตัวเอง
ถ้าเราไม่มีเวลาออกไปทำกิจกรรมต่างๆจริงๆเนี่ยก็ต้องมีเผื่อไว้ค่ะ อย่างเรา ชอบเล่นเน็ตดูยูทูป อ่านนิยาย หรือแม้กระทั่งไปคาราโอเกะคนเดียว 555 โอ้ยเครียดเมื่อไร ไปร้องคนเดียวตลอดเลยค่ะ สองสามชม. ถ้าเรารู้สึกว่าเรากำลังออกนอก Comfort zone เมื่อไร เราต้องหาวิธีอะไรสักอย่างที่สามารถดึงเรากลับมาให้ได้เร็วและง่ายที่สุดค่ะ หาให้เจอ จะช่วยได้เยอะเลยค่ะ
ก็คร่าวๆก็ประมาณนี้ล่ะค่ะ 555 หลังๆจากที่หาเรื่องใส่ตัวไปทำนุ่นนี่นั่น ตอนนี้บางทีเรื่องก็มาหาเราแทน ก็ทำให้ไม่ว่างดีค่ะ 555 เราว่าถ้าตัดสินใจเลือกจะออกมาเรียนต่างประเทศแล้วเนี่ย อย่างนึวที่ต้องยอมรับก่อนเลยคือ มันไม่ง่ายและไม่สบายเหมือนบ้านเรา เพราะเราต้องเจอความไม่คุ้นเคยในแทบทุกๆอย่างที่เจอ และยอย่างที่บอกคือเราจะไปเปลี่ยนคนอื่นให้เขาทำในสิ่งที่เราคุ้นเคยก็ไม่ได้ เพราะงั้นเราพยายามปรับตัวเองก่อน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ และอย่าปิดกั้นตัวเองในการทำความรู้จักคน การพูดคุยก็เป็นทางออกนึงที่ช่วยในการคลายเครียดได้ดีนะคะ
โอกาสที่ได้ออกมาขนาดนี้มันไม่ได้ง่าย อย่าจบไปแค่เพื่อใบปริญญา ระหว่างทางที่ได้มามันมีค่ามากกว่าเยอะนะคะ
ยาวมากเลย จะมีคนอ่านไหมนะ 555 ใครที่กำลังเครียดทักมาคุยกันได้นะคะ เราชอบคุยกับคน ชอบแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือง่ายๆคือพูดมากนั่นเอง ตอนนี้ชิวิตนักเรียนทุนของเราก็น่าจะผ่านมาเกือบครึ่งทางแล้ว ตอนนี้ยังมีความสุขดีกับชิวิตในญี่ปุ่นค่ะ ^ ^ ใครอยากหาคนคุย หาคำปรึกษาแลกเปลี่ยนก้มาคุยกันได้นะคะ
ปล. คิดว่าน่าจะมีพิมพ์ผิดเยอะเพราะว่าพิมพ์ในมือถือ ต้องขอโทษด้วยนะคะเดี๋ยวจะมาตามเช็คแล้วแก้อีกทีค่ะ
ปล2. ในสปอยด้านล้างเป็นตัวอย่างไทมไลน์ที่เราบันทึกว่าเราทำกิจกรรมอะไรไปบ้างค่ะ ใครสนใจกดดูได้นะคะ ^ ^ มีถึงแค่เดือนมค. เพราะยังทำต่อไม่เสร็จ 555