+ อยากบ่นมานานแล้วเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่หนังฮีโร่นะ แต่ในฐานะที่เราเป็นคนดูหนังทุกสาย ถึงแม้จะไม่ได้เรียนสายภาพยนตร์แต่ก็ศึกษาเรื่องหนังมามากพอสมควรจากความชอบว่วนตัวจนพอจะบอกได้ว่าหนังเรื่องไหนดีไม่ดี มีจุดบกพร่องตรงไหนบ้าง

+ เหตุเพราะฉะนั้นพอเห็นคะแนนของหนังฮีโร่ค่ายหนึ่งแล้วทำให้ผมจะรู้สึกตกใจมากๆว่าทำไมได้เยอะขนาดนั้น ทั้งที่หนังมีจุดบกพร่องชัดเจนมากๆทั้งการเล่าเรื่อง(บท)และการกำกับ แม้แต่หนังของผู้กำกับฝีมือหลายคนที่ดีมากในปีเดียวกันเกือบเทียบคะแนนกันไม่ติด ทั้งที่ภาพรวมหนังฮีโร่ค่ายนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ได้ไปไกลเกินคำว่า "ค่อนข้างดี"

+ อีกค่ายหนึ่งก็ทำหนังห่วยมาหลายเรื่อง แฟนคลับก็ต้องยอมรับว่ามันแย่จริง แต่ก็น่าเห็นใจช่วงหลังๆว่าเหมือนโดนกดให้ดูต่ำกว่าคุณภาพเนื้อแท้ของมัน

+ อันนี้ไม่ได้จะมาเรียกร้องมาแก้ต่างหรือป้ายสีใครนะ แค่อยากจะชี้ให้เห็นอิทธิพลของคำวิจารณ์ที่มีต่อคนยุคนี้ บางคนเห็นลูกมะเขือสีเขียวก็ไม่คิดจะไปลองดูหนังสักเรื่องแล้ว

+ อยากพูดถึงเรื่องอำนาจของนักวิจารณ์หน่อย อย่างที่รู้กันว่าอำนาจกับมนุษย์แยกจากกันแทบไม่ได้ เราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ เรื่องเล่า หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ว่ามนุษย์โหยหาอำนาจบางอย่างที่ควบคุมโลกที่ตัวเองอาศัยอยู่ ในมิติของหนังแล้วนักวิจารณ์ก็เป็นผู้มีอำนาจมากคนหนึ่ง พวกเขาสามารถชักจูงความคิดของคนอื่นไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการได้ การจะไม่เกิดความลำเอียงเลยในคำวิจารณ์ก็คงจะทำได้ยาก เพราะการวิจารณ์โดยใส่ฉันทคติหรืออคติลงไปไม่ใช่เรื่องผิดบาปใหญ่หลวงอะไร ไม่ได้มีกฎหมายลงโทษ ไม่ได้มีสังคมมาประณาม ดังนั้นมันง่ายมากที่คนที่มีอำนาจจะใช้อำนาจโดยที่ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องผิด

+ ผมไม่รู้หรอกว่าขอบเขตหนังวิจารณ์ที่ดีควรเป็นแบบไหน หรือการวิจารณ์มีจรรยาบรรณอะไรบ้าง แต่เพราะผมเป็นคนคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งจึงมองว่านักวิจารณ์เป็นกลุ่มคนที่มาให้คำชี้แนะเกี่ยวกับหนังก่อนผู้ชมจะตัดสินใจเลือกจริงๆควรแยกความชอบส่วนตัวจากเนื้อแท้หนัง เพราะหนังที่ดีไม่ใช่หนังที่เราชอบ อย่างน้อยนักวิจารณ์ที่ได้รับการยอมรับควรมีเส้นแบ่งในการชักชวนผู้ชมให้มาดูหนังที่เขาชอบ อย่างเช่น ส่วนตัวผมเองมองว่าธอร์ภาค 3 นั้นเป็นหนังที่บันเทิงและไม่เสียดายเงินเลย แต่มันกลับแห้งแล้งในเรื่องของบทที่แสนจะเรียบง่ายจนนึกว่าเป็นหนังคอมเมดี้ ผมก็อาจจะเขียนคำวิจารณ์ว่า "ธอร์สนุกมาก ฮาทั้งเรื่อง ซิกส์แพคธอร์แน่นมาก คุ้มเงินสุดๆ แต่ใครจะดูความสดใหม่หรือความจริงจังของเนื้อหา หนังเรื่องนี้อาจจะไม่มีให้"

+ การวิจารณ์แบบนี้มันน่าจะยุติธรรมกับทั้งหนังและทั้งคนดู ไม่งั้นนักวิจารณ์ก็จะเหมือนกับพรีเซนเตอร์คนหนึ่งที่ไม่ได้ชี้นำแนะเพื่อผลประโยชน์ของคนดูแต่แค่โฆษณาชวนเชื่อให้กับหนังที่ตัวเองชอบเพื่อความพึงพอใจตัวเอง

+ สรุปสุดท้าย ใครที่อยากวิจารณ์หรือแชร์ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับหนังก็บอกจุดประสงค์ไปเลยว่าอยากเชียร์ อยากแขวะ คือแค่วิเคราะห์ตัวหนัง ถ้านักวิจารณ์สนแต่จะให้คนดูเข้าใจว่าหนังที่ฉันชอบคือหนังดี อีกไม่นานก็จะมีแค่หนังไม่กี่แนวออกมา ความหลากหลายในแวดวงหนังก็จะลดลง หนังดีๆที่สมควรจะได้รับความชื่นชมก็จะหายไปจากการขาดรายได้ วงการภาพยนตร์ก็จะหมดคุณค่าไม่สมกับความตั้งใจของนักสร้างหนังก่อนหน้านี้บรรจงสร้างมา