สวัสดีค่ะเพื่อนๆ
มือใหม่หัดรีวิวนะคะ แต่จะพยายามให้ข้อมูลมากที่สุด และสรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริป ในรีวิว Part 2 นะคะ เผื่อเพื่อนๆสนใจไปเที่ยวที่ Fihalhohi Maldives ค่ะ
ทริปเที่ยวมัลดีฟส์ของเราช่วงปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมาแบบไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนนะคะ ว่าก่อนจะมาเป็นทริปมัลดีฟส์ เราสองคนได้เตรียนแผนว่าจะไปไต้หวันกันค่ะ แต่ๆๆๆๆๆ บังเอิ๊ญ บังเอิญ ได้เห็นรีวิวมัลดีฟส์รีวิวนึง ซึ่งราคาทั้งทริปถูกมากกกกก โดยการจองทุกอย่างด้วยตัวเอง ดิฉันก็เกิดจิตใจโลเลสิคะ เพราะคำนวนงบไต้หวันแล้วก็หลายหมื่นบาท ตัดสินใจถามคุณสามี ที่รัก ไออยากไปมัลดีฟส์ คุณสาก็ตามใจคุณเลยจ้า ช้าไปทำไมก่อนอื่นหาที่พักก่อนเลย
ข้อมูลในการส่องที่พักก็เริ่มจากอ่านรีวิวเยอะๆๆๆๆ ทำไมแต่ละคนได้ราคาถูกจัง ลองเลยจ้าทำตามรีวิว แต่ๆๆๆๆๆ ทำไมเราไม่เคยเจอราคาถูกเล๊ยยยยย!!!
ขั้นตอนแรกในการตัดสินใจไปหรือไม่ไปดี ต้องทำการส่องราคาที่พัก ช่วงที่เราจะไป เดือนตุลานี่ก็น่าจะเริ่ม high แล้ว ราคาก็จะเริ่ม High ไปด้วย ไปมัลดีฟส์ นี่แน่นอน ต้องนอน Water Villa ถึงจะฟินและไปถึงมัลดีฟส์จริงๆ
แต่หายังไงๆ ราคาสำหรับ 3 คืนก็สูงมากๆ บางที่ราคาที่โอเคก็ไม่มีห้องพักแบบ Water Villa ว่างซะงั้น ทำให้เกิดความลังเล ไปไม่ไปดี เกิดความท้อแท้ห่อเหี่ยวใจ แต่เหมือนสวรรค์อยากให้เราได้ไปเสียตังค์ 555 นั่งๆทำงานอยู่ก็มี Agoda โฆษณาเล็กๆข้างๆขวามือเด้งขึ้นมาว่ามีซีเครทดีลของรีสอร์ทมัลดีฟส์ อิอิ
คลิกไปคลิกมาเลยได้ที่นี่ค่ะ Fihalhohi Resort Maldives จะเป็นรีสอร์ท 3 ดาว ราคาที่เราได้ห้อง Water Villa ในคืนแรกก็ตามด้านล่างเลยค่ะ
จริงๆตั้งใจจะจอง Water Villa ทั้ง 3 คืนเลย แต่หายังไงๆ ก็ไม่มีห้องว่างติดต่อกัน 3 คืน เราเลยต้องจองแยก คืนแรกห้อง Water Villa แบบ Included Breakfast และ อีก 2 คืน เป็นห้องแบบ Comfort ที่เป็นแบบ Half board นะคะ อ้อ มีอะไรจะบอกสำหรับการจองที่พักด้วยตัวเองตามเวปต้องดอกจันทร์ 3 ดอกไว้เลยนะคะ ซึ่งราคาที่เห็น ไม่ว่าจะเป็น Agoda/Booking.com หรือเวปอื่นๆส่วนใหญ่
*** ทุกอย่างที่ มัลดีฟส์ จะเป็นราคาที่ไม่รวม Tax 12%, Service Charge 11.2% และ Green Tax และ Airport Transfer ไปที่พัก นะคะ***
การจองห้องพักต้องดูดีๆนะคะ ที่นี่จะมีแบบ Half Board คือรวมอาหารเช้า + อาหารเย็น แต่ไม่รวมเครื่องดื่มอื่นๆนะคะ และ Full Board ก็คือรวมอาหารเช้า + กลางวัน + เย็น ส่วนสุดท้าย All- Inclusive คือรวามอาหารทุกมื้อและเครื่องดื่มที่รีสอร์ทกำหนดให้แบบไม่อั้นเลยค่ะ (แบบนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่ม)
รายละเอียดข้างบนน่าจะมีคนรีวิวไว้เยอะแล้ว เพราะแต่ละรีสอร์ทก็จะเหมือนๆกันค่ะ
เคล็ดลับในการหาที่พักที่มัลดีฟส์สำหรับคนที่งบไม่เยอะนะคะ ให้หาที่พักที่ไม่ไกลจากสนามบินมาก แนะนำแถว South Male ที่ระยะทางจากสนามบินไม่เกิน 50 กิโลเมตรนะคะ เพราะว่าจะสามารถนั่ง Speed Boat ไปที่พักได้ถูกกว่า Sea Plane เยอะเลยค่ะ
ที่เราเลือก Fihalhohi Resort ก็จะห่างจากสนามบินประมาณ เกือบ 40 กิโลเมตรนะคะ ค่า Airport Transfer ด้วย Speed Boat ไป-กลับ จะอยู่ที่คนละ USD140 (คิดในใจแพงจุง) จ่ายตอน Check In ที่รีสอร์ทเลยค่ะ ส่วนตัวคิดว่าราคานี้แพงเพราะ Speed Boat ไม่ใช่มารับเฉพาะเรา เขาจะมีรับส่งเป็นรอบๆค่ะ
ขั้นตอนต่อไปคือการจองตั๋วเครื่องบินค่ะ ลองเทียบราคา 2 สายที่มีบินตรงแล้ว Air Asia ชนะเลิศค่ะ ราคา คนละ 8,070 บาท รวมอาหาร + โหลดกระเป๋าค่ะ
หลังจากที่จองที่พัก + ตั๋วเครื่องบิน แล้วเราต้องส่ง Email แจ้งราละเอียด Flight ให้ทางโรงแรมก่อนประมาณ 2-3 วัน ด้วยนะคะ เพื่อ Confirm ให้คนมารับเราที่สนามบินค่ะ แล้วโรงแรมจะตอบ Email เรากลับมาว่า เมื่อถึงสนามบินแล้วให้เราเดินไปที่เคาท์เตอร์โรงแรมตรงไหนค่ะ
สำหรับ Fihalhohi Resort เคาท์เตอร์ E1 ค่ะ เดินออกมามองริมๆขวามือไว้ค่ะ แต่ตอนที่เราไปพนักงานโรงแรมมาชูป้ายรอรับหน้าประตูทางออกพร้อมกับน้ำคนละขวด 555+++ แล้วพาเราไปรวมกับคนอื่นๆที่เคาท์เตอร์เพื่อจะขึ้น Speed Boat ไปพักที่เดียวกัน
อ้อ ที่สำคัญนะคะ Net Sim นี่ขาดไม่ได้เลยสำหรับสายโซเชียลอย่างเราๆ ไปมัลดีฟส์นี่แน่นอนต้อง ถ่ายรูปอัพตอดเวลา อิอิ Traveler ซิมการ์ดที่นี่ก็จะมี 2 บริษัทหลักๆคือ Dhiraagu และ Ooreedoo ลองหาข้อมูลดูเลือกแพคได้ตามความต้องการเลยค่ะ
เราสองคนเลือก Dhiraagu 4G แบบ 7 วัน data 3 GB ราคา USD15/Sim ไม่รวม Tax อีกแล้วจ้าาาาา ก็พอแล้วเพราะสลับใช้กับ Wifi ที่โรงแรม (ช้ามากกก) หน้าตาของซิมการ์ด ก็ตามรูปเลยค่ะ
ได้ซิมแล้วเจ้าหน้าที่โรงแรมก็พาเราไปที่ท่าเรือ เพื่อนั่ง Speed Boat ไปโรงแรมใช้เวลาประมาณ 40-45 นาทีค่ะ ท่าเรือก้อยู่ติดสนามบินเลย ข้ามถนนไปนิดเดียว
ข้างบนคือรูปที่ถ่ายที่สนามบิน Male และท่าเรือ แค่สีน้ำทะเลที่สนามบินก็ฟินแล้วค่ะ น้ำใสมากกกกกก นี่นึกภาพเกาะที่เราไปพักจะสวยแค่ไหนกันนะ
ลืมบอกไปนะคะ เวลาที่ Male จะช้ากว่าไทย 2 ชม นะคะ ส่วน เวลาที่ Fihalhohi จะช้ากว่าไทย 1 ชม นี่สำหรับป้าอย่างเราค่อนข้างงงมาก มันงงเวลาวันกลับนี่ล่ะคะ ว่าเราต้องตั้งเวลาตื่นเตรียมตัวกี่โมง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า Speed Boat ของโรงแรมมาแล้วขึ้นเรือได้ นักท่องเที่ยวที่ไปรอบเดียวกับเราก็ประมาณ สิบกว่าคนค่ะ ตอนนั่งเรือนี่ตื่นเต้นมากทะเลสวย 45 นาที โอ้ยแปปเดียวเอง และแล้วมันไม่ใช่สิ คลื่นแรงมาก Speed Boat ก็ขับกระแทกคลื่นไม่เกรงใจป้าเลย จะอ๊วกแล้วก็เจ็บเอวไปหมด บ่นกับกับคุณสาว่าเธอมองเห็นเกาะหรือยังเนี่ยยยยยยย
และแล้วเราก็มาถึง Fihalhohi Resort ด้วยความตื่นตาตื่นใจในสีของน้ำทะเล ลมเย็นๆ อยากกระโดดลงน้ำซะตอนนี้เลยเชียว
พนักงานรีสอร์ทก็พาเราไปที่ Lobby เสิร์ฟ Welcome Drink และแนะนำเกาะที่เราพัก ว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง Main restaurant อยู่ตรงไหน บาร์มีกี่ที่ เวลาอาหารแต่ละมื้อเริ่มกี่โมง และห้องที่เราจองเป็นแบบไหน เสร็จแล้วก็พนักงานก็พาเราเดินไปที่พักค่ะ คืนแรกเราจอง Water Villa จริงๆเกาะนี้ค่อนข้างเล็กมาก เราก็คิดว่าห้องพักคงเดินไม่ไกลจากล็อบบี้หรอกนะ เพราะเป็นห้องที่แบบแพงที่สุดในรีสอร์ท ไม่ใช่อย่างที่คิดจ้าาาาา เดินสุดดดดด เลยจ้า คือห้องพักกลางน้ำอยุ่ไกลที่สุด ส่วนตัวที่สุดๆๆๆๆ ห้องของเราคือห้องแรกของ Water Villa เลยค่ะ ห้อง 401.
ภายในห้องค่อนข้างใหญ่มีหลายมุมและก็จะมีอุปกรณ์เสื้อชูชีพ ครบทั้ง mini bar ผลไม้จัดเซตไว้ และชา กาแฟ ครบค่ะ ห้องน้ำก็แยกเป็นสัดส่วน และระเบียงนั่งชิวริมทะเล และบันได สำหรับลงเล่นน้ำหน้าบ้านได้เลยค่ะ นั่งจิบกาแฟ ลมเย็นๆชิลๆ โอ้ยยยยยไม่อยากกลับไปปั่นงานที่ไทยเลยค่ะ
ดูบรรยากาศข้างนอก Water Villa กันค่ะ
แค่วันแรกก็ฟินสุดๆไปเลย!!!
จขกท เคยอ่านรีวิว หลายๆคนบอกว่าที่มัลดีฟส์น้ำดื่มแพงมากเนื่องจากเป็นเกาะ ด้วยความงกของป้านี่ก็เป็นเหตุผลอีกข้อนึงที่เราจองตั๋วเครื่องบินและโหลดสัมภาระค่ะ (คุ้มมั้ยเนี่ย) จขกท พกน้ำดื่มไปเลยจ้า 600 มล 6 ขวดจร้าาาา และยังมีขนม มาม่าอีกเพียบ เรียกได้ว่าติดเกาะก็ไม่ตายค่ะ
จ่ายค่าโรงแรมหมดแล้ว วันนี้เรากินมาม่าละกันนะที่รัก T.T กินมาม่าไปด้วยดูพระอาทิตย์ตกไปด้วยฟินจะตายเนอะ 555+++
วันที่สอง ของการพักที่ Fihalhohi Resort สังเกตุว่าที่นี่นักท่องเที่ยวที่มาพักจะไม่ค่อยมีเอเชีย หรือคนจีนเลยนะคะ ส่วนใหญ่จะมาจากยุโรป หรือรัสเซีย ส่วนเราสองคนก็จะเป็นสาวจากไทยแลนด์และลุงแดนกิมจินี่ล่ะค่ะ จริงที่นี่เงียบและส่วนตัวมากๆ แต่จากที่เรา Survey รอบๆเกาะแล้วว่าห้องพักแทบจะไม่ว่างเลยยกเว้น Water Villa ฝรั่งจะไม่ค่อยพักกันค่ะ จะเน้นนอนที่พักบนชายหาดและอาบแดด ดำน้ำรอบเกาะ นั่งดื่มชิลๆ
จริงๆที่นี่มีกิจกรรมหลายอย่างนะคะ ทางรีสอร์ท จะมีบอร์ดติดไว้ที่ข้างล็อบบี้ ว่าตารางของแต่ละวันมีอะไรบ้างและราคาเท่าไหร่ เราจึงคิดกันว่าถ้าเราจะอยู่แค่บนเกาะ 4 วันก็จะเบื่อจนเกินไป เรานั่งเรือไปดำน้ำดูปลาโลมากันเถอะ!!
เอ๊ะ! แต่วันนี้เราต้องย้ายห้องไปพักบนหาดนี่ แต่คิดแล้วก็ไม่อยากย้ายเลยยังฟินกลับ Water Villa อยู่ ก่อนกินอาหารเช้าเลยเดินไปที่ Reception เพื่อถามข้อมูลว่าถ้าเราจะ Upgrade ห้องพักจากห้อง Comfort Room เป็น Water Villa ห้องว่างหรือเปล่าและเพิ่มอีกคืนละเท่าไหร่ ก็ได้คำตอบว่าพักต่อห้อง Water Villa ต้องเพิ่มเงินอีก USD150/คืน ค่อนข้างแพงแต่ก็ยังถูกกว่าตอนที่เราจองผ่าน Agoda
***เคล็ดลับถ้าเพื่อนๆจะพักที่นี่ ให้ลองดูราคาห้อง Water Villa ในเวปจอง รร ก่อน เปรียบเทียบกับการจองห้องที่ราคาถูกที่สุดแล้วมา Upgrade ห้องเพิ่มเงินคืนละ USD150 ว่าแบบไหนถูกกว่ากันนะคะ
จากการคำนวนแล้วว่าคืนละ USD150 เอาเงินนี้ไปทำกิจกรรมอื่นๆดีกว่า เลยตัดสินใจตามแผนเดิมค่ะ
เนื่องจาก 4 วัน 3 คืนค่อนข้างผ่านไปเร็ว วันแรกกว่าจะถึง รร และ วันสุดท้ายก็ต้อง Check Out แต่เช้า เราจะมีเวลาอยู่ที่นี่จริงๆแค่ 2 วันครึ่งเท่านั้น เราเลยแพลนใช้เวลา 1 วันกับกิจกรรมนอกเกาะค่ะ (ต้องขออภัยไม่ได้ถ่ายตารางกิจกรรมของทุกวันมานะคะ) เราเลือกไป Snorkeling Safari ตอนเช้า และ ตอนเย็นไป Sunset Dolphin Cruise กัน ในวันเสาร์ พอเลือกแล้วเราก็ลงชื่อในตารางกิจกรรมที่เราเลือกได้เลยค่ะ ใส่ชื่อ จำนวนคน และเลขที่ห้อง แต่ละกิจกรรมถ้าคนเต็มแล้วจะไม่รับอีกนะคะ ราคาและเวลาก็ตามรูปด้านล่างเลยค่ะ
หลังจากจองทริป ของรีสอร์ทเสร็จ วันนี้เรามีแพลนว่าจะใช้เวลา บนเกาะให้คุ้มค่ะ
เพื่อนๆติดตามสรุป คชจ ทริปนี้ ต่อได้ที่ รีวิว Part 2 จะมาแปะลิงค์ให้นะคะ
[CR] รีวิว Part 1 “ไปอาบแดด ดำน้ำชิลๆที่มัลดีฟส์ กับลุงเกาหลี“ 4 วัน 3 คืน นอนกลางน้ำ ที่ Fihalhohi Maldives งบไม่เกิน 25,000
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ
มือใหม่หัดรีวิวนะคะ แต่จะพยายามให้ข้อมูลมากที่สุด และสรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริป ในรีวิว Part 2 นะคะ เผื่อเพื่อนๆสนใจไปเที่ยวที่ Fihalhohi Maldives ค่ะ
ทริปเที่ยวมัลดีฟส์ของเราช่วงปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมาแบบไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนนะคะ ว่าก่อนจะมาเป็นทริปมัลดีฟส์ เราสองคนได้เตรียนแผนว่าจะไปไต้หวันกันค่ะ แต่ๆๆๆๆๆ บังเอิ๊ญ บังเอิญ ได้เห็นรีวิวมัลดีฟส์รีวิวนึง ซึ่งราคาทั้งทริปถูกมากกกกก โดยการจองทุกอย่างด้วยตัวเอง ดิฉันก็เกิดจิตใจโลเลสิคะ เพราะคำนวนงบไต้หวันแล้วก็หลายหมื่นบาท ตัดสินใจถามคุณสามี ที่รัก ไออยากไปมัลดีฟส์ คุณสาก็ตามใจคุณเลยจ้า ช้าไปทำไมก่อนอื่นหาที่พักก่อนเลย
ข้อมูลในการส่องที่พักก็เริ่มจากอ่านรีวิวเยอะๆๆๆๆ ทำไมแต่ละคนได้ราคาถูกจัง ลองเลยจ้าทำตามรีวิว แต่ๆๆๆๆๆ ทำไมเราไม่เคยเจอราคาถูกเล๊ยยยยย!!!
ขั้นตอนแรกในการตัดสินใจไปหรือไม่ไปดี ต้องทำการส่องราคาที่พัก ช่วงที่เราจะไป เดือนตุลานี่ก็น่าจะเริ่ม high แล้ว ราคาก็จะเริ่ม High ไปด้วย ไปมัลดีฟส์ นี่แน่นอน ต้องนอน Water Villa ถึงจะฟินและไปถึงมัลดีฟส์จริงๆ
แต่หายังไงๆ ราคาสำหรับ 3 คืนก็สูงมากๆ บางที่ราคาที่โอเคก็ไม่มีห้องพักแบบ Water Villa ว่างซะงั้น ทำให้เกิดความลังเล ไปไม่ไปดี เกิดความท้อแท้ห่อเหี่ยวใจ แต่เหมือนสวรรค์อยากให้เราได้ไปเสียตังค์ 555 นั่งๆทำงานอยู่ก็มี Agoda โฆษณาเล็กๆข้างๆขวามือเด้งขึ้นมาว่ามีซีเครทดีลของรีสอร์ทมัลดีฟส์ อิอิ
คลิกไปคลิกมาเลยได้ที่นี่ค่ะ Fihalhohi Resort Maldives จะเป็นรีสอร์ท 3 ดาว ราคาที่เราได้ห้อง Water Villa ในคืนแรกก็ตามด้านล่างเลยค่ะ
จริงๆตั้งใจจะจอง Water Villa ทั้ง 3 คืนเลย แต่หายังไงๆ ก็ไม่มีห้องว่างติดต่อกัน 3 คืน เราเลยต้องจองแยก คืนแรกห้อง Water Villa แบบ Included Breakfast และ อีก 2 คืน เป็นห้องแบบ Comfort ที่เป็นแบบ Half board นะคะ อ้อ มีอะไรจะบอกสำหรับการจองที่พักด้วยตัวเองตามเวปต้องดอกจันทร์ 3 ดอกไว้เลยนะคะ ซึ่งราคาที่เห็น ไม่ว่าจะเป็น Agoda/Booking.com หรือเวปอื่นๆส่วนใหญ่
*** ทุกอย่างที่ มัลดีฟส์ จะเป็นราคาที่ไม่รวม Tax 12%, Service Charge 11.2% และ Green Tax และ Airport Transfer ไปที่พัก นะคะ***
การจองห้องพักต้องดูดีๆนะคะ ที่นี่จะมีแบบ Half Board คือรวมอาหารเช้า + อาหารเย็น แต่ไม่รวมเครื่องดื่มอื่นๆนะคะ และ Full Board ก็คือรวมอาหารเช้า + กลางวัน + เย็น ส่วนสุดท้าย All- Inclusive คือรวามอาหารทุกมื้อและเครื่องดื่มที่รีสอร์ทกำหนดให้แบบไม่อั้นเลยค่ะ (แบบนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่ม)
รายละเอียดข้างบนน่าจะมีคนรีวิวไว้เยอะแล้ว เพราะแต่ละรีสอร์ทก็จะเหมือนๆกันค่ะ
เคล็ดลับในการหาที่พักที่มัลดีฟส์สำหรับคนที่งบไม่เยอะนะคะ ให้หาที่พักที่ไม่ไกลจากสนามบินมาก แนะนำแถว South Male ที่ระยะทางจากสนามบินไม่เกิน 50 กิโลเมตรนะคะ เพราะว่าจะสามารถนั่ง Speed Boat ไปที่พักได้ถูกกว่า Sea Plane เยอะเลยค่ะ
ที่เราเลือก Fihalhohi Resort ก็จะห่างจากสนามบินประมาณ เกือบ 40 กิโลเมตรนะคะ ค่า Airport Transfer ด้วย Speed Boat ไป-กลับ จะอยู่ที่คนละ USD140 (คิดในใจแพงจุง) จ่ายตอน Check In ที่รีสอร์ทเลยค่ะ ส่วนตัวคิดว่าราคานี้แพงเพราะ Speed Boat ไม่ใช่มารับเฉพาะเรา เขาจะมีรับส่งเป็นรอบๆค่ะ
ขั้นตอนต่อไปคือการจองตั๋วเครื่องบินค่ะ ลองเทียบราคา 2 สายที่มีบินตรงแล้ว Air Asia ชนะเลิศค่ะ ราคา คนละ 8,070 บาท รวมอาหาร + โหลดกระเป๋าค่ะ
หลังจากที่จองที่พัก + ตั๋วเครื่องบิน แล้วเราต้องส่ง Email แจ้งราละเอียด Flight ให้ทางโรงแรมก่อนประมาณ 2-3 วัน ด้วยนะคะ เพื่อ Confirm ให้คนมารับเราที่สนามบินค่ะ แล้วโรงแรมจะตอบ Email เรากลับมาว่า เมื่อถึงสนามบินแล้วให้เราเดินไปที่เคาท์เตอร์โรงแรมตรงไหนค่ะ
สำหรับ Fihalhohi Resort เคาท์เตอร์ E1 ค่ะ เดินออกมามองริมๆขวามือไว้ค่ะ แต่ตอนที่เราไปพนักงานโรงแรมมาชูป้ายรอรับหน้าประตูทางออกพร้อมกับน้ำคนละขวด 555+++ แล้วพาเราไปรวมกับคนอื่นๆที่เคาท์เตอร์เพื่อจะขึ้น Speed Boat ไปพักที่เดียวกัน
อ้อ ที่สำคัญนะคะ Net Sim นี่ขาดไม่ได้เลยสำหรับสายโซเชียลอย่างเราๆ ไปมัลดีฟส์นี่แน่นอนต้อง ถ่ายรูปอัพตอดเวลา อิอิ Traveler ซิมการ์ดที่นี่ก็จะมี 2 บริษัทหลักๆคือ Dhiraagu และ Ooreedoo ลองหาข้อมูลดูเลือกแพคได้ตามความต้องการเลยค่ะ
เราสองคนเลือก Dhiraagu 4G แบบ 7 วัน data 3 GB ราคา USD15/Sim ไม่รวม Tax อีกแล้วจ้าาาาา ก็พอแล้วเพราะสลับใช้กับ Wifi ที่โรงแรม (ช้ามากกก) หน้าตาของซิมการ์ด ก็ตามรูปเลยค่ะ
ได้ซิมแล้วเจ้าหน้าที่โรงแรมก็พาเราไปที่ท่าเรือ เพื่อนั่ง Speed Boat ไปโรงแรมใช้เวลาประมาณ 40-45 นาทีค่ะ ท่าเรือก้อยู่ติดสนามบินเลย ข้ามถนนไปนิดเดียว
ข้างบนคือรูปที่ถ่ายที่สนามบิน Male และท่าเรือ แค่สีน้ำทะเลที่สนามบินก็ฟินแล้วค่ะ น้ำใสมากกกกกก นี่นึกภาพเกาะที่เราไปพักจะสวยแค่ไหนกันนะ
ลืมบอกไปนะคะ เวลาที่ Male จะช้ากว่าไทย 2 ชม นะคะ ส่วน เวลาที่ Fihalhohi จะช้ากว่าไทย 1 ชม นี่สำหรับป้าอย่างเราค่อนข้างงงมาก มันงงเวลาวันกลับนี่ล่ะคะ ว่าเราต้องตั้งเวลาตื่นเตรียมตัวกี่โมง
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า Speed Boat ของโรงแรมมาแล้วขึ้นเรือได้ นักท่องเที่ยวที่ไปรอบเดียวกับเราก็ประมาณ สิบกว่าคนค่ะ ตอนนั่งเรือนี่ตื่นเต้นมากทะเลสวย 45 นาที โอ้ยแปปเดียวเอง และแล้วมันไม่ใช่สิ คลื่นแรงมาก Speed Boat ก็ขับกระแทกคลื่นไม่เกรงใจป้าเลย จะอ๊วกแล้วก็เจ็บเอวไปหมด บ่นกับกับคุณสาว่าเธอมองเห็นเกาะหรือยังเนี่ยยยยยยย
และแล้วเราก็มาถึง Fihalhohi Resort ด้วยความตื่นตาตื่นใจในสีของน้ำทะเล ลมเย็นๆ อยากกระโดดลงน้ำซะตอนนี้เลยเชียว
พนักงานรีสอร์ทก็พาเราไปที่ Lobby เสิร์ฟ Welcome Drink และแนะนำเกาะที่เราพัก ว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง Main restaurant อยู่ตรงไหน บาร์มีกี่ที่ เวลาอาหารแต่ละมื้อเริ่มกี่โมง และห้องที่เราจองเป็นแบบไหน เสร็จแล้วก็พนักงานก็พาเราเดินไปที่พักค่ะ คืนแรกเราจอง Water Villa จริงๆเกาะนี้ค่อนข้างเล็กมาก เราก็คิดว่าห้องพักคงเดินไม่ไกลจากล็อบบี้หรอกนะ เพราะเป็นห้องที่แบบแพงที่สุดในรีสอร์ท ไม่ใช่อย่างที่คิดจ้าาาาา เดินสุดดดดด เลยจ้า คือห้องพักกลางน้ำอยุ่ไกลที่สุด ส่วนตัวที่สุดๆๆๆๆ ห้องของเราคือห้องแรกของ Water Villa เลยค่ะ ห้อง 401.
ภายในห้องค่อนข้างใหญ่มีหลายมุมและก็จะมีอุปกรณ์เสื้อชูชีพ ครบทั้ง mini bar ผลไม้จัดเซตไว้ และชา กาแฟ ครบค่ะ ห้องน้ำก็แยกเป็นสัดส่วน และระเบียงนั่งชิวริมทะเล และบันได สำหรับลงเล่นน้ำหน้าบ้านได้เลยค่ะ นั่งจิบกาแฟ ลมเย็นๆชิลๆ โอ้ยยยยยไม่อยากกลับไปปั่นงานที่ไทยเลยค่ะ
ดูบรรยากาศข้างนอก Water Villa กันค่ะ
แค่วันแรกก็ฟินสุดๆไปเลย!!!
จขกท เคยอ่านรีวิว หลายๆคนบอกว่าที่มัลดีฟส์น้ำดื่มแพงมากเนื่องจากเป็นเกาะ ด้วยความงกของป้านี่ก็เป็นเหตุผลอีกข้อนึงที่เราจองตั๋วเครื่องบินและโหลดสัมภาระค่ะ (คุ้มมั้ยเนี่ย) จขกท พกน้ำดื่มไปเลยจ้า 600 มล 6 ขวดจร้าาาา และยังมีขนม มาม่าอีกเพียบ เรียกได้ว่าติดเกาะก็ไม่ตายค่ะ
จ่ายค่าโรงแรมหมดแล้ว วันนี้เรากินมาม่าละกันนะที่รัก T.T กินมาม่าไปด้วยดูพระอาทิตย์ตกไปด้วยฟินจะตายเนอะ 555+++
วันที่สอง ของการพักที่ Fihalhohi Resort สังเกตุว่าที่นี่นักท่องเที่ยวที่มาพักจะไม่ค่อยมีเอเชีย หรือคนจีนเลยนะคะ ส่วนใหญ่จะมาจากยุโรป หรือรัสเซีย ส่วนเราสองคนก็จะเป็นสาวจากไทยแลนด์และลุงแดนกิมจินี่ล่ะค่ะ จริงที่นี่เงียบและส่วนตัวมากๆ แต่จากที่เรา Survey รอบๆเกาะแล้วว่าห้องพักแทบจะไม่ว่างเลยยกเว้น Water Villa ฝรั่งจะไม่ค่อยพักกันค่ะ จะเน้นนอนที่พักบนชายหาดและอาบแดด ดำน้ำรอบเกาะ นั่งดื่มชิลๆ
จริงๆที่นี่มีกิจกรรมหลายอย่างนะคะ ทางรีสอร์ท จะมีบอร์ดติดไว้ที่ข้างล็อบบี้ ว่าตารางของแต่ละวันมีอะไรบ้างและราคาเท่าไหร่ เราจึงคิดกันว่าถ้าเราจะอยู่แค่บนเกาะ 4 วันก็จะเบื่อจนเกินไป เรานั่งเรือไปดำน้ำดูปลาโลมากันเถอะ!!
เอ๊ะ! แต่วันนี้เราต้องย้ายห้องไปพักบนหาดนี่ แต่คิดแล้วก็ไม่อยากย้ายเลยยังฟินกลับ Water Villa อยู่ ก่อนกินอาหารเช้าเลยเดินไปที่ Reception เพื่อถามข้อมูลว่าถ้าเราจะ Upgrade ห้องพักจากห้อง Comfort Room เป็น Water Villa ห้องว่างหรือเปล่าและเพิ่มอีกคืนละเท่าไหร่ ก็ได้คำตอบว่าพักต่อห้อง Water Villa ต้องเพิ่มเงินอีก USD150/คืน ค่อนข้างแพงแต่ก็ยังถูกกว่าตอนที่เราจองผ่าน Agoda
***เคล็ดลับถ้าเพื่อนๆจะพักที่นี่ ให้ลองดูราคาห้อง Water Villa ในเวปจอง รร ก่อน เปรียบเทียบกับการจองห้องที่ราคาถูกที่สุดแล้วมา Upgrade ห้องเพิ่มเงินคืนละ USD150 ว่าแบบไหนถูกกว่ากันนะคะ
จากการคำนวนแล้วว่าคืนละ USD150 เอาเงินนี้ไปทำกิจกรรมอื่นๆดีกว่า เลยตัดสินใจตามแผนเดิมค่ะ
เนื่องจาก 4 วัน 3 คืนค่อนข้างผ่านไปเร็ว วันแรกกว่าจะถึง รร และ วันสุดท้ายก็ต้อง Check Out แต่เช้า เราจะมีเวลาอยู่ที่นี่จริงๆแค่ 2 วันครึ่งเท่านั้น เราเลยแพลนใช้เวลา 1 วันกับกิจกรรมนอกเกาะค่ะ (ต้องขออภัยไม่ได้ถ่ายตารางกิจกรรมของทุกวันมานะคะ) เราเลือกไป Snorkeling Safari ตอนเช้า และ ตอนเย็นไป Sunset Dolphin Cruise กัน ในวันเสาร์ พอเลือกแล้วเราก็ลงชื่อในตารางกิจกรรมที่เราเลือกได้เลยค่ะ ใส่ชื่อ จำนวนคน และเลขที่ห้อง แต่ละกิจกรรมถ้าคนเต็มแล้วจะไม่รับอีกนะคะ ราคาและเวลาก็ตามรูปด้านล่างเลยค่ะ
หลังจากจองทริป ของรีสอร์ทเสร็จ วันนี้เรามีแพลนว่าจะใช้เวลา บนเกาะให้คุ้มค่ะ
เพื่อนๆติดตามสรุป คชจ ทริปนี้ ต่อได้ที่ รีวิว Part 2 จะมาแปะลิงค์ให้นะคะ