ลมหนาวพัดมาหวิวๆ แสงแดดเหลืองหม่นๆชวนเหงาดีจัง บรรยากาศแบบนี้ล่ะทำให้คิดถึงบ้านที่สุด คิดถึงนาข้าวที่สุกเหลืองอร่ามเต็มทุ่ง คิดถึงท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มมีเมฆขาวๆลอยอยู่สูงๆเหมือนปุยนุ่น คิดถึงบ่อน้ำใสแจ๋วเหมือนกระจกเงาที่มีน้ำเต็มปริ่มขอบบ่อ.... อืมมมม คิดแล้วก็น้ำตาจะไหลเสียให้ได้ ... คิดถึงบ้าน
ตอนนู๋นิดเป็นเด็ก ถึงหน้าหนาวทีไรเป็นต้องตื่นเต้นเสียทุกครั้ง นู๋นิดชอบหน้าหนาวเพราะมันหนาวมันหนาวจริงๆนะ ชอบลุ้นเวลาอาบน้ำ หากเป็นวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ไม่ได้ไปโรงเรียน นู๋นิดกับพี่น้องจะพากันอาบน้ำกลางทุ่งกันเสียตั้งกะเที่ยงที่ดวงอาทิตย์ยังส่องแสงแรงจ้า มันจะได้อุ่นๆ และไม่ต้องอาบอีกในช่วงเย็น
บ้านเรายากจนไม่มีหรอกเครื่องทำน้ำอุ่น จะมีก็แต่เครื่องทำน้ำอุ่นระบบโซล่าเซลล์ของพ่อ คือ พ่อจะเอาโอ่งใบใหญ่ๆ ไปตั้งไว้ในที่โล่ง ตักน้ำใส่ให้เต็มโอ่ง(ก็พวกเรานี่แหละช่วยกันตัก)ตากแดดเอาไว้ พอซักประมาณเที่ยงหรือบ่าย น้ำในตุ่มก็จะร้อนหรืออุ่นพอดี พวกเราก็จะไปยืนอาบน้ำอุ่นกันเป็นที่สนุกสนาน อาบน้ำไปก็แกล้งกันไปด้วยการแอบตักเอาน้ำเย็นจากโอ่งใบที่อยู่ในร่มสาดใส่กัน ใครหนีทันก็ทัน ใครหนีไม่ทันก็โดน นู๋นิดจะบอกว่าโอ่งน้ำใบที่ไม่โดนแสงแดดน่ะ น้ำจะเย็นเจี๊ยบยังกะน้ำแข็งเลย ยิ่งเป็นโอ่งดินเผาด้วยยิ่งเย็นหนักเข้าไปอีก … แต่หากวันไหนที่ไม่มีแดด พวกเราก็ต้องต้มน้ำใส่หม้อนึ่งข้าวทำน้ำอุ่นอาบกัน

น้องชายคนหนึ่งของนู๋นิดเป็นเด็กเจ้าเล่ห์และชอบแกล้งเป็นที่สุด หากวันไหนที่นางไปวิ่งเล่นกับเพื่อนเสียจนค่ำมืด เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางก็จะเนียนๆไม่อาบน้ำแต่จะเข้าห้องน้ำทำทีไปตักน้ำเทราดพื้นเสียงดังๆ พอคุณย่าถามว่าอาบน้ำกันหมดแล้วหรือยัง น้องคนนี้ก็จะตอบเสียงดังก่อนเพื่อนเลยว่า “นู๋อาบแล้วจร้าาา แต่พี่นางยังไม่อาบ” ดูมันดิ๊ ! มันใส่ร้ายกันเอาดื้อๆ นิสัยเสียมากๆ เดือดร้อนนู๋นิดต้องให้พี่ชายมาเป็นพยานบอกกับคุณย่าว่านู๋นิดได้อาบน้ำไปแล้ว (มันน่าเขกกบาลมากไอ้น้องคนเนี้ย)
แต่สุดท้ายน้องชายก็ต้องถูกคุณย่าทำโทษด้วยการลงไม้เรียว เพราะเป็นการพูดโกหกใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ใครที่เคยโดนไม้เรียวลงน่องในหน้าหนาวนี่ คงจะรู้ดีว่ามันเจ็บกว่าปกติมากแค่ไหน สมน้ำหน้า! หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าน้องชายจะเลิกนิสัยชอบพูดโกหกใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นไปเลย เพราะฤทธิไม้เรียวคุณย่านี่ล่ะค่ะ
ตอนที่โตกันแล้ว น้องชายคนนี้ยังโดนพวกเราล้อในเรื่องนี้กันอยู่เลย อาจจะเป็นที่มาของคำว่า “ถูกล้อยันลูกบวช” ก็เป็นได้
พูดถึงความยากจน ก็อดที่จะพูดถึงบัตรสวัสดิการธงฟ้าประชารัฐไม่ได้ วันนั้นแม่เล่าให้ฟังว่า ไปซื้อของร้านธงฟ้ามา นู๋นิดก็ร้องเสียงหลง
“ฮ้าาา แม่ ! เราเข้าข่ายเป็นคนจนด้วยเหรอจ๊ะ?” (ก็ดั๊นไม่อยากเป็นคนจนนี่ ดั๊นเป็นดาว(ตก)คณะ ดั๊นเป็นเด็กเต๊บ) แม่ตอบเสียงดังฟังชัด
“เป็น !!”
ทีนี้นู๋นิดเลยถามแม่ใหญ่เลยว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง แม่เล่าว่า ตอนที่เค้าพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ในวัด(แม่ไปวัดทุกวัน) กลุ่มเพื่อนๆของแม่ก็ชักชวนกันไปสมัครลงชื่อขอรับบัตรคนจนนี้กับลุงผู้ใหญ่ เค้าก็ให้กรอกรายละเอียดในใบสมัครสมาชิก แม่ของนู๋นิดก็พาซื่อ ตัวเองมีทรัพย์สินอะไรก็ใส่ลงไปหมด แม่ก็เลยไม่ได้เป็นสมาชิกกับเค้า
“อ้าวก็ไหนแม่บอกว่าไปซื้อของที่ร้านธงฟ้ามาไงล่ะ”
“น้าพะยอมชวนแม่ไปเป็นเพื่อน เพราะร้านธงฟ้ามันอยู่ไกลข้ามไปอีกสองหมู่บ้าน ต้องชวนกันไปหลายๆคนแล้วแชร์กันออกค่ารถ แม่ก็ตามไปดูกะเค้าว่ามันเป็นยังไง”
“แล้วมันเป็นยังไงล่ะจ๊ะแม่”
“คนได้บัตรก็ไปซื้อของกันเยอะ เราจะซื้ออะไรก็หยิบเอา เวลาจะจ่ายค่าของเค้าก็ให้บัตรคิวมาแล้วก็รอคิวรูดบัตร ใครซื้อของไม่ถึง 300 บาทก็เสียสิทธิ์ส่วนที่ขาดไป ส่วนถ้าใครซื้อของเกิน ก็จ่ายส่วนที่เกินไป”
“มันมีด้วยเหรอแม่ ที่จะมีคนยอมเสียสิทธิ์ในส่วนที่ขาดน่ะ”
“ถ้าเป็นนางจะยอมเสียสิทธิไม๊?” แม่ถามนู๋นิดด้วยน้ำเสียงนอยด์ๆ
“อืมมม คงไม่ล่ะ นางก็คงจะคำนวณให้มันพอดีๆล่ะนะ”
“ก็นั่นล่ะ มีแต่คนนั่งคำนวณให้มันพอดีๆกับจำนวนเงินนั่นล่ะ บางคนถึงกับถือเครื่องคิดเลขไปเลยก็มี”
“แล้ว 300 บาทนี่ น้าพะยอมได้อะไรมาบ้างล่ะแม่”
“ก็ได้ผงซักฟอกมาถุงหนึ่งกับน้ำยาปรับผ้านุ่ม แล้วก็ยาสีฟันกับสบู่ก้อน แล้วก็นมข้นกระป๋องหนึ่งกับกาแฟแบบเป็นซองมาห่อหนึ่ง (หมายถึงแพ็คละ 10 ซอง) นี่ยังต้องเพิ่มเงินอีก 19 บาท”
“แบบนี้ราคาของมันถูกหรือแพงกว่าปกติล่ะจ๊ะแม่”
“แม่ว่ามันแพงกว่านะ แต่ไม่มากหรอกบาทสองบาทนี่แหละ อันนี้แม่ก็ไม่ได้สังเกตไปซะทั้งหมดหรอก บางตัวก็ถูกบางตัวก็แพงเฉลี่ยกันไปละมั๊ง”
“แล้วแม่ล่ะ ไม่ได้ซื้ออะไรเหรอจ๊ะ”
“ไม่ล่ะ จะซื้อทำไมล่ะแม่ไม่มีบัตรนี่ มาซื้อร้านสหกรณ์บ้านเราที่เราเป็นสมาชิกอยู่ดีกว่า”
“แล้วแม่เคยได้ปันผลกับเค้ามั๊ย ปีละกี่บาท นางเห็นคูปองของแม่อยู่เต็มตะกร้าไม่เห็นแม่จะสนใจเลยนี่นา”
“ไอ้ลูกคนนี้ มันทำไมมาซักแม่เหมือนแม่เป็นคนร้ายงั้นแหละ จะไปไหนก็ไปแม่ขี้เกียจคุยแล้ว จะคุยกับพ่อต่อไม๊” แม่เริ่มโมโหที่นู๋นิดเริ่มจะเข้าไปวุ่นวายกับตะกร้าสมบัติของแม่
นู๋นิดยังสนใจเรื่องของร้านธงฟ้าประชารัฐ ก็ได้ถามพ่อว่า ทำไมที่หมู่บ้านของเราไม่มี พ่อบอกว่า ร้านค้าในหมู่บ้านเรา ไม่เข้าเกณฑ์ที่เค้ากำหนดไว้ ส่วนร้านที่แม่กับน้าพะยอมไปใช้บริการนั้น เป็นร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ตั้งมารองรับงานนี้โดยเฉพาะ ดูเหมือนว่า เค้าจะบริหารจัดการโดยการรวมกลุ่มกันเหมือนเป็นสหกรณ์ มีคณะกรรมการตรวจสอบรายละเอียด
ส่วนข้อมูลในรายละเอียดของบัตรก็คือเหมือนบัตรเครดิต สิ้นเดือนมาทางธนาคารจะเป็นคนเติมเงินเข้าไปในบัตรให้สมาชิกให้เต็มวงเงินที่แต่ละคนได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้วงเงิน 300 บาทเท่ากันนะคะ บางคนก็ได้ 200 บาทก็มี (จนน้อย) บางคนจนมากก็ได้มากกว่า 300 บาท
ในต่างจังหวัดที่ห่างไกลความเจริญ น้อยคนที่จะขี้เกียจค่ะ ทุกคนก็ดิ้นรนทำมาหากินกันทั้งหมดแหละ ลำพังเงินแค่นี้ มันคงไม่ทำให้พวกเค้าร่ำรวยขึ้น แต่คนที่ยากจนจริงๆและขาดแคลนจริงๆ เงินแค่สองร้อยหรือสามร้อยบาท ก็ดูเหมือนมีค่ามากมาย การที่รัฐมีสวัสดิการให้พวกเค้าบ้างแบบนี้ก็เป็นการช่วยเหลือจุนเจือกันไป
อย่าถึงกับร้องเรียกหาหรือทวงบุญคุณกันว่าเป็นเงินภาษีของพวกท่าน ที่เจียดมาให้พวกเค้าเลยนะคะ อย่าลืมว่า ถนน ทางด่วน สนามบิน อุโมงค์ข้ามแยก ทางยกระดับลอยฟ้า สะพานลอย ทางด่วน ต่างๆนานาที่พวกท่านมีใช้อำนวยความสะดวกสบายในกรุงเทพฯ ที่คนต่างจังหวัดน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้มาใช้ แต่นั่น ก็เป็นเงินจากภาษีของพวกเค้าด้วยเช่นกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเราผู้มีความรู้ความสามารถมากกว่าชาวบ้านตาดำๆคือ ช่วยกันสอดส่องดูแล ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินส่วนนี้ อย่าให้ไปอำนวยความสะดวกเพิ่มช่องทางความร่ำรวยให้กับนายทุน หรือผู้จ้องจะหาประโยชน์ส่วนตัวจะดีกว่า เช่น บริษัทเจ้าของสินค้าหรือ Supplier ก็ไม่ควรฉวยโอกาสขายสินค้าแบบโก่งราคา ภาครัฐต้องควบคุมราคาขายปลีกให้ได้ อย่าให้แพงเกินไป ต้องสมเหตุสมผลและอยู่กันได้ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ หรือ
การบริหารจัดการเรื่องของจำนวนร้านค้าที่จะรองรับนโยบายนี้ ควรจะเปิดฟรีสำหรับร้านค้าที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ เพื่อเป็นการกระจายรายได้ให้ทั่วถึง ไม่ใช่ขายดีแต่ร้านที่เข้าร่วมโครงการ แต่ร้านอื่นเงียบเหงา แบบนี้มันก็ผิดวัตถุประสงค์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียน จะเป็นรัฐบาลที่ดีสมกับเสนอตัวเข้ามาดูแลประชาชน ก็อย่าเลือกที่รักมักที่ชังนะคะ ขอบคุณค่ะ
+ + + ลมหนาว กับ เด็กชาวนา ร้านธงฟ้า กับ ผู้ใหญ่ชาวบ้าน + + +
ลมหนาวพัดมาหวิวๆ แสงแดดเหลืองหม่นๆชวนเหงาดีจัง บรรยากาศแบบนี้ล่ะทำให้คิดถึงบ้านที่สุด คิดถึงนาข้าวที่สุกเหลืองอร่ามเต็มทุ่ง คิดถึงท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มมีเมฆขาวๆลอยอยู่สูงๆเหมือนปุยนุ่น คิดถึงบ่อน้ำใสแจ๋วเหมือนกระจกเงาที่มีน้ำเต็มปริ่มขอบบ่อ.... อืมมมม คิดแล้วก็น้ำตาจะไหลเสียให้ได้ ... คิดถึงบ้าน
ตอนนู๋นิดเป็นเด็ก ถึงหน้าหนาวทีไรเป็นต้องตื่นเต้นเสียทุกครั้ง นู๋นิดชอบหน้าหนาวเพราะมันหนาวมันหนาวจริงๆนะ ชอบลุ้นเวลาอาบน้ำ หากเป็นวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ไม่ได้ไปโรงเรียน นู๋นิดกับพี่น้องจะพากันอาบน้ำกลางทุ่งกันเสียตั้งกะเที่ยงที่ดวงอาทิตย์ยังส่องแสงแรงจ้า มันจะได้อุ่นๆ และไม่ต้องอาบอีกในช่วงเย็น
บ้านเรายากจนไม่มีหรอกเครื่องทำน้ำอุ่น จะมีก็แต่เครื่องทำน้ำอุ่นระบบโซล่าเซลล์ของพ่อ คือ พ่อจะเอาโอ่งใบใหญ่ๆ ไปตั้งไว้ในที่โล่ง ตักน้ำใส่ให้เต็มโอ่ง(ก็พวกเรานี่แหละช่วยกันตัก)ตากแดดเอาไว้ พอซักประมาณเที่ยงหรือบ่าย น้ำในตุ่มก็จะร้อนหรืออุ่นพอดี พวกเราก็จะไปยืนอาบน้ำอุ่นกันเป็นที่สนุกสนาน อาบน้ำไปก็แกล้งกันไปด้วยการแอบตักเอาน้ำเย็นจากโอ่งใบที่อยู่ในร่มสาดใส่กัน ใครหนีทันก็ทัน ใครหนีไม่ทันก็โดน นู๋นิดจะบอกว่าโอ่งน้ำใบที่ไม่โดนแสงแดดน่ะ น้ำจะเย็นเจี๊ยบยังกะน้ำแข็งเลย ยิ่งเป็นโอ่งดินเผาด้วยยิ่งเย็นหนักเข้าไปอีก … แต่หากวันไหนที่ไม่มีแดด พวกเราก็ต้องต้มน้ำใส่หม้อนึ่งข้าวทำน้ำอุ่นอาบกัน
น้องชายคนหนึ่งของนู๋นิดเป็นเด็กเจ้าเล่ห์และชอบแกล้งเป็นที่สุด หากวันไหนที่นางไปวิ่งเล่นกับเพื่อนเสียจนค่ำมืด เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางก็จะเนียนๆไม่อาบน้ำแต่จะเข้าห้องน้ำทำทีไปตักน้ำเทราดพื้นเสียงดังๆ พอคุณย่าถามว่าอาบน้ำกันหมดแล้วหรือยัง น้องคนนี้ก็จะตอบเสียงดังก่อนเพื่อนเลยว่า “นู๋อาบแล้วจร้าาา แต่พี่นางยังไม่อาบ” ดูมันดิ๊ ! มันใส่ร้ายกันเอาดื้อๆ นิสัยเสียมากๆ เดือดร้อนนู๋นิดต้องให้พี่ชายมาเป็นพยานบอกกับคุณย่าว่านู๋นิดได้อาบน้ำไปแล้ว (มันน่าเขกกบาลมากไอ้น้องคนเนี้ย)
แต่สุดท้ายน้องชายก็ต้องถูกคุณย่าทำโทษด้วยการลงไม้เรียว เพราะเป็นการพูดโกหกใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น ใครที่เคยโดนไม้เรียวลงน่องในหน้าหนาวนี่ คงจะรู้ดีว่ามันเจ็บกว่าปกติมากแค่ไหน สมน้ำหน้า! หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าน้องชายจะเลิกนิสัยชอบพูดโกหกใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นไปเลย เพราะฤทธิไม้เรียวคุณย่านี่ล่ะค่ะ
ตอนที่โตกันแล้ว น้องชายคนนี้ยังโดนพวกเราล้อในเรื่องนี้กันอยู่เลย อาจจะเป็นที่มาของคำว่า “ถูกล้อยันลูกบวช” ก็เป็นได้
พูดถึงความยากจน ก็อดที่จะพูดถึงบัตรสวัสดิการธงฟ้าประชารัฐไม่ได้ วันนั้นแม่เล่าให้ฟังว่า ไปซื้อของร้านธงฟ้ามา นู๋นิดก็ร้องเสียงหลง
“ฮ้าาา แม่ ! เราเข้าข่ายเป็นคนจนด้วยเหรอจ๊ะ?” (ก็ดั๊นไม่อยากเป็นคนจนนี่ ดั๊นเป็นดาว(ตก)คณะ ดั๊นเป็นเด็กเต๊บ) แม่ตอบเสียงดังฟังชัด
“เป็น !!”
ทีนี้นู๋นิดเลยถามแม่ใหญ่เลยว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง แม่เล่าว่า ตอนที่เค้าพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ในวัด(แม่ไปวัดทุกวัน) กลุ่มเพื่อนๆของแม่ก็ชักชวนกันไปสมัครลงชื่อขอรับบัตรคนจนนี้กับลุงผู้ใหญ่ เค้าก็ให้กรอกรายละเอียดในใบสมัครสมาชิก แม่ของนู๋นิดก็พาซื่อ ตัวเองมีทรัพย์สินอะไรก็ใส่ลงไปหมด แม่ก็เลยไม่ได้เป็นสมาชิกกับเค้า
“อ้าวก็ไหนแม่บอกว่าไปซื้อของที่ร้านธงฟ้ามาไงล่ะ”
“น้าพะยอมชวนแม่ไปเป็นเพื่อน เพราะร้านธงฟ้ามันอยู่ไกลข้ามไปอีกสองหมู่บ้าน ต้องชวนกันไปหลายๆคนแล้วแชร์กันออกค่ารถ แม่ก็ตามไปดูกะเค้าว่ามันเป็นยังไง”
“แล้วมันเป็นยังไงล่ะจ๊ะแม่”
“คนได้บัตรก็ไปซื้อของกันเยอะ เราจะซื้ออะไรก็หยิบเอา เวลาจะจ่ายค่าของเค้าก็ให้บัตรคิวมาแล้วก็รอคิวรูดบัตร ใครซื้อของไม่ถึง 300 บาทก็เสียสิทธิ์ส่วนที่ขาดไป ส่วนถ้าใครซื้อของเกิน ก็จ่ายส่วนที่เกินไป”
“มันมีด้วยเหรอแม่ ที่จะมีคนยอมเสียสิทธิ์ในส่วนที่ขาดน่ะ”
“ถ้าเป็นนางจะยอมเสียสิทธิไม๊?” แม่ถามนู๋นิดด้วยน้ำเสียงนอยด์ๆ
“อืมมม คงไม่ล่ะ นางก็คงจะคำนวณให้มันพอดีๆล่ะนะ”
“ก็นั่นล่ะ มีแต่คนนั่งคำนวณให้มันพอดีๆกับจำนวนเงินนั่นล่ะ บางคนถึงกับถือเครื่องคิดเลขไปเลยก็มี”
“แล้ว 300 บาทนี่ น้าพะยอมได้อะไรมาบ้างล่ะแม่”
“ก็ได้ผงซักฟอกมาถุงหนึ่งกับน้ำยาปรับผ้านุ่ม แล้วก็ยาสีฟันกับสบู่ก้อน แล้วก็นมข้นกระป๋องหนึ่งกับกาแฟแบบเป็นซองมาห่อหนึ่ง (หมายถึงแพ็คละ 10 ซอง) นี่ยังต้องเพิ่มเงินอีก 19 บาท”
“แบบนี้ราคาของมันถูกหรือแพงกว่าปกติล่ะจ๊ะแม่”
“แม่ว่ามันแพงกว่านะ แต่ไม่มากหรอกบาทสองบาทนี่แหละ อันนี้แม่ก็ไม่ได้สังเกตไปซะทั้งหมดหรอก บางตัวก็ถูกบางตัวก็แพงเฉลี่ยกันไปละมั๊ง”
“แล้วแม่ล่ะ ไม่ได้ซื้ออะไรเหรอจ๊ะ”
“ไม่ล่ะ จะซื้อทำไมล่ะแม่ไม่มีบัตรนี่ มาซื้อร้านสหกรณ์บ้านเราที่เราเป็นสมาชิกอยู่ดีกว่า”
“แล้วแม่เคยได้ปันผลกับเค้ามั๊ย ปีละกี่บาท นางเห็นคูปองของแม่อยู่เต็มตะกร้าไม่เห็นแม่จะสนใจเลยนี่นา”
“ไอ้ลูกคนนี้ มันทำไมมาซักแม่เหมือนแม่เป็นคนร้ายงั้นแหละ จะไปไหนก็ไปแม่ขี้เกียจคุยแล้ว จะคุยกับพ่อต่อไม๊” แม่เริ่มโมโหที่นู๋นิดเริ่มจะเข้าไปวุ่นวายกับตะกร้าสมบัติของแม่
นู๋นิดยังสนใจเรื่องของร้านธงฟ้าประชารัฐ ก็ได้ถามพ่อว่า ทำไมที่หมู่บ้านของเราไม่มี พ่อบอกว่า ร้านค้าในหมู่บ้านเรา ไม่เข้าเกณฑ์ที่เค้ากำหนดไว้ ส่วนร้านที่แม่กับน้าพะยอมไปใช้บริการนั้น เป็นร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ตั้งมารองรับงานนี้โดยเฉพาะ ดูเหมือนว่า เค้าจะบริหารจัดการโดยการรวมกลุ่มกันเหมือนเป็นสหกรณ์ มีคณะกรรมการตรวจสอบรายละเอียด
ส่วนข้อมูลในรายละเอียดของบัตรก็คือเหมือนบัตรเครดิต สิ้นเดือนมาทางธนาคารจะเป็นคนเติมเงินเข้าไปในบัตรให้สมาชิกให้เต็มวงเงินที่แต่ละคนได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้วงเงิน 300 บาทเท่ากันนะคะ บางคนก็ได้ 200 บาทก็มี (จนน้อย) บางคนจนมากก็ได้มากกว่า 300 บาท
ในต่างจังหวัดที่ห่างไกลความเจริญ น้อยคนที่จะขี้เกียจค่ะ ทุกคนก็ดิ้นรนทำมาหากินกันทั้งหมดแหละ ลำพังเงินแค่นี้ มันคงไม่ทำให้พวกเค้าร่ำรวยขึ้น แต่คนที่ยากจนจริงๆและขาดแคลนจริงๆ เงินแค่สองร้อยหรือสามร้อยบาท ก็ดูเหมือนมีค่ามากมาย การที่รัฐมีสวัสดิการให้พวกเค้าบ้างแบบนี้ก็เป็นการช่วยเหลือจุนเจือกันไป
อย่าถึงกับร้องเรียกหาหรือทวงบุญคุณกันว่าเป็นเงินภาษีของพวกท่าน ที่เจียดมาให้พวกเค้าเลยนะคะ อย่าลืมว่า ถนน ทางด่วน สนามบิน อุโมงค์ข้ามแยก ทางยกระดับลอยฟ้า สะพานลอย ทางด่วน ต่างๆนานาที่พวกท่านมีใช้อำนวยความสะดวกสบายในกรุงเทพฯ ที่คนต่างจังหวัดน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้มาใช้ แต่นั่น ก็เป็นเงินจากภาษีของพวกเค้าด้วยเช่นกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเราผู้มีความรู้ความสามารถมากกว่าชาวบ้านตาดำๆคือ ช่วยกันสอดส่องดูแล ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินส่วนนี้ อย่าให้ไปอำนวยความสะดวกเพิ่มช่องทางความร่ำรวยให้กับนายทุน หรือผู้จ้องจะหาประโยชน์ส่วนตัวจะดีกว่า เช่น บริษัทเจ้าของสินค้าหรือ Supplier ก็ไม่ควรฉวยโอกาสขายสินค้าแบบโก่งราคา ภาครัฐต้องควบคุมราคาขายปลีกให้ได้ อย่าให้แพงเกินไป ต้องสมเหตุสมผลและอยู่กันได้ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ หรือ
การบริหารจัดการเรื่องของจำนวนร้านค้าที่จะรองรับนโยบายนี้ ควรจะเปิดฟรีสำหรับร้านค้าที่ต้องการเข้าร่วมโครงการ เพื่อเป็นการกระจายรายได้ให้ทั่วถึง ไม่ใช่ขายดีแต่ร้านที่เข้าร่วมโครงการ แต่ร้านอื่นเงียบเหงา แบบนี้มันก็ผิดวัตถุประสงค์ของการกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียน จะเป็นรัฐบาลที่ดีสมกับเสนอตัวเข้ามาดูแลประชาชน ก็อย่าเลือกที่รักมักที่ชังนะคะ ขอบคุณค่ะ