
สิ้นสุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับคอนเสิร์ตของนักร้องนักแต่งเพลงที่ฮอตที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ เอ็ด ชีแรน เจ้าของเพลงฮิตอย่าง Thinking Out Loud, Photograph และ Shape of You ถือเป็นครั้งแรกที่หนุ่มเอ็ดมาเปิดคอนเสิร์ตแบบเต็มรูปแบบครั้งแรกในเมืองไทย ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เมื่อค่ำคืนวันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
งานนี้โปรโมเตอร์ระดับโลกอย่างเออีจี และ บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (BEC-Tero Entertainment) ร่วมมือกัน ทุ่มทุนสร้างนำเข้าโชว์ที่ขึ้นชื่อว่า น่าชมที่สุดโชว์หนึ่งในโลก งานนี้หนุ่ม เอ็ด ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ฝากความประทับใจไว้มากมาย
ตอนแรกมีความรู้สึกตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อยู่เหมือนกัน ว่าหนุ่มเอ็ดจะมาเยือนข้าวสารได้หรือไม่... เพราะก่อนหน้านี้ อย่างที่หลายคนทราบหนุ่มเอ็ด ประสบอุบัติเหตุแขนซ้ายหัก เรียกได้ว่าแขนหักครั้งนี้สะเทือนไปทั้งโลก แน่นอนว่ามันมีผลต่อตารางโชว์หลายประเทศ ที่ต้องเลื่อนออกไป โชคดีที่พี่แกหายทันมาทัวร์บ้านเราได้พอดิบพอดี
แค่มองขึ้นไปที่เวทีก็สุดอลังการงานสร้างแล้ว และเมื่อถึงฤกษ์งามยามดี หนุ่มหัวเพลิงจากฮาลิแฟกซ์ ไม่รอช้าเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟน ๆ ชาวไทยด้วยเพลง Castle On The Hill ซิงเกิลเปิดตัวจากอัลบั้มล่าสุด divide ตลอดโชว์ในครั้งนี้จะมีเพียงเสียงร้องของเอ็ดกับกีตาร์ต ชนิคู่ใจของเขาเท่านั้น แต่แค่เพลงแรกก็พูดได้แล้วว่า "คนเดียวก็เอาอยู่" ติดอยู่นิดเดียวก็คือ เสียงเบสจากลูป สเตชั่น ของเอ็ด ไม่มีเนื้อของเสียงเบสเลย สนั่นลั่นทุ่งไปนิด เอ็ดพาทุกคนไปต่อเนื่องความมันส์ด้วยเพลง Eraser เพลงเร็วที่มีบีท ฮิปฮอป น่าสนใจ ที่เอ็ดถ่ายทอดออกมาได้น่าชมบวกกับความสามารถในการเล่นลูปกีตาร์ ที่เรียกได้ว่าคิวเปะสุด ๆ
เพลงที่สามของโชว์ครั้งนี้หนุ่มเอ็ดเลือกเพลงดังจากอัลบั้มแรกของเขาอย่าง The A Team มาร้องให้กับแฟน ๆ ฟัง บวกกับการส่องไฟลงมาที่คนดูเพื่อให้แฟน ๆ ได้โบกแสงจากโทรศัพท์ตาม เรียกได้ว่าเป็นภาพที่สวยงามมาก ๆ ต่อมาหนุ่มเอ็ด กล่าวทักทายแฟน ๆอย่างเป็นทางการ โดยเขายังพูดอีกว่าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีแฟนเพลงที่ไทยมากขนาดนี้ เขาไม่รอช้าจัดเพลงที่ห้ามาให้แฟน ๆ ได้เต้นกันกับเพลง Don't ซึ่งความพิเศษของเพลงนี้หนุ่มเอ็ดได้นำเพลง New Man มาใส่ในท่อนหลังของเพลง Don't ด้วย กลายเป็นการนำทำนองของอีกเพลงมาใส่ในดนตรีของอีกเพลง ที่น่าสนใจมาก เพลงที่หกเอ็ดพาทุกคนไปพักอารมณ์กับเพลงเพราะจากอัลบั้มใหม่อีกเพลงอย่าง Dive และเมื่อมาถึงเพลงที่เจ็ดส่วนตัวผมสัมผัสได้ว่า การแสดงของหนุ่มเอ็ดเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เหมือนยังกะเครื่องยนต์ของหนุ่มเอ็ดเริ่มร้อนแล้ว บวกกับการโชว์บนระบบแสงสีเสียงที่ยอดเยี่ยม ในเพลง Bloodstream ทำให้มันเป็นอีกเพลงหนึ่งที่เอ็ดทำได้ดีมากในค่ำคืนนี้
และแล้วก็มาถึงช่วงเพลงช้าประจำคอนเสิร์ต ผมขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า ช่วงเวลาต่อจากนี้คือช่วงที่สำคัญที่สุดของโชว์ เพราะอะไร เรามาดูกัน เพลงที่แปดของโชว์เอ็ดหยิบเพลงช้าเศร้า ๆ อย่าง Happier ขึ้นมาร้องท่ามกลางเสียงแฟนเพลงที่ร้องตามลั่นอิมแพ็ค ต่อมาหนุ่มเอ็ดพูดเกริ่นเข้าเพลงต่อไปว่า นี่คือเพลงเก่าที่เขาไม่ได้เล่นมานานแล้ว เท่านั้นแหละเสียงจากมวลมหาประชาชนก็ส่งเสียงเชียร์ลุ้นว่าจะเป็นเพลงอะไร ซึ่งมันกลายเป็นเพลงที่เซอร์ไพรส์ใครหลาย ๆ คน แม้กระทั่งตัวผมเองด้วย เขาหยิบเพลงจากอัลบั้ม มัลติพาย อย่างเพลง Tenerife Sea (ส่วนตัวชอบเพลงนี้มาก) ขึ้นมาร้องให้แฟน ๆได้ฟังกัน แค่ท่อนที่ร้องว่า So in love แค่นี้ก็เพราะแล้ว อีกทั้งการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ของหนุ่มเอ็ด ณ ช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกว่านี่คือช่วงเวลาที่ดีมากสำหรับคอนเสิร์ตในครั้งนี้ของผม เอ็ดพาเราทุกคนต่อเนื่องความสนุกด้วยเพลง Galway Girl แค่ท่อนขึ้นที่ร้องว่า “She played the fiddle in an Irish band , But she fell in love with an English man” ก็เรียกเสียงกรี๊ดลั่นสนั่น เมืองนนท์ เลยทีเดียว สิ่งที่ผมชอบอย่างหนึ่งในเพลงนี้ก็คือ หนุ่มเอ็ดได้แทนเสียง fiddle จากเพลงจริง ด้วยเสียงร้องของเขาเอง

และแล้วก็มาถึงจุดพีคของช่วงนี้ หนุ่มเอ็ด ได้ทำการชวนเพื่อนของเขาขึ้นมาร่วมเล่นเปียโนด้วยกันในเพลง How Would You Feel มันกลายเป็นเพลงที่ผมชอบมากที่สุดในคอนเสิร์ต เสียงร้องทำนอง เข้าคู่กับเสียงกีตาร์และเปียโน มันทำให้การแสดงในเพลงนี้งดงามมากจริง ๆ และเมื่อเสียงอินโทรจากเพลง Photograph ดังขึ้น ทุกคนในฮอลล์ต่างกรี้ดออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ซึ่งการที่ได้มาฟังหนุ่มเอ็ดร้องเพลงนี้แบบสด ๆ ท่ามกลางสักขีพยานนับหมื่น ๆ คน มันกลายเป็นภาพจดจำของผมอย่างมาก เพราะมันไพเราะมากจริง ๆ และยิ่งบวกกับท่อนจบ ที่หนุ่มเอ็ดเลือกทำท่อนจบแบบแท็กเพื่อเน้นอารมณ์คนดู ยิ่งชวนทำให้ขนลุกเข้าไปอีก
ปิดท้ายความพีคของเพลงเซตนี้ด้วย Perfect เพลงจากอัลบั้มใหม่ที่พึ่งมีเอ็มวี ออกมาก่อนหน้านี้ไม่นาน ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องแต่หนุ่มเอ็ดบนเวที อยู่ดี ๆก็มีเสียงกรี๊ดดังขึ้นมาจากฝั่งขวามือของคนดู ใช่ครับ มีคนขอแต่งงานกันด้วยยย (หลายคนอิจฉาตาร้อน) บวกกับตัวเพลงและเสียงของเอ็ดที่เพราะจับใจมาก ๆ ยิ่งทำให้ช่วงเวลาตรงนั้นมีแต่ความโรแมนติกอย่างมาก และแล้วก็มาถึงเพลงท้าย ๆ ของโชว์แล้ว เพลงที่สิบสี่ของโชว์ เอ็ดหยิบเพลง Nancy Mulligan เพลงที่มีความเป็นดนตรีไอริชสูงมากจากอัลบั้มล่าสุด (Divide) มาเป็นตัวเปลี่ยนบรรยากาศได้ดี เพื่อส่งเข้าเพลงต่อไป ในทันทีที่ผมเห็นหนุ่มเอ็ดเปลี่ยนมาใช้กีตาร์ไฟฟ้า หลายคนรู้เลยว่าเขากำลังจะเล่นเพลงที่ดังที่สุดของเขา นั่นก็คือ Thinking Out Loud ไม่ต้องถามถึงเสียงคนที่ร้องตามนะ ว่ามันดังมากขนาดไหน เรียกได้ว่าทุกคนในอิมแพ็คร้องตามเอ็ดทั้งหมด
ทุกงานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกลา เอ็ดปิดท้ายโชว์ของเขาด้วยเพลง Sing เพลงนี้เราจะได้เห็นวิช่วลกราฟฟิคบนจอ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมชอบมาก มีความคลาสสิกและความทันสมัยในเวลาเดียวกัน แค่ได้มาดูแค่นี้ก็คุ้มแล้ว หลังจากโบกมือลาแฟน ๆ แล้วเขาก็รีบลงจากเวทีไปแบบงง ๆ แต่ด้วยเสียงเรียกของแฟน ๆ ทำให้หนุ่มเอ็ดปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับการเดินไปจิ้มซินธิไซเซอร์ เพื่อขึ้นอินโทรเพลง Shape Of You เพลงสุดท้ายจริง ๆ ของโชว์ในครั้งนี้ก็คือเพลง You need me, I don't need you เอ็ดได้ทำการร้องบีทบ็อกซ์ เป็นจังหวะขึ้นมาในท่อนอินโทร ก่อนจะเริ่มร้องแบบใส่เต็ม ทิ้งกีตาร์แล้วหยิบไมค์ แร็ปแบบกระจาย ผมสังเกตจังหวะสุดท้ายของเพลงหนุ่มเอ็ดได้ใช้เท้าเยียบเพื่อปิดลูป ในท่อนตัดจบพอดี หืมโคตรเท่ ! เป็นการปิดท้ายคอนเสิร์ตนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
ผมเคยเขียนรีวิวอัลบั้ม Divide ของเอ็ดไว้เมื่อหลายเดือนที่แล้ว (อ่านได้ที่นี่) ตอนนั้นความรู้สึกที่ได้ฟังเพลงทั้งหมดในอัลบั้มเปรียบเสมือนเป็นการนั่งฟังเรื่องเล่าจากชายคนหนึ่งราวๆ ตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ชวนน่าติดตามอย่างยิ่ง โชว์ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ซึ่งช่วงเวลานี้กลายเป็นสิ่งพิเศษของหลาย ๆ คน ที่ได้มีโอกาสมาฟังศิลปินคุณภาพคนนี้ร้องสดต่อหน้าเรา หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมสัมผัสได้จากโชว์ของเขาในวันนี้ เป็นการตอกย้ำและการันตีคุณภาพของเขาอย่างแท้จริง เสียงร้อง เสียงกีตาร์ของเขายังคงมีอิทธิพลและทรงเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ เป็นหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ที่น่าเหลือเชื่อว่าชายคนหนึ่งกับกีตาร์คู่ใจ จะมีอำนาจสะกดคนดูได้มากขนาดนี้ สุดท้ายต้องขอขอบคุณผู้จัดที่นำโชว์ดี ๆ มาให้คนไทยได้ดูนะครับ
ปล. ถ้าให้พูดถึงคุณภาพการรับชม ต้องบอกว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ อิมแพ็คอารีน่า ยังคงเป็นสถานที่ ที่ไม่เหมาะจะมานั่งฟังดนตรีอย่างแท้จริง (หมายถึงอคูสติกของสถานที่นะ) แม้ว่าจุดที่ผมชมในวันนี้จะอยู่อยู่ในจุด Sweet Spot เลย (หน้าแผงควบคุม) เป็นจุดที่เอ็นจิเนียได้ยินภาพรวมทั้งหมดนั่นแหละ แต่วันนี้ผมชอบซาวด์กีตาร์นะธรรมชาติดี แต่เสียงย่านต่ำ ๆ คือไม่คมไม่เป็นเนื้อเลย
-วิทวัส ปัญญาเลิศวุฒิ-
ที่มา :
https://gmlive.com/ed-sheeran-live-in-bangkok-2017-review
[CR] รีวิวคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทยของ เอ็ด ชีแรน ชายที่สะกดคนนับหมื่นด้วยเสียงร้องกับกีตาร์ (อย่างละเอียด)
งานนี้โปรโมเตอร์ระดับโลกอย่างเออีจี และ บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (BEC-Tero Entertainment) ร่วมมือกัน ทุ่มทุนสร้างนำเข้าโชว์ที่ขึ้นชื่อว่า น่าชมที่สุดโชว์หนึ่งในโลก งานนี้หนุ่ม เอ็ด ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ฝากความประทับใจไว้มากมาย
ตอนแรกมีความรู้สึกตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อยู่เหมือนกัน ว่าหนุ่มเอ็ดจะมาเยือนข้าวสารได้หรือไม่... เพราะก่อนหน้านี้ อย่างที่หลายคนทราบหนุ่มเอ็ด ประสบอุบัติเหตุแขนซ้ายหัก เรียกได้ว่าแขนหักครั้งนี้สะเทือนไปทั้งโลก แน่นอนว่ามันมีผลต่อตารางโชว์หลายประเทศ ที่ต้องเลื่อนออกไป โชคดีที่พี่แกหายทันมาทัวร์บ้านเราได้พอดิบพอดี
แค่มองขึ้นไปที่เวทีก็สุดอลังการงานสร้างแล้ว และเมื่อถึงฤกษ์งามยามดี หนุ่มหัวเพลิงจากฮาลิแฟกซ์ ไม่รอช้าเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟน ๆ ชาวไทยด้วยเพลง Castle On The Hill ซิงเกิลเปิดตัวจากอัลบั้มล่าสุด divide ตลอดโชว์ในครั้งนี้จะมีเพียงเสียงร้องของเอ็ดกับกีตาร์ต ชนิคู่ใจของเขาเท่านั้น แต่แค่เพลงแรกก็พูดได้แล้วว่า "คนเดียวก็เอาอยู่" ติดอยู่นิดเดียวก็คือ เสียงเบสจากลูป สเตชั่น ของเอ็ด ไม่มีเนื้อของเสียงเบสเลย สนั่นลั่นทุ่งไปนิด เอ็ดพาทุกคนไปต่อเนื่องความมันส์ด้วยเพลง Eraser เพลงเร็วที่มีบีท ฮิปฮอป น่าสนใจ ที่เอ็ดถ่ายทอดออกมาได้น่าชมบวกกับความสามารถในการเล่นลูปกีตาร์ ที่เรียกได้ว่าคิวเปะสุด ๆ
เพลงที่สามของโชว์ครั้งนี้หนุ่มเอ็ดเลือกเพลงดังจากอัลบั้มแรกของเขาอย่าง The A Team มาร้องให้กับแฟน ๆ ฟัง บวกกับการส่องไฟลงมาที่คนดูเพื่อให้แฟน ๆ ได้โบกแสงจากโทรศัพท์ตาม เรียกได้ว่าเป็นภาพที่สวยงามมาก ๆ ต่อมาหนุ่มเอ็ด กล่าวทักทายแฟน ๆอย่างเป็นทางการ โดยเขายังพูดอีกว่าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีแฟนเพลงที่ไทยมากขนาดนี้ เขาไม่รอช้าจัดเพลงที่ห้ามาให้แฟน ๆ ได้เต้นกันกับเพลง Don't ซึ่งความพิเศษของเพลงนี้หนุ่มเอ็ดได้นำเพลง New Man มาใส่ในท่อนหลังของเพลง Don't ด้วย กลายเป็นการนำทำนองของอีกเพลงมาใส่ในดนตรีของอีกเพลง ที่น่าสนใจมาก เพลงที่หกเอ็ดพาทุกคนไปพักอารมณ์กับเพลงเพราะจากอัลบั้มใหม่อีกเพลงอย่าง Dive และเมื่อมาถึงเพลงที่เจ็ดส่วนตัวผมสัมผัสได้ว่า การแสดงของหนุ่มเอ็ดเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว เหมือนยังกะเครื่องยนต์ของหนุ่มเอ็ดเริ่มร้อนแล้ว บวกกับการโชว์บนระบบแสงสีเสียงที่ยอดเยี่ยม ในเพลง Bloodstream ทำให้มันเป็นอีกเพลงหนึ่งที่เอ็ดทำได้ดีมากในค่ำคืนนี้
และแล้วก็มาถึงช่วงเพลงช้าประจำคอนเสิร์ต ผมขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า ช่วงเวลาต่อจากนี้คือช่วงที่สำคัญที่สุดของโชว์ เพราะอะไร เรามาดูกัน เพลงที่แปดของโชว์เอ็ดหยิบเพลงช้าเศร้า ๆ อย่าง Happier ขึ้นมาร้องท่ามกลางเสียงแฟนเพลงที่ร้องตามลั่นอิมแพ็ค ต่อมาหนุ่มเอ็ดพูดเกริ่นเข้าเพลงต่อไปว่า นี่คือเพลงเก่าที่เขาไม่ได้เล่นมานานแล้ว เท่านั้นแหละเสียงจากมวลมหาประชาชนก็ส่งเสียงเชียร์ลุ้นว่าจะเป็นเพลงอะไร ซึ่งมันกลายเป็นเพลงที่เซอร์ไพรส์ใครหลาย ๆ คน แม้กระทั่งตัวผมเองด้วย เขาหยิบเพลงจากอัลบั้ม มัลติพาย อย่างเพลง Tenerife Sea (ส่วนตัวชอบเพลงนี้มาก) ขึ้นมาร้องให้แฟน ๆได้ฟังกัน แค่ท่อนที่ร้องว่า So in love แค่นี้ก็เพราะแล้ว อีกทั้งการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ของหนุ่มเอ็ด ณ ช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกว่านี่คือช่วงเวลาที่ดีมากสำหรับคอนเสิร์ตในครั้งนี้ของผม เอ็ดพาเราทุกคนต่อเนื่องความสนุกด้วยเพลง Galway Girl แค่ท่อนขึ้นที่ร้องว่า “She played the fiddle in an Irish band , But she fell in love with an English man” ก็เรียกเสียงกรี๊ดลั่นสนั่น เมืองนนท์ เลยทีเดียว สิ่งที่ผมชอบอย่างหนึ่งในเพลงนี้ก็คือ หนุ่มเอ็ดได้แทนเสียง fiddle จากเพลงจริง ด้วยเสียงร้องของเขาเอง
ปิดท้ายความพีคของเพลงเซตนี้ด้วย Perfect เพลงจากอัลบั้มใหม่ที่พึ่งมีเอ็มวี ออกมาก่อนหน้านี้ไม่นาน ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องแต่หนุ่มเอ็ดบนเวที อยู่ดี ๆก็มีเสียงกรี๊ดดังขึ้นมาจากฝั่งขวามือของคนดู ใช่ครับ มีคนขอแต่งงานกันด้วยยย (หลายคนอิจฉาตาร้อน) บวกกับตัวเพลงและเสียงของเอ็ดที่เพราะจับใจมาก ๆ ยิ่งทำให้ช่วงเวลาตรงนั้นมีแต่ความโรแมนติกอย่างมาก และแล้วก็มาถึงเพลงท้าย ๆ ของโชว์แล้ว เพลงที่สิบสี่ของโชว์ เอ็ดหยิบเพลง Nancy Mulligan เพลงที่มีความเป็นดนตรีไอริชสูงมากจากอัลบั้มล่าสุด (Divide) มาเป็นตัวเปลี่ยนบรรยากาศได้ดี เพื่อส่งเข้าเพลงต่อไป ในทันทีที่ผมเห็นหนุ่มเอ็ดเปลี่ยนมาใช้กีตาร์ไฟฟ้า หลายคนรู้เลยว่าเขากำลังจะเล่นเพลงที่ดังที่สุดของเขา นั่นก็คือ Thinking Out Loud ไม่ต้องถามถึงเสียงคนที่ร้องตามนะ ว่ามันดังมากขนาดไหน เรียกได้ว่าทุกคนในอิมแพ็คร้องตามเอ็ดทั้งหมด
ทุกงานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกลา เอ็ดปิดท้ายโชว์ของเขาด้วยเพลง Sing เพลงนี้เราจะได้เห็นวิช่วลกราฟฟิคบนจอ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมชอบมาก มีความคลาสสิกและความทันสมัยในเวลาเดียวกัน แค่ได้มาดูแค่นี้ก็คุ้มแล้ว หลังจากโบกมือลาแฟน ๆ แล้วเขาก็รีบลงจากเวทีไปแบบงง ๆ แต่ด้วยเสียงเรียกของแฟน ๆ ทำให้หนุ่มเอ็ดปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับการเดินไปจิ้มซินธิไซเซอร์ เพื่อขึ้นอินโทรเพลง Shape Of You เพลงสุดท้ายจริง ๆ ของโชว์ในครั้งนี้ก็คือเพลง You need me, I don't need you เอ็ดได้ทำการร้องบีทบ็อกซ์ เป็นจังหวะขึ้นมาในท่อนอินโทร ก่อนจะเริ่มร้องแบบใส่เต็ม ทิ้งกีตาร์แล้วหยิบไมค์ แร็ปแบบกระจาย ผมสังเกตจังหวะสุดท้ายของเพลงหนุ่มเอ็ดได้ใช้เท้าเยียบเพื่อปิดลูป ในท่อนตัดจบพอดี หืมโคตรเท่ ! เป็นการปิดท้ายคอนเสิร์ตนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
ผมเคยเขียนรีวิวอัลบั้ม Divide ของเอ็ดไว้เมื่อหลายเดือนที่แล้ว (อ่านได้ที่นี่) ตอนนั้นความรู้สึกที่ได้ฟังเพลงทั้งหมดในอัลบั้มเปรียบเสมือนเป็นการนั่งฟังเรื่องเล่าจากชายคนหนึ่งราวๆ ตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ชวนน่าติดตามอย่างยิ่ง โชว์ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ซึ่งช่วงเวลานี้กลายเป็นสิ่งพิเศษของหลาย ๆ คน ที่ได้มีโอกาสมาฟังศิลปินคุณภาพคนนี้ร้องสดต่อหน้าเรา หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมสัมผัสได้จากโชว์ของเขาในวันนี้ เป็นการตอกย้ำและการันตีคุณภาพของเขาอย่างแท้จริง เสียงร้อง เสียงกีตาร์ของเขายังคงมีอิทธิพลและทรงเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ เป็นหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ที่น่าเหลือเชื่อว่าชายคนหนึ่งกับกีตาร์คู่ใจ จะมีอำนาจสะกดคนดูได้มากขนาดนี้ สุดท้ายต้องขอขอบคุณผู้จัดที่นำโชว์ดี ๆ มาให้คนไทยได้ดูนะครับ
ปล. ถ้าให้พูดถึงคุณภาพการรับชม ต้องบอกว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ อิมแพ็คอารีน่า ยังคงเป็นสถานที่ ที่ไม่เหมาะจะมานั่งฟังดนตรีอย่างแท้จริง (หมายถึงอคูสติกของสถานที่นะ) แม้ว่าจุดที่ผมชมในวันนี้จะอยู่อยู่ในจุด Sweet Spot เลย (หน้าแผงควบคุม) เป็นจุดที่เอ็นจิเนียได้ยินภาพรวมทั้งหมดนั่นแหละ แต่วันนี้ผมชอบซาวด์กีตาร์นะธรรมชาติดี แต่เสียงย่านต่ำ ๆ คือไม่คมไม่เป็นเนื้อเลย
-วิทวัส ปัญญาเลิศวุฒิ-
ที่มา : https://gmlive.com/ed-sheeran-live-in-bangkok-2017-review