Justice League เป็นภาพยนตร์รวมทีมฮีโร่ครั้งแรกของฝั่ง DC Comics ถ้านับจากการเปิดจักรวาล Man of Steel ก็นับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 5 ขณะที่ The Avengers ของฝั่ง Marvel นับเป็นเรื่องที่ 6 ซึ่งต่างกันแค่เรื่องเดียว แต่ขณะที่ฝั่งของ Marvel เป็นการปูตัวละครหลักฮีโร่ ด้วยหนังเดี่ยวไป 4 ตัว ของฝั่ง DC กลับมีจริงๆ เพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น
Justice League จะนับว่าเป็นการปิดไตรภาคของ Zack Snyder ในจักรวาลหนัง DC ที่เค้าเริ่มมาก็คงไม่ผิดนัก นับตั้งแต่ Man of Steel จุดเริ่มต้นจักรวาล DC ด้วยการกำเนิด Superman ต่อด้วย Batman v Superman: Dawn of Justice ที่เริ่มเป็นการขยายจักรวาลออกไปนิดให้ Superman ได้เจอกับฮีโร่ที่ดังที่สุดอีกคนของค่ายอย่าง Batman สุดท้ายกับการรวมทีมฮีโร่ครั้งแรกของ DC ใน Justice League โดยเรื่องราวจะเกี่ยวกับ Batman กับการรวบรวมบุคคลผู้มีความสามารถพิเศษ เพื่อมาช่วยกันปกป้องโลก จากภัยร้ายที่มองไม่เห็น
ถ้าใครตามข่าวหนังมาคงจะพอทราบกันว่า Justice League เป็นงานหนังที่เป็นการยำใหญ่ระหว่าง Zack Snyder และ Joss Whedon โดยเริ่มจาก Zack ทำหนังที่โทนสว่างขึ้น เบาขึ้น แต่ความยาวของหนังยังยาวจนเกือบ 3 ชม. ผู้บริหารของค่าย Warner Bros. ก็ได้ลงดาบสั่งเด็ดขาดว่าหนังจะต้องสั้นไม่เกิน 2 ชม. หลังจากปัญหาหนัง Batman v Superman ที่ยาวจนเกินไปจนต้องถูกตัด ซึ่งตัดไปตัดมาจนทำให้หนังเล่าเรื่องได้สะเปะสะปะ คราวนี้จึงแก้ปัญหาให้ Joss มาแก้บทให้ใหม่ ให้รวบรัดขึ้น ให้สั้นลง และต่อเนื่องจากฉากที่ต้องตัด สุดท้าย Zack ก็ต้องออกจากหนังที่ตัวเองปลุกปั้นมานาน เนื่องจากปัญหาครอบครัว Joss ถึงได้คุมงานถ่ายซ่อมทั้งหมด พร้อมทั้งเป็นคนกำหนดทิศทางหลายๆอย่างใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ไล่คนประพันธ์เพลงอย่าง Junkie XL แล้วเอา Danny Elfman เพื่อนตัวเองเข้ามาเสียบแทน
ยังไม่นับ Geoff Johns ที่เข้ามาโปรดิวซ์โดยต้องการให้ทิศทางของ DC ไปใกล้เคียง Comics มากขึ้น ทำให้หนังเรื่องนี้ เหมือนเป็นการยำใหญ่ของ 2 ผู้กำกับ เหมือนกับอาหารที่พ่อครัวคนนึงปรุงไว้เกือบเสร็จ ต้องถูกเอามาปรุงเป็นเมนูอื่นโดยพ่อครัวอีกคนนึง นั่นทำให้ Justice League มีทุนสร้างที่ปาไปเกือบ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ และด้วยการปรุงของ 2 พ่อครัว 2 แนวทาง ทำให้ทิศทางของหนังดูประหลักประเหลือกไปอย่างเห็นได้ชัด ยังไม่รวมถึง ตัวละครบางตัว ที่ดูผิดบุคลิกไปจากภาคก่อนอย่างที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าการพัฒนาตัวละครได้ไหม ซึ่งด้วยการปูพื้นด้านอารมณ์ในภาคก่อนๆที่ยังไม่แข็งแรง ทำให้ภาคนี้ด้านอารมณ์ที่จะอินไปพร้อมเรื่องราวก็ทำให้ดูไม่แข็งแรงเช่นกัน
แต่ Justice League ยังมีงานออกแบบที่ดูดี ไม่ว่าจะ การดีไซน์ฉากแอคชั่นที่ทำให้เราว้าวได้สุดๆในช่วงแรก และช่วงกลางของเรื่อง หรือการออกแบบตัวละครฮีโร่แต่ละตัว ที่บางตัวก็บิดไปจาก Comics เพื่อให้ไม่ซ้ำและดูแต่ละคนมีจุดเด่นของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด มีการกระจายบทที่พอดี และเคมีของนักแสดงทุกคน รวมถึงบทพูดและมุกตลกเล็กๆน้อย ก็จะทำให้เรารัก และแบกหนังได้อยู่พอตัว แต่ในขณะเดียวกัน การเล่าเรื่อง แม้ดูเหมือนจะลื่นไหล แต่กลับให้ความรู้สึกสะเปะสะปะ และไม่อินไปกับเรื่องราวต่างๆ เพราะจะสังเกตุได้ถึงความไม่ต่อเนื่องของฉากที่มีการถ่ายซ่อมให้สะดุดใจในหลายๆครั้ง และด้วยที่งบสร้างบานปลาย และต้องถ่ายซ่อมในเวลาอันใกล้ ด้วยปัญหากระจุกกระจิกต่างๆ แถมทั้งเรื่องยังอยู่ในโทนสว่างมากขึ้น ทำให้มีปัญหาเรื่อง CGI อย่างเห็นได้ชัด
สรุป Justice League เป็นงานหนังรวมฮีโร่ของ DC ที่สนุก บันเทิง และเพลิดเพลินไปกับมันตลอดที่หนังฉายได้ แต่ไม่ถึงกับประทับใจมากมายนัก เพราะว่าด้วยวัตถุดิบต่างๆที่มันมีในตอนนี้ มันควรจะปรุงได้ดีกว่า มันควรจะทำให้เราอิน และรู้สึกตื่นตาไปกับมันได้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้หนัง Justice League มาในยุคที่การทำจักรวาลหนังร่วมฮีโร่ ไม่ได้สดใหม่และตื่นตาได้เท่าสมัย The Avengers ภาคแรกอีกแล้ว
สิ่งที่ชอบ
- งานกำกับภาพ ที่ยังคงเอกลักษณ์และความสวยงามเช่นเคย
- นักแสดงแต่ละคนก็สร้างตัวละครได้ดีทำให้เรารักได้ไม่ยาก
- ฉากแอคชั่นต่างๆให้ความบันเทิงได้ดีแม้จะแผ่วปลายหน่อย
- เคมีตัวละครที่ดี และแทรกมุกตลกเล็กๆน้อยๆพอดิบพอดี
สิ่งที่ไม่ชอบ
- การเล่าเรื่องและการตัดต่อที่หยาบทำให้ไม่อินไปกับเรื่องราว
- งาน CGI ในบางช่วงที่ดูหยาบไม่สมราคาทุนสร้าง
ข้าน้อยขอคารวะ 6/10 จอก ครับผม
ให้ "ไฟเขียว" แนะนำครับ
[รีวิวสินค้า]Justice League เรื่องราวยังไม่อิน แต่ฟินตัวละคร
Justice League จะนับว่าเป็นการปิดไตรภาคของ Zack Snyder ในจักรวาลหนัง DC ที่เค้าเริ่มมาก็คงไม่ผิดนัก นับตั้งแต่ Man of Steel จุดเริ่มต้นจักรวาล DC ด้วยการกำเนิด Superman ต่อด้วย Batman v Superman: Dawn of Justice ที่เริ่มเป็นการขยายจักรวาลออกไปนิดให้ Superman ได้เจอกับฮีโร่ที่ดังที่สุดอีกคนของค่ายอย่าง Batman สุดท้ายกับการรวมทีมฮีโร่ครั้งแรกของ DC ใน Justice League โดยเรื่องราวจะเกี่ยวกับ Batman กับการรวบรวมบุคคลผู้มีความสามารถพิเศษ เพื่อมาช่วยกันปกป้องโลก จากภัยร้ายที่มองไม่เห็น
ถ้าใครตามข่าวหนังมาคงจะพอทราบกันว่า Justice League เป็นงานหนังที่เป็นการยำใหญ่ระหว่าง Zack Snyder และ Joss Whedon โดยเริ่มจาก Zack ทำหนังที่โทนสว่างขึ้น เบาขึ้น แต่ความยาวของหนังยังยาวจนเกือบ 3 ชม. ผู้บริหารของค่าย Warner Bros. ก็ได้ลงดาบสั่งเด็ดขาดว่าหนังจะต้องสั้นไม่เกิน 2 ชม. หลังจากปัญหาหนัง Batman v Superman ที่ยาวจนเกินไปจนต้องถูกตัด ซึ่งตัดไปตัดมาจนทำให้หนังเล่าเรื่องได้สะเปะสะปะ คราวนี้จึงแก้ปัญหาให้ Joss มาแก้บทให้ใหม่ ให้รวบรัดขึ้น ให้สั้นลง และต่อเนื่องจากฉากที่ต้องตัด สุดท้าย Zack ก็ต้องออกจากหนังที่ตัวเองปลุกปั้นมานาน เนื่องจากปัญหาครอบครัว Joss ถึงได้คุมงานถ่ายซ่อมทั้งหมด พร้อมทั้งเป็นคนกำหนดทิศทางหลายๆอย่างใหม่ ยกตัวอย่างเช่น ไล่คนประพันธ์เพลงอย่าง Junkie XL แล้วเอา Danny Elfman เพื่อนตัวเองเข้ามาเสียบแทน
ยังไม่นับ Geoff Johns ที่เข้ามาโปรดิวซ์โดยต้องการให้ทิศทางของ DC ไปใกล้เคียง Comics มากขึ้น ทำให้หนังเรื่องนี้ เหมือนเป็นการยำใหญ่ของ 2 ผู้กำกับ เหมือนกับอาหารที่พ่อครัวคนนึงปรุงไว้เกือบเสร็จ ต้องถูกเอามาปรุงเป็นเมนูอื่นโดยพ่อครัวอีกคนนึง นั่นทำให้ Justice League มีทุนสร้างที่ปาไปเกือบ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ และด้วยการปรุงของ 2 พ่อครัว 2 แนวทาง ทำให้ทิศทางของหนังดูประหลักประเหลือกไปอย่างเห็นได้ชัด ยังไม่รวมถึง ตัวละครบางตัว ที่ดูผิดบุคลิกไปจากภาคก่อนอย่างที่ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าการพัฒนาตัวละครได้ไหม ซึ่งด้วยการปูพื้นด้านอารมณ์ในภาคก่อนๆที่ยังไม่แข็งแรง ทำให้ภาคนี้ด้านอารมณ์ที่จะอินไปพร้อมเรื่องราวก็ทำให้ดูไม่แข็งแรงเช่นกัน
แต่ Justice League ยังมีงานออกแบบที่ดูดี ไม่ว่าจะ การดีไซน์ฉากแอคชั่นที่ทำให้เราว้าวได้สุดๆในช่วงแรก และช่วงกลางของเรื่อง หรือการออกแบบตัวละครฮีโร่แต่ละตัว ที่บางตัวก็บิดไปจาก Comics เพื่อให้ไม่ซ้ำและดูแต่ละคนมีจุดเด่นของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด มีการกระจายบทที่พอดี และเคมีของนักแสดงทุกคน รวมถึงบทพูดและมุกตลกเล็กๆน้อย ก็จะทำให้เรารัก และแบกหนังได้อยู่พอตัว แต่ในขณะเดียวกัน การเล่าเรื่อง แม้ดูเหมือนจะลื่นไหล แต่กลับให้ความรู้สึกสะเปะสะปะ และไม่อินไปกับเรื่องราวต่างๆ เพราะจะสังเกตุได้ถึงความไม่ต่อเนื่องของฉากที่มีการถ่ายซ่อมให้สะดุดใจในหลายๆครั้ง และด้วยที่งบสร้างบานปลาย และต้องถ่ายซ่อมในเวลาอันใกล้ ด้วยปัญหากระจุกกระจิกต่างๆ แถมทั้งเรื่องยังอยู่ในโทนสว่างมากขึ้น ทำให้มีปัญหาเรื่อง CGI อย่างเห็นได้ชัด
สรุป Justice League เป็นงานหนังรวมฮีโร่ของ DC ที่สนุก บันเทิง และเพลิดเพลินไปกับมันตลอดที่หนังฉายได้ แต่ไม่ถึงกับประทับใจมากมายนัก เพราะว่าด้วยวัตถุดิบต่างๆที่มันมีในตอนนี้ มันควรจะปรุงได้ดีกว่า มันควรจะทำให้เราอิน และรู้สึกตื่นตาไปกับมันได้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้หนัง Justice League มาในยุคที่การทำจักรวาลหนังร่วมฮีโร่ ไม่ได้สดใหม่และตื่นตาได้เท่าสมัย The Avengers ภาคแรกอีกแล้ว
สิ่งที่ชอบ
- งานกำกับภาพ ที่ยังคงเอกลักษณ์และความสวยงามเช่นเคย
- นักแสดงแต่ละคนก็สร้างตัวละครได้ดีทำให้เรารักได้ไม่ยาก
- ฉากแอคชั่นต่างๆให้ความบันเทิงได้ดีแม้จะแผ่วปลายหน่อย
- เคมีตัวละครที่ดี และแทรกมุกตลกเล็กๆน้อยๆพอดิบพอดี
สิ่งที่ไม่ชอบ
- การเล่าเรื่องและการตัดต่อที่หยาบทำให้ไม่อินไปกับเรื่องราว
- งาน CGI ในบางช่วงที่ดูหยาบไม่สมราคาทุนสร้าง
ข้าน้อยขอคารวะ 6/10 จอก ครับผม
ให้ "ไฟเขียว" แนะนำครับ