ผู้ชายแปลกหน้า
โดย...ล. วิลิศมาหรา
เช้าวันนี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ คงเพราะได้หลับเต็มอิ่มจากอากาศเย็นสบายหลังฝนตกเมื่อคืน ยังไม่อยากลุกจากที่นอนอันแสนสุขไปไหน ก็เลยนอนฟังเสียงนกกางเขนสองตัวผัวเมีย ร้องจุ๊กๆ จิ๊กๆ นอกหน้าต่างห้องนอนต่ออีกสักครู่ เจ้านกคู่รักสองตัวนี้เมื่อวานมันก็พากันมา ท่าทางมันคงอยากจะสร้างรังรักแถวนี้เสียก็ไม่รู้...ไม่เอาน่า ฉันอิจฉาแกรู้ไหม
สักพักถึงชันตัวเอื้อมมือไปแง้มม่านหน้าต่างหัวเตียงออกดู ก็พบว่านอกจากเสียงนกร้องแล้ว ต้นเยอบีร่าในแปลงดอกไม้หน้าบ้านก็พากันออกดอกชูช่อบานสะพรั่ง สวยจนอดใจไม่ไหว เห็นทีต้องขอออกไปเชยชมพวกมันสักหน่อย
ลุกจากเตียงหาเสื้อคลุมตัวยาวมาสวมทับชุดนอนสีชมพูตัวโปรดอีกที ชุดนอนตัวนี้เมื่อคืนวานฉันก็ใส่นอน เพราะชอบเนื้อผ้าที่เนียนนุ่ม พริ้วเบาใส่นอนสบาย อีกอย่างก็คือรู้สึกประทับใจมันยังไงบอกไม่ถูก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ออกมานั่งชมดอกไม้ที่เก้าอี้สนามหน้าบ้านพร้อมแก้วกาแฟควันฉุย ขณะกำลังชื่นชมบรรยากาศรอบตัว ฉันก็เริ่มผิดสังเกต
ผู้ชายมีอายุคนนั้นอีกแล้วที่ชอบวนเวียนมาทำตัวลับๆ ล่อๆ ข้างนอกรั้วบ้าน เขาชอบแอบมายืนมองอยู่แถวนั้นประจำ คราวนี้มาติดกันสองวันแล้วนะ เมื่อเช้าวานนี้ก็เหมือนกัน พอฉันออกมาข้างนอกตัวบ้านก็เห็นเขายืนอยู่แล้ว ทำหูตาแพรวพราว แถมยังโบกไม้โบกมือให้ ทะลึ่งนักเชียว นี่คงเห็นฉันอยู่ตัวคนเดียวล่ะสิ
รู้สึกรำคาญปนอายก็เลยเบือนหน้าหนี เมื่อกี้ก่อนออกมาฉันแค่ล้างหน้าแปรงฟันลวกๆ เช้านี้รู้สึกหนาวกว่าทุกวันก็เลยยังไม่ได้อาบน้ำ แหม...ลืมส่องกระจกหวีผมทาแป้งเสียหน่อยก็ดี ลิปสติกสีแดงๆ ยังพอมีเหลือ
เฮ้อ...อายุปูนนี้แล้วดันมีผู้ชายมาแอบมอง มันดูประหลาดอยู่เหมือนกัน แต่ฉันค่อนข้างระวังตัว ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ หรอก ผู้ชายที่ไหนจะมาชอบคนแก่ จริงไหมล่ะ
วันนี้เขาแต่งตัวดีกว่าเมื่อวาน สวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนกับกางเกงทรงสแล็คสีดำ เก็บชายเสื้อสอดในเอวกางเกง คาดเข็มขัดหนังดูเรียบร้อย
อืม...เขาแต่งตัวเข้าท่าดี รูปร่างหน้าตาก็โอเค คิดว่าคงอ่อนแก่กว่าฉันไม่เท่าไหร่
ตายจริง...นี่ฉันเป็นอะไรไป ถึงกับสังเกตเขาอย่างละเอียดเพียงนี้เชียวหรือ รู้สึกละอายใจตัวเองที่สนใจผู้ชายแปลกหน้า เสียภาพพจน์ความเป็นกุลสตรีหมด
แต่ก็อดชำเลืองแลไปทางเขาอีกไม่ได้ ตกใจที่เห็นเขาส่งยิ้มให้ แล้วทำท่าเหมือนจะเปิดประตูรั้วบ้านเข้ามา ฉันไม่ยอมยิ้มตอบ ลุกขึ้นยืนเกร็งตัว จ้องหน้าเขาพลางขมวดคิ้วบอกให้รู้ว่าไม่ค่อยชอบใจ แต่ดูเหมือนเขาไม่สนใจท่าทีของฉัน
อ้าว! เขาเปิดประตูรั้วเข้ามาจริงๆ ฉันหันซ้ายแลขวามองหาทางหนีทีไล่ บ้านหลังติดกันก็เงียบเชียบ ไม่เห็นมีใครแถวนี้สักคน ฉันตั้งท่าพร้อมจะออกวิ่งทันที ถ้าเกิดมีอะไรไม่ชอบมาพากล
แต่พอเข้ามาใกล้เห็นเขาค้อมศีรษะลงทักทาย โดยไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้ามาข่มขู่คุกคาม ยิ้มกว้างขวางบนใบหน้าดูเปิดเผยจริงใจดี มองหน้าเขาอีกครั้งก็ดูท่าทางเหมือนเป็นคนใจดี มันทำให้ฉันคลายอาการเกร็งตัวลง หรือว่าฉันจะลองคุยกับเขาดูก่อน
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณนุ่น” เอ๊ะ! เขารู้จักชื่อฉันได้ยังไง อย่างนี้แสดงว่าต้องลอบสืบเรื่องราวของฉันมาก่อนแล้วแน่นอน เขาต้องการอะไรจากฉันกันแน่
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ตัดสินใจว่าจะลองคุยด้วยดูสักหน่อย อย่างน้อยท่าทีเขาก็สุภาพดีอยู่
“วันนี้คุณดูสวยสดชื่นจังเลยนะครับ”
สวย...เขาชมว่าป้าแก่หน้าตาซีดเซียว สวมเสื้อคลุมเก่าๆ น้ำไม่ได้อาบ ผมไม่ได้หวีอย่างฉันสวยงั้นเหรอ นิ่วหน้ามองเขาอย่างสงสัยว่าจะมาไม้ไหน
ทันใดนั้น เขาก็งัดดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ออกมาจากมือที่ไพล่หลัง ยื่นมันมาให้ตรงหน้า ฉันตกตะลึงอ้าปากหวอ
ตายแล้ว! อกอีแป้นจะแตก...มีผู้ชายแปลกหน้ามาให้ดอกกุหลาบถึงบ้าน ฉันยืนนิ่งขึงเพราะคาดไม่ถึง อึกอักอ้ำอึ้ง ยังไม่ยอมยื่นมือไปรับ
“สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ ผมมีดอกไม้มาฝาก”
กรี๊ด...อยากร้องออกมาดังๆ ฉันได้ดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์กับเขาหรือนี่
อ้อ ใช่แล้ว เมื่อวานแม่บ้านก็บอกอยู่ว่าพรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์ แต่ฉันไม่ได้สนใจอะไรกับมันมากมาย พ้นมาจากความรู้สึกโรแมนติกแบบนั้นนานแล้ว แต่วันนี้คล้ายกับตัวเองกำลังตกอยู่ในความฝัน ฉันยื่นมือไปรับเอาช่อดอกไม้มา แล้วแอบหยิกหลังมือตัวเองดู ซึ่งก็รู้สึกเจ็บ มันได้ช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเรื่องจริง
เหลือบมองสบตาเป็นประกายคู่นั้นของเขา โอ้ย...อย่านะ อย่ามาสารภาพรัก
“นุ่นครับ ผมรักคุณ”
ว่าแล้วไหมล่ะ อาย...ฉันอายหนักมาก สาวแก่รูปร่างหน้าตาเชยๆ อย่างฉันมีคนมาบอกรักในวันวาเลนไทน์
แต่เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน ทำไมมันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ความสงสัยแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ นั่นสิ เขาเป็นใครกัน มาบอกรักฉันได้ยังไงในเมื่อเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“เอ้อ คุณคะ เดี๋ยวก่อนนะ ฉันไม่รู้จักคุณ ทำไมคุณถึงมาบอกรักฉันแบบนี้ คุณเป็นใครกัน”
“นั่งคุยกับผมสักครู่ได้ไหมครับ” เขาไม่ตอบ แต่กลับขอร้องให้ฉันนั่งคุยด้วย แถมยังทรุดนั่งลงก่อน ฉันมองกุหลาบสีแดงในมือแล้วเลยใจอ่อน ยอมนั่งลงตามโดยดี ดูทีรึว่าเขาจะว่ายังไง แน่ะ...เขายิ้มใส่ตาฉันอีกแล้ว
“ผมมีอะไรให้คุณดู”
เขาดึงบางสิ่งจากกระเป๋าอกเสื้อยื่นส่งให้ มันคือรูปภาพขนาดโปสการ์ดแผ่นหนึ่ง ฉันรับมาดูอย่างงุนงง รูปในนั้นเป็นรูปงานแต่งงานของชายหญิงคู่หนึ่ง บ่าวสาวในชุดวิวาห์ยืนยิ้มกุมมือกันอยู่บนเวที รอยยิ้มกว้างขวางเบิกบานของเจ้าบ่าวบ่งบอกถึงความสุขสม ป้ายผ้าข้างหลังติดตัวอักษรอ่านว่า
“สมรสสมรัก นพพร-พวงชมพู สิบสี่กุมภาพันธ์ 2529”
“ที่รัก”
ฉันครางเรียกเขาเสียงแผ่ว ความทรงจำแล่นวาบเข้ามาในสมองราวสายฟ้าแลบ
“นพ...นุ่นจำคุณได้แล้ว ที่รัก คุณนั่นเอง”
ฉันจำเขาได้แล้วจริงๆ ผู้ชายคนนี้คือสามีสุดที่รักของฉันเอง โอ้ ทำไมฉันถึงลืมเขาได้ลงคอ วันนี้คือวันครบรอบแต่งงานปีที่สามสิบของเรา เขาถึงมีช่อดอกกุหลาบมาให้
นพพรมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน ลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมาหา เขาดึงตัวฉันให้ลุกขึ้นตาม ก่อนโอบกอดฉันไว้ในวงแขน ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ และรู้สึกถึงตัวเขาสั่นสะท้าน ฉันเองก็ร้องไห้โฮ
“ดีใจเหลือเกินที่วันนี้คุณจำผมได้ หลายวันแล้วที่คุณลืมผม ลืมลูก มีเพียงบางวันที่คุณจำความหลังได้สั้นๆ ครั้งละไม่เกินสิบนาที คุณไม่ยอมให้ผมอยู่ด้วยเพราะคิดว่าผมเป็นคนแปลกหน้า จนผมต้องซื้อบ้านติดกันไว้อีกหลัง ผมเพียรมาหาคุณทุกวัน เฝ้ารอให้คุณจำผมได้แม้แค่เวลาสั้นๆ ดูสิ ถึงคุณจำผมไม่ได้ แต่คุณก็ใส่แต่ชุดนอนตัวนี้ที่ผมซื้อให้”
เขาพูดแล้วยิ้มทั้งน้ำตา เกลี่ยนิ้วเช็ดหยดน้ำบนพวงแก้มให้ฉัน
“นุ่นครับ ผมอยากให้คุณจำไว้ว่าผมรักคุณ รักเหลือเกิน ลูกๆ ทุกคนสบายดี เต้ยเรียนจบได้ทำงานแล้ว ตองกำลังจะรับปริญญาปีหน้า ดีใจไหมครับ”
ฉันพยักหน้า น้ำตาไหลพราก เจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เวรกรรมอะไรหนอที่ทำให้เราสองคนต้องทุกข์ทรมานถึงปานนี้
ที่แท้ฉันป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม ลืมเรื่องราวระยะยาวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว นึกขึ้นได้เป็นบางครั้งเท่านั้น จำได้แต่เรื่องสั้นๆ ที่ผ่านมาสองสามวัน จากนั้นก็ลืมอีก
ฉันลืมแม้กระทั่งตัวเองเป็นใคร ลืมผู้ชายคนที่เคยเป็นดังดวงใจ เราสองคนยืนกอดกันร้องไห้ ฉันกอดเขาแน่นเหมือนกลัวว่าเขาจะหลุดหายไปจากความทรงจำอีก
“นุ่นรักคุณค่ะ บอกลูกด้วยว่าแม่รักลูกทุกคน รักมาก นุ่นจะไม่มีวันลืมคุณกับลูกเป็นอันขาด...ไม่มีวะ...เอ๊ะ! ตายแล้ว...”
ฉันร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจ โอ้ย...ฉันถึงกับกอดผู้ชายแปลกหน้า...นี่ฉันไปหลงใหลได้ปลื้มเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รีบผลักเขาออกห่างอย่างแรง...บ้าจริงเชียว ไอ้ผู้ชายชอบฉวยโอกาส!
จบบริบูรณ์
ผู้ชายแปลกหน้า (รีไร้ท์)
โดย...ล. วิลิศมาหรา
เช้าวันนี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ คงเพราะได้หลับเต็มอิ่มจากอากาศเย็นสบายหลังฝนตกเมื่อคืน ยังไม่อยากลุกจากที่นอนอันแสนสุขไปไหน ก็เลยนอนฟังเสียงนกกางเขนสองตัวผัวเมีย ร้องจุ๊กๆ จิ๊กๆ นอกหน้าต่างห้องนอนต่ออีกสักครู่ เจ้านกคู่รักสองตัวนี้เมื่อวานมันก็พากันมา ท่าทางมันคงอยากจะสร้างรังรักแถวนี้เสียก็ไม่รู้...ไม่เอาน่า ฉันอิจฉาแกรู้ไหม
สักพักถึงชันตัวเอื้อมมือไปแง้มม่านหน้าต่างหัวเตียงออกดู ก็พบว่านอกจากเสียงนกร้องแล้ว ต้นเยอบีร่าในแปลงดอกไม้หน้าบ้านก็พากันออกดอกชูช่อบานสะพรั่ง สวยจนอดใจไม่ไหว เห็นทีต้องขอออกไปเชยชมพวกมันสักหน่อย
ลุกจากเตียงหาเสื้อคลุมตัวยาวมาสวมทับชุดนอนสีชมพูตัวโปรดอีกที ชุดนอนตัวนี้เมื่อคืนวานฉันก็ใส่นอน เพราะชอบเนื้อผ้าที่เนียนนุ่ม พริ้วเบาใส่นอนสบาย อีกอย่างก็คือรู้สึกประทับใจมันยังไงบอกไม่ถูก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ออกมานั่งชมดอกไม้ที่เก้าอี้สนามหน้าบ้านพร้อมแก้วกาแฟควันฉุย ขณะกำลังชื่นชมบรรยากาศรอบตัว ฉันก็เริ่มผิดสังเกต
ผู้ชายมีอายุคนนั้นอีกแล้วที่ชอบวนเวียนมาทำตัวลับๆ ล่อๆ ข้างนอกรั้วบ้าน เขาชอบแอบมายืนมองอยู่แถวนั้นประจำ คราวนี้มาติดกันสองวันแล้วนะ เมื่อเช้าวานนี้ก็เหมือนกัน พอฉันออกมาข้างนอกตัวบ้านก็เห็นเขายืนอยู่แล้ว ทำหูตาแพรวพราว แถมยังโบกไม้โบกมือให้ ทะลึ่งนักเชียว นี่คงเห็นฉันอยู่ตัวคนเดียวล่ะสิ
รู้สึกรำคาญปนอายก็เลยเบือนหน้าหนี เมื่อกี้ก่อนออกมาฉันแค่ล้างหน้าแปรงฟันลวกๆ เช้านี้รู้สึกหนาวกว่าทุกวันก็เลยยังไม่ได้อาบน้ำ แหม...ลืมส่องกระจกหวีผมทาแป้งเสียหน่อยก็ดี ลิปสติกสีแดงๆ ยังพอมีเหลือ
เฮ้อ...อายุปูนนี้แล้วดันมีผู้ชายมาแอบมอง มันดูประหลาดอยู่เหมือนกัน แต่ฉันค่อนข้างระวังตัว ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ หรอก ผู้ชายที่ไหนจะมาชอบคนแก่ จริงไหมล่ะ
วันนี้เขาแต่งตัวดีกว่าเมื่อวาน สวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนกับกางเกงทรงสแล็คสีดำ เก็บชายเสื้อสอดในเอวกางเกง คาดเข็มขัดหนังดูเรียบร้อย
อืม...เขาแต่งตัวเข้าท่าดี รูปร่างหน้าตาก็โอเค คิดว่าคงอ่อนแก่กว่าฉันไม่เท่าไหร่
ตายจริง...นี่ฉันเป็นอะไรไป ถึงกับสังเกตเขาอย่างละเอียดเพียงนี้เชียวหรือ รู้สึกละอายใจตัวเองที่สนใจผู้ชายแปลกหน้า เสียภาพพจน์ความเป็นกุลสตรีหมด
แต่ก็อดชำเลืองแลไปทางเขาอีกไม่ได้ ตกใจที่เห็นเขาส่งยิ้มให้ แล้วทำท่าเหมือนจะเปิดประตูรั้วบ้านเข้ามา ฉันไม่ยอมยิ้มตอบ ลุกขึ้นยืนเกร็งตัว จ้องหน้าเขาพลางขมวดคิ้วบอกให้รู้ว่าไม่ค่อยชอบใจ แต่ดูเหมือนเขาไม่สนใจท่าทีของฉัน
อ้าว! เขาเปิดประตูรั้วเข้ามาจริงๆ ฉันหันซ้ายแลขวามองหาทางหนีทีไล่ บ้านหลังติดกันก็เงียบเชียบ ไม่เห็นมีใครแถวนี้สักคน ฉันตั้งท่าพร้อมจะออกวิ่งทันที ถ้าเกิดมีอะไรไม่ชอบมาพากล
แต่พอเข้ามาใกล้เห็นเขาค้อมศีรษะลงทักทาย โดยไม่ได้มีทีท่าว่าจะเข้ามาข่มขู่คุกคาม ยิ้มกว้างขวางบนใบหน้าดูเปิดเผยจริงใจดี มองหน้าเขาอีกครั้งก็ดูท่าทางเหมือนเป็นคนใจดี มันทำให้ฉันคลายอาการเกร็งตัวลง หรือว่าฉันจะลองคุยกับเขาดูก่อน
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณนุ่น” เอ๊ะ! เขารู้จักชื่อฉันได้ยังไง อย่างนี้แสดงว่าต้องลอบสืบเรื่องราวของฉันมาก่อนแล้วแน่นอน เขาต้องการอะไรจากฉันกันแน่
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ตัดสินใจว่าจะลองคุยด้วยดูสักหน่อย อย่างน้อยท่าทีเขาก็สุภาพดีอยู่
“วันนี้คุณดูสวยสดชื่นจังเลยนะครับ”
สวย...เขาชมว่าป้าแก่หน้าตาซีดเซียว สวมเสื้อคลุมเก่าๆ น้ำไม่ได้อาบ ผมไม่ได้หวีอย่างฉันสวยงั้นเหรอ นิ่วหน้ามองเขาอย่างสงสัยว่าจะมาไม้ไหน
ทันใดนั้น เขาก็งัดดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ออกมาจากมือที่ไพล่หลัง ยื่นมันมาให้ตรงหน้า ฉันตกตะลึงอ้าปากหวอ
ตายแล้ว! อกอีแป้นจะแตก...มีผู้ชายแปลกหน้ามาให้ดอกกุหลาบถึงบ้าน ฉันยืนนิ่งขึงเพราะคาดไม่ถึง อึกอักอ้ำอึ้ง ยังไม่ยอมยื่นมือไปรับ
“สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ ผมมีดอกไม้มาฝาก”
กรี๊ด...อยากร้องออกมาดังๆ ฉันได้ดอกกุหลาบวันวาเลนไทน์กับเขาหรือนี่
อ้อ ใช่แล้ว เมื่อวานแม่บ้านก็บอกอยู่ว่าพรุ่งนี้เป็นวันวาเลนไทน์ แต่ฉันไม่ได้สนใจอะไรกับมันมากมาย พ้นมาจากความรู้สึกโรแมนติกแบบนั้นนานแล้ว แต่วันนี้คล้ายกับตัวเองกำลังตกอยู่ในความฝัน ฉันยื่นมือไปรับเอาช่อดอกไม้มา แล้วแอบหยิกหลังมือตัวเองดู ซึ่งก็รู้สึกเจ็บ มันได้ช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นเรื่องจริง
เหลือบมองสบตาเป็นประกายคู่นั้นของเขา โอ้ย...อย่านะ อย่ามาสารภาพรัก
“นุ่นครับ ผมรักคุณ”
ว่าแล้วไหมล่ะ อาย...ฉันอายหนักมาก สาวแก่รูปร่างหน้าตาเชยๆ อย่างฉันมีคนมาบอกรักในวันวาเลนไทน์
แต่เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน ทำไมมันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ความสงสัยแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ นั่นสิ เขาเป็นใครกัน มาบอกรักฉันได้ยังไงในเมื่อเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“เอ้อ คุณคะ เดี๋ยวก่อนนะ ฉันไม่รู้จักคุณ ทำไมคุณถึงมาบอกรักฉันแบบนี้ คุณเป็นใครกัน”
“นั่งคุยกับผมสักครู่ได้ไหมครับ” เขาไม่ตอบ แต่กลับขอร้องให้ฉันนั่งคุยด้วย แถมยังทรุดนั่งลงก่อน ฉันมองกุหลาบสีแดงในมือแล้วเลยใจอ่อน ยอมนั่งลงตามโดยดี ดูทีรึว่าเขาจะว่ายังไง แน่ะ...เขายิ้มใส่ตาฉันอีกแล้ว
“ผมมีอะไรให้คุณดู”
เขาดึงบางสิ่งจากกระเป๋าอกเสื้อยื่นส่งให้ มันคือรูปภาพขนาดโปสการ์ดแผ่นหนึ่ง ฉันรับมาดูอย่างงุนงง รูปในนั้นเป็นรูปงานแต่งงานของชายหญิงคู่หนึ่ง บ่าวสาวในชุดวิวาห์ยืนยิ้มกุมมือกันอยู่บนเวที รอยยิ้มกว้างขวางเบิกบานของเจ้าบ่าวบ่งบอกถึงความสุขสม ป้ายผ้าข้างหลังติดตัวอักษรอ่านว่า
“สมรสสมรัก นพพร-พวงชมพู สิบสี่กุมภาพันธ์ 2529”
“ที่รัก”
ฉันครางเรียกเขาเสียงแผ่ว ความทรงจำแล่นวาบเข้ามาในสมองราวสายฟ้าแลบ
“นพ...นุ่นจำคุณได้แล้ว ที่รัก คุณนั่นเอง”
ฉันจำเขาได้แล้วจริงๆ ผู้ชายคนนี้คือสามีสุดที่รักของฉันเอง โอ้ ทำไมฉันถึงลืมเขาได้ลงคอ วันนี้คือวันครบรอบแต่งงานปีที่สามสิบของเรา เขาถึงมีช่อดอกกุหลาบมาให้
นพพรมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน ลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมาหา เขาดึงตัวฉันให้ลุกขึ้นตาม ก่อนโอบกอดฉันไว้ในวงแขน ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ และรู้สึกถึงตัวเขาสั่นสะท้าน ฉันเองก็ร้องไห้โฮ
“ดีใจเหลือเกินที่วันนี้คุณจำผมได้ หลายวันแล้วที่คุณลืมผม ลืมลูก มีเพียงบางวันที่คุณจำความหลังได้สั้นๆ ครั้งละไม่เกินสิบนาที คุณไม่ยอมให้ผมอยู่ด้วยเพราะคิดว่าผมเป็นคนแปลกหน้า จนผมต้องซื้อบ้านติดกันไว้อีกหลัง ผมเพียรมาหาคุณทุกวัน เฝ้ารอให้คุณจำผมได้แม้แค่เวลาสั้นๆ ดูสิ ถึงคุณจำผมไม่ได้ แต่คุณก็ใส่แต่ชุดนอนตัวนี้ที่ผมซื้อให้”
เขาพูดแล้วยิ้มทั้งน้ำตา เกลี่ยนิ้วเช็ดหยดน้ำบนพวงแก้มให้ฉัน
“นุ่นครับ ผมอยากให้คุณจำไว้ว่าผมรักคุณ รักเหลือเกิน ลูกๆ ทุกคนสบายดี เต้ยเรียนจบได้ทำงานแล้ว ตองกำลังจะรับปริญญาปีหน้า ดีใจไหมครับ”
ฉันพยักหน้า น้ำตาไหลพราก เจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เวรกรรมอะไรหนอที่ทำให้เราสองคนต้องทุกข์ทรมานถึงปานนี้
ที่แท้ฉันป่วยเป็นโรคความจำเสื่อม ลืมเรื่องราวระยะยาวที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว นึกขึ้นได้เป็นบางครั้งเท่านั้น จำได้แต่เรื่องสั้นๆ ที่ผ่านมาสองสามวัน จากนั้นก็ลืมอีก
ฉันลืมแม้กระทั่งตัวเองเป็นใคร ลืมผู้ชายคนที่เคยเป็นดังดวงใจ เราสองคนยืนกอดกันร้องไห้ ฉันกอดเขาแน่นเหมือนกลัวว่าเขาจะหลุดหายไปจากความทรงจำอีก
“นุ่นรักคุณค่ะ บอกลูกด้วยว่าแม่รักลูกทุกคน รักมาก นุ่นจะไม่มีวันลืมคุณกับลูกเป็นอันขาด...ไม่มีวะ...เอ๊ะ! ตายแล้ว...”
ฉันร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจ โอ้ย...ฉันถึงกับกอดผู้ชายแปลกหน้า...นี่ฉันไปหลงใหลได้ปลื้มเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รีบผลักเขาออกห่างอย่างแรง...บ้าจริงเชียว ไอ้ผู้ชายชอบฉวยโอกาส!