อีกคำถามจากเด็กขี้สงสัยค่ะ ขอย้ำว่าเพียงแค่สงสัยเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใด
การที่มนุษย์เราผลิต, คิดค้น, พัฒนาเทคโนโลยีทันสมัยออกมา เช่น คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, แอพพลิเคชั่นต่างๆ, รถไฟฟ้า, อินเตอร์เน็ทเร็วสูง และอื่นๆ จุดประสงค์เพื่อให้คนเราสบายขึ้น และทำงานน้อยลงไม่ใช่หรือคะ เพราะมีเทคโนโลยีทันสมัยมาช่วยให้การทำงานสะดวกขึ้น ลดขั้นตอน นั้นคือผลที่เราควรจะได้รับจากเทคโนโลยีใช่ไหมคะ ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวไปไกลอย่างรวดเร็วมากจนแทบจะตามไม่ทัน แต่ทำไมคนเรายิ่งต้องทำงานหนักขึ้นและทำงานมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเหมือนจะสวนทางกับคอนเซ็บของการใช้เทคโนโลยี ที่คนน่าจะสบายขึ้น ทำงานน้อยลง แต่ทำไมกลับไม่เป็นเช่นนั้น
พ่อของดิฉันเล่าให้ฟังว่าในสมัยที่ท่านเป็นหนุ่ม ยังไม่มีโทรศัทพท์มือถือ ไม่มีเพจเจอร์ ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีอินเตอร์เน็ท ท่านทำงานด้วยเครื่องพิมพ์ดีด (ซึ่งเด็กสมัยนี้ไม่เคยเห็นแล้ว) กับแฟ้มกองเอกสาร งานทุกอย่างทำด้วยมือล้วนๆ สมัยนั้นพนักงานออฟฟิศส่วนใหญ่เลิกงานกันตั้งแต่ 4 หรือ 5 โมงเย็น แล้วก็มีเวลาไปเที่ยวหาจีบสาวจีบหนุ่มกันตามร้านอาหาร, แหล่งช็อปปิ้ง, โรงหนัง ใช้ชีวิตหลังเลิกงานกันอย่างชิลๆ โดยไม่ต้องรอเย็นวันศุกร์ หรือกลับบ้านไปทันสอนลูกทำการบ้านและกินข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว
แต่ทำไมคนทำงานออฟฟิศในปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทันสมัยทุกอย่างกลับต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไปถึงออฟฟิศ 8 โมงเช้า และแทบไม่เคยได้เลิกงานก่อน 1 ทุ่ม ทั้งๆที่ตามสัญญาการว่าจ้างระบุว่าเวลาทำงาน 09.00 - 18.00 น. แต่ในชีวิตจริงมีใครเคยได้เลิกงานตรงเวลาตามสัญญาบ้างไหมคะ พอ 6 โมงเย็นมาถึงก็อยากจะกลับบ้านแต่ไม่กล้ากลับเพราะหัวหน้ายังไม่กลับ ต้องอยู่ทำงานต่อไปเพื่อเอาใจหัวหน้า หรือบางกรณีก็อยู่เพราะมีงานค้างเยอะจริงๆต้องสะสางให้ทันเวลา ปริมาณงานในแต่ละวันดูเหมือนไม่สามารถเสร็จหรือทำทันได้ภายในเวลางาน
สภาพปัจจุบันนี้คือ
- ออกจากที่ทำงาน 1 - 2 ทุ่ม ถึงบ้าน 3 - 4 ทุ่ม อาบน้ำทิ้งตัวลงนอนตอน 5 ทุ่ม
- ไม่มีกิจกรรมกับครอบครัวยกเว้นวันหยุด (วันหยุดบางวันก็ต้องไปทำงาน)
- แทบไม่ได้เจอหน้าลูก, สามี/ภรรยา ในวันธรรมดา อย่าหวังว่าจะได้กินข้าวเย็นพร้อมกัน
- ไม่ได้เที่ยวหรือเตร็ดเตร่หลังเลิกงาน ยกเว้นเย็นวันศุกร์
สภาพการณ์เช่นนี้ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะทำงานมากขึ้นมากขึ้นทุกปี ยิ่งเทคโนโลยีทันสมัยมากเท่าไรคนกลับต้องสละเวลาส่วนตัวให้งานมากขึ้น จนแทบไม่เหลือเวลาของตนเองแล้ว คนส่วนใหญ่มีความเชื่อ (หรือถูกสอนให้เชื่อว่า) ทำงานหนักในวันนี้เพื่อลูกๆจะได้สบายในวันหน้า จริงหรือคะ ? อย่าลืมว่าพ่อแม่ของคุณก็เคยคิดแบบนั้น แล้วลูกๆของพวกเขาก็คือคุณในตอนนี้เป็นไงบ้างคะ สบายไหม ? ยังต้องทำงานวันละ 12 ชั่วโมง แล้วลูกๆของคุณหละ คงไม่สบายไปกว่าคุณในปัจจุบันแน่นอน เพราะยุคของลูกคุณเทคโนโลยีก็ยิ่งสูงมากขึ้น จากสถิติแล้วยิ่งเทคโนโลยีสูงมากเท่าไรคนก็ยิ่งทำงานหนักมากเท่านั้น วันนี้คุณทำงานหนักเท่าไร วันหน้าลูกจะทำงานหนักกว่าคุณ 2 - 3 เท่า เพราะการแข่งขันทางธุรกิจที่เข้มข้นมากขึ้นตามกัน
So, what is the point ? แทนที่เราจะให้เทคโนโลยีเป็นทาสรับใช้เรา แต่เรากลับกลายเป็นทาสรับใช้เทคโนโลยีหรือ ? ต้องทำงานหนักเพื่อผ่อนซื้อเทคโนโลยี เช่น ไอโฟน ? ทีวีจอยักษ์ ? รถหรู ? ตกลงใครเป็นทาสใครกันแน่คะ ?
ทำไมยิ่งเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น คนยิ่งทำงานมากขึ้น
การที่มนุษย์เราผลิต, คิดค้น, พัฒนาเทคโนโลยีทันสมัยออกมา เช่น คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, แอพพลิเคชั่นต่างๆ, รถไฟฟ้า, อินเตอร์เน็ทเร็วสูง และอื่นๆ จุดประสงค์เพื่อให้คนเราสบายขึ้น และทำงานน้อยลงไม่ใช่หรือคะ เพราะมีเทคโนโลยีทันสมัยมาช่วยให้การทำงานสะดวกขึ้น ลดขั้นตอน นั้นคือผลที่เราควรจะได้รับจากเทคโนโลยีใช่ไหมคะ ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวไปไกลอย่างรวดเร็วมากจนแทบจะตามไม่ทัน แต่ทำไมคนเรายิ่งต้องทำงานหนักขึ้นและทำงานมากขึ้นทุกวัน ซึ่งเหมือนจะสวนทางกับคอนเซ็บของการใช้เทคโนโลยี ที่คนน่าจะสบายขึ้น ทำงานน้อยลง แต่ทำไมกลับไม่เป็นเช่นนั้น
พ่อของดิฉันเล่าให้ฟังว่าในสมัยที่ท่านเป็นหนุ่ม ยังไม่มีโทรศัทพท์มือถือ ไม่มีเพจเจอร์ ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีอินเตอร์เน็ท ท่านทำงานด้วยเครื่องพิมพ์ดีด (ซึ่งเด็กสมัยนี้ไม่เคยเห็นแล้ว) กับแฟ้มกองเอกสาร งานทุกอย่างทำด้วยมือล้วนๆ สมัยนั้นพนักงานออฟฟิศส่วนใหญ่เลิกงานกันตั้งแต่ 4 หรือ 5 โมงเย็น แล้วก็มีเวลาไปเที่ยวหาจีบสาวจีบหนุ่มกันตามร้านอาหาร, แหล่งช็อปปิ้ง, โรงหนัง ใช้ชีวิตหลังเลิกงานกันอย่างชิลๆ โดยไม่ต้องรอเย็นวันศุกร์ หรือกลับบ้านไปทันสอนลูกทำการบ้านและกินข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว
แต่ทำไมคนทำงานออฟฟิศในปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทันสมัยทุกอย่างกลับต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไปถึงออฟฟิศ 8 โมงเช้า และแทบไม่เคยได้เลิกงานก่อน 1 ทุ่ม ทั้งๆที่ตามสัญญาการว่าจ้างระบุว่าเวลาทำงาน 09.00 - 18.00 น. แต่ในชีวิตจริงมีใครเคยได้เลิกงานตรงเวลาตามสัญญาบ้างไหมคะ พอ 6 โมงเย็นมาถึงก็อยากจะกลับบ้านแต่ไม่กล้ากลับเพราะหัวหน้ายังไม่กลับ ต้องอยู่ทำงานต่อไปเพื่อเอาใจหัวหน้า หรือบางกรณีก็อยู่เพราะมีงานค้างเยอะจริงๆต้องสะสางให้ทันเวลา ปริมาณงานในแต่ละวันดูเหมือนไม่สามารถเสร็จหรือทำทันได้ภายในเวลางาน
สภาพปัจจุบันนี้คือ
- ออกจากที่ทำงาน 1 - 2 ทุ่ม ถึงบ้าน 3 - 4 ทุ่ม อาบน้ำทิ้งตัวลงนอนตอน 5 ทุ่ม
- ไม่มีกิจกรรมกับครอบครัวยกเว้นวันหยุด (วันหยุดบางวันก็ต้องไปทำงาน)
- แทบไม่ได้เจอหน้าลูก, สามี/ภรรยา ในวันธรรมดา อย่าหวังว่าจะได้กินข้าวเย็นพร้อมกัน
- ไม่ได้เที่ยวหรือเตร็ดเตร่หลังเลิกงาน ยกเว้นเย็นวันศุกร์
สภาพการณ์เช่นนี้ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะทำงานมากขึ้นมากขึ้นทุกปี ยิ่งเทคโนโลยีทันสมัยมากเท่าไรคนกลับต้องสละเวลาส่วนตัวให้งานมากขึ้น จนแทบไม่เหลือเวลาของตนเองแล้ว คนส่วนใหญ่มีความเชื่อ (หรือถูกสอนให้เชื่อว่า) ทำงานหนักในวันนี้เพื่อลูกๆจะได้สบายในวันหน้า จริงหรือคะ ? อย่าลืมว่าพ่อแม่ของคุณก็เคยคิดแบบนั้น แล้วลูกๆของพวกเขาก็คือคุณในตอนนี้เป็นไงบ้างคะ สบายไหม ? ยังต้องทำงานวันละ 12 ชั่วโมง แล้วลูกๆของคุณหละ คงไม่สบายไปกว่าคุณในปัจจุบันแน่นอน เพราะยุคของลูกคุณเทคโนโลยีก็ยิ่งสูงมากขึ้น จากสถิติแล้วยิ่งเทคโนโลยีสูงมากเท่าไรคนก็ยิ่งทำงานหนักมากเท่านั้น วันนี้คุณทำงานหนักเท่าไร วันหน้าลูกจะทำงานหนักกว่าคุณ 2 - 3 เท่า เพราะการแข่งขันทางธุรกิจที่เข้มข้นมากขึ้นตามกัน
So, what is the point ? แทนที่เราจะให้เทคโนโลยีเป็นทาสรับใช้เรา แต่เรากลับกลายเป็นทาสรับใช้เทคโนโลยีหรือ ? ต้องทำงานหนักเพื่อผ่อนซื้อเทคโนโลยี เช่น ไอโฟน ? ทีวีจอยักษ์ ? รถหรู ? ตกลงใครเป็นทาสใครกันแน่คะ ?