
สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาแชร์ Tips การขอวีซ่าอเมริกาครั้งแรกของเรา

ก่อนอื่นต้องบอกว่าการขอวีซ่าครั้งนี้ทำลายสิ่งที่เราจินตนาการการขอวีซ่าอเมริกาไปเลย จากที่เรากังวลต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร รูปถ่าย ข้อมูล ใบสมัคร การสัมภาษณ์ รวมถึงผลพิจารณาวีซ่า ... เราค่อนข้างแปลกใจมาก เพราะทั้งหมดเราดำเนินการเสร็จภายในสัปดาห์ โอ้ววว ง่ายกว่าวีซ่า UK หรือเชงเก้น ที่ผ่านมาแบบที่อยู่ในระดับที่เราเรียกว่าง่ายมาก ... Timeline ของเราคือ
- พฤหัส 02/11/2017 >>> ถ่ายรูป กรอกใบสมัครออนไลน์ พิมพ์ใบชำระค่าธรรมเนียม
- ศุกร์ 03/11/2017 >>> จ่ายเงินที่ธนาคารกรุงศรีฯ รอ 1 วันทำการ (เสาร์อาทิตย์ไม่นับนะคะ)
- จันทร์ 06/11/2017 >>> นัดสัมภาษณ์ออนไลน์ พิมพ์ใบนัด (เลือกรอบแรก 7:00 โมงเช้า)
- พฤหัส 09/11/2017 >>> สัมภาษณ์ และได้วีซ่าแล้ว เย้!!!
หลังจากที่มาเก็บข้อมูลต่างๆ จากเพื่อนในพันทิปอยู่บ่อยๆ วันนี้เลยอยากจะมาสรุป Tips เล็กๆ น้อย ไว้เป็นข้อมูลให้เพื่อนๆ ท่านอื่นต่อไป
1. กรอกเอกสารเอง
ถึงแม้จะมีบริการรับจ้างกรอกเอกสารรวมถึงดำเนินการเอกสารต่างๆ แทนเรา แต่ก็แนะนำให้กรอกเอกสารด้วยตัวเองจะดีกว่าค่ะ เพราะการที่เรากรอกเอกสารเอง เราจะได้รู้ข้อมูลเพื่อใช้เตรียมตัวในการสัมภาษณ์ ซึ่งคำถามส่วนนึงก็มาจากข้อมูลที่เรากรอกนั่นเอง
สำหรับรายละเอียดการกรอกข้อมูลมีเพื่อนในพันทิปทำไว้ละเอียดมาก ตามนี้เลยค่ะ (
https://pantip.com/topic/35021980)
2. รูปถ่าย
เราก็เคยได้ยินกันมาว่ารูปถ่ายต้องเห็นหู จริงๆ แล้วสิ่งที่สำคัญคือเห็นใบหน้าชัดเจนมากกว่าค่ะ ถ้าต้องขอวีซ่าแบบเร่งด่วนเลือกร้านที่มีบริการส่งรูปเข้าอีเมลให้เราได้เลย สะดวกและรวดเร็วกว่าเราเอารูปไปนั่งสแกนใหม่เอง (สำหรับเราใช้ร้านถ่ายรูปประจำที่ฟอร์จูน เนื่องจากราคาไม่แพง รอไม่นาน และเพิ่มเงินเพื่อให้เค้าส่งเข้าอีเมลได้เลย ประทับใจมากคือรูปสามารถโหลดจากอีเมลแล้วโหลดเข้าระบบไปใช้งานได้โดยไม่ต้องปรับแต่งใดๆ) … อ่อ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือรูปที่ใช้จะต้องไม่ซ้ำกับที่เคยรูปที่เคยได้วีซ่าอื่นๆ มาก่อน
3. ยื่นรอบแรก 7:00 โมงเช้า
แนะนำให้เลือกรอบสัมภาษณ์รอบแรก 7 โมงเช้า ยอมตื่นเช้าหน่อยแต่ไม่ต้องเสียเวลา เพราะบางทีคิวก่อนหน้าอาจจะมีความล่าช้าทำให้มีผลต่อรอบถัดไปๆ ข้อดีอีกอย่างสำหรับคนที่ไม่อยากเสียวันลาก็สามารถมาสัมภาษณ์รอบแรกแล้วไปทำงานต่อได้ ของเราสัมภาษณ์เสร็จตอน 7:23 ไปทำงานต่อได้สบายๆ เลย
4. ยืนยันตัวตนให้ได้
เมื่อมาถึงการสัมภาษณ์ แน่นอนเราจะทำอย่างไงให้คนสัมภาษณ์เชื่อว่าเราจะไปเที่ยวจริงๆ และพร้อมที่จะกลับไทย ไม่หนีหายเป็นโรบินฮู้ดที่โน้น สิ่งที่สำคัญก็คือ ข้อมูลที่เราได้กรอก Application ไว้ในข้อ 1 นั่นแหละ อย่างน้อยเราต้องสามารถให้ข้อมูลตามที่เราได้กรอกไว้ได้อย่างมั่นใจ การเตรียม Plan การท่องเที่ยวไว้ก่อนรวมทั้งเอกสารประกอบเช่น หนังสือรับรองการทำงาน บัญชีเงินฝาก หรือถ้ามีเอกสารประกอบอื่นที่คิดว่าสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นให้คนสัมภาษณ์ได้ก็เตรียมมาให้พร้อม กรณีของเราไม่ขอดูเอกสารเลยค่ะ แต่กรณีถ้าผู้สัมภาษณ์เรียกดูเราก็ต้องพร้อมเสมอค่ะ
คำถามของเราคำถามแรกคือ พูดภาษาอังกฤษได้ไหม เราตอบว่า พูดได้นิดหน่อย เพราะกลัวเค้าจะคาดหวังเราสูงไป แต่หลังจากนั้นเราก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษแบบสั้นๆ ไม่เป็นประโยค คำถามอื่นๆ คือ
- ขอวีซ่าไปทำอะไร
- ไปนานแค่ไหน
- ทำงานอะไร ที่ไหน
- รูปแบบของงานทำอะไร
- เคยไปยุโรปไปทำอะไร
แล้วผู้สัมภาษณ์ก็พูดว่า Have a nice day ... เราคิดว่าใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที เร็วมากจนต้องถามว่าเสร็จแล้วหรอ >__<
5. แต่งตัวให้เรียบร้อยและยิ้มแย้มแจ่มใส
หรือที่เราเรียกว่า First Impression แน่นอนผู้สัมภาษณ์ไม่ได้รู้จักเรามาก่อน ดังนั้นการแต่งตัว ท่าทาง และการแสดงออกต่อหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคำทักทาย ปฏิกิริยาการตอบคำถาม ยิ้มสยามเข้าไว้ได้ใจแน่ๆ ค่ะ
6. ภาษาอังกฤษ
เพราะคำถามแรกที่ผู้สัมภาษณ์จะถามคือ พูดภาษาอังกฤษได้ไหม ถ้าเราสามารถตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษได้จะยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้สัมภาษณ์แน่นอน … แต่ถ้าไม่สามารถพูดได้ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะหากผู้สัมภาษณ์ฟังไม่เข้าใจจะเรียกล่ามมาช่วยแปล เรียกว่าถ้าพูดได้ก็จะได้เปรียบหน่อยนึง
7. วีซ่าเชงเก้นและอื่นๆ
กรณีถ้าเคยไปเที่ยวยุโรป คุณโชคดีแล้วค่ะ เพราะตั้งแต่ตรวจเอกสารและสัมภาษณ์กับคนไทยรอบแรก ก็จะมีพูดถึงวีซ่าเชงเก้นว่าเคยไปไหน รูปซ้ำกับของวีซ่าเชงเก้นหรือเปล่า และต่อไปในการสัมภาษณ์รอบสอง ผู้สัมภาษณ์ก็ยังถามถึงวีซ่าเชงเก้นอีกครั้ง
8. อุปกรณ์อิเลคทรอนิค, GPS และกระเป๋าใบใหญ่
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคต่างๆ ที่ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ รวมถึงนาฬิกาที่มี GPS , กระเป๋าเป้, กระเป๋าเดินทาง หรือกระเป๋าที่ใบใหญ่ ย้ำๆๆๆ อย่าเอาติดตัวมา ไม่เข่นนั้นต้องเสียเวลาเดินไปหาที่รับฝากที่ตลาดแถมต้องเสียเงินอีก (ดูรายละเอียดในบัตรนัดเพิ่มเติมค่ะ)
9. ปากกา จดเลขพัสดุ
สุดท้ายอย่าลืมปากกาสำหรับจดเลขที่พัสดุ เพื่อตรวจสอบสถานะของ Passport ที่ทางสถานทูตจะส่งคืนให้เรา ... เจ้าหน้าที่จะขีดเส้นให้เราว่าต้องจดเลขพัสดุเอาไว้เช็คออนไลน์ในเว็บค่ะ

หวังว่าข้อมูลจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ และขอให้ได้วีซ่าสมหวังกันทุกคนนะคะ
Tips ขอวีซ่าอเมริกา - November 2017
ก่อนอื่นต้องบอกว่าการขอวีซ่าครั้งนี้ทำลายสิ่งที่เราจินตนาการการขอวีซ่าอเมริกาไปเลย จากที่เรากังวลต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร รูปถ่าย ข้อมูล ใบสมัคร การสัมภาษณ์ รวมถึงผลพิจารณาวีซ่า ... เราค่อนข้างแปลกใจมาก เพราะทั้งหมดเราดำเนินการเสร็จภายในสัปดาห์ โอ้ววว ง่ายกว่าวีซ่า UK หรือเชงเก้น ที่ผ่านมาแบบที่อยู่ในระดับที่เราเรียกว่าง่ายมาก ... Timeline ของเราคือ
- พฤหัส 02/11/2017 >>> ถ่ายรูป กรอกใบสมัครออนไลน์ พิมพ์ใบชำระค่าธรรมเนียม
- ศุกร์ 03/11/2017 >>> จ่ายเงินที่ธนาคารกรุงศรีฯ รอ 1 วันทำการ (เสาร์อาทิตย์ไม่นับนะคะ)
- จันทร์ 06/11/2017 >>> นัดสัมภาษณ์ออนไลน์ พิมพ์ใบนัด (เลือกรอบแรก 7:00 โมงเช้า)
- พฤหัส 09/11/2017 >>> สัมภาษณ์ และได้วีซ่าแล้ว เย้!!!
หลังจากที่มาเก็บข้อมูลต่างๆ จากเพื่อนในพันทิปอยู่บ่อยๆ วันนี้เลยอยากจะมาสรุป Tips เล็กๆ น้อย ไว้เป็นข้อมูลให้เพื่อนๆ ท่านอื่นต่อไป
1. กรอกเอกสารเอง
ถึงแม้จะมีบริการรับจ้างกรอกเอกสารรวมถึงดำเนินการเอกสารต่างๆ แทนเรา แต่ก็แนะนำให้กรอกเอกสารด้วยตัวเองจะดีกว่าค่ะ เพราะการที่เรากรอกเอกสารเอง เราจะได้รู้ข้อมูลเพื่อใช้เตรียมตัวในการสัมภาษณ์ ซึ่งคำถามส่วนนึงก็มาจากข้อมูลที่เรากรอกนั่นเอง
สำหรับรายละเอียดการกรอกข้อมูลมีเพื่อนในพันทิปทำไว้ละเอียดมาก ตามนี้เลยค่ะ (https://pantip.com/topic/35021980)
2. รูปถ่าย
เราก็เคยได้ยินกันมาว่ารูปถ่ายต้องเห็นหู จริงๆ แล้วสิ่งที่สำคัญคือเห็นใบหน้าชัดเจนมากกว่าค่ะ ถ้าต้องขอวีซ่าแบบเร่งด่วนเลือกร้านที่มีบริการส่งรูปเข้าอีเมลให้เราได้เลย สะดวกและรวดเร็วกว่าเราเอารูปไปนั่งสแกนใหม่เอง (สำหรับเราใช้ร้านถ่ายรูปประจำที่ฟอร์จูน เนื่องจากราคาไม่แพง รอไม่นาน และเพิ่มเงินเพื่อให้เค้าส่งเข้าอีเมลได้เลย ประทับใจมากคือรูปสามารถโหลดจากอีเมลแล้วโหลดเข้าระบบไปใช้งานได้โดยไม่ต้องปรับแต่งใดๆ) … อ่อ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือรูปที่ใช้จะต้องไม่ซ้ำกับที่เคยรูปที่เคยได้วีซ่าอื่นๆ มาก่อน
3. ยื่นรอบแรก 7:00 โมงเช้า
แนะนำให้เลือกรอบสัมภาษณ์รอบแรก 7 โมงเช้า ยอมตื่นเช้าหน่อยแต่ไม่ต้องเสียเวลา เพราะบางทีคิวก่อนหน้าอาจจะมีความล่าช้าทำให้มีผลต่อรอบถัดไปๆ ข้อดีอีกอย่างสำหรับคนที่ไม่อยากเสียวันลาก็สามารถมาสัมภาษณ์รอบแรกแล้วไปทำงานต่อได้ ของเราสัมภาษณ์เสร็จตอน 7:23 ไปทำงานต่อได้สบายๆ เลย
4. ยืนยันตัวตนให้ได้
เมื่อมาถึงการสัมภาษณ์ แน่นอนเราจะทำอย่างไงให้คนสัมภาษณ์เชื่อว่าเราจะไปเที่ยวจริงๆ และพร้อมที่จะกลับไทย ไม่หนีหายเป็นโรบินฮู้ดที่โน้น สิ่งที่สำคัญก็คือ ข้อมูลที่เราได้กรอก Application ไว้ในข้อ 1 นั่นแหละ อย่างน้อยเราต้องสามารถให้ข้อมูลตามที่เราได้กรอกไว้ได้อย่างมั่นใจ การเตรียม Plan การท่องเที่ยวไว้ก่อนรวมทั้งเอกสารประกอบเช่น หนังสือรับรองการทำงาน บัญชีเงินฝาก หรือถ้ามีเอกสารประกอบอื่นที่คิดว่าสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นให้คนสัมภาษณ์ได้ก็เตรียมมาให้พร้อม กรณีของเราไม่ขอดูเอกสารเลยค่ะ แต่กรณีถ้าผู้สัมภาษณ์เรียกดูเราก็ต้องพร้อมเสมอค่ะ
คำถามของเราคำถามแรกคือ พูดภาษาอังกฤษได้ไหม เราตอบว่า พูดได้นิดหน่อย เพราะกลัวเค้าจะคาดหวังเราสูงไป แต่หลังจากนั้นเราก็ตอบเป็นภาษาอังกฤษแบบสั้นๆ ไม่เป็นประโยค คำถามอื่นๆ คือ
- ขอวีซ่าไปทำอะไร
- ไปนานแค่ไหน
- ทำงานอะไร ที่ไหน
- รูปแบบของงานทำอะไร
- เคยไปยุโรปไปทำอะไร
แล้วผู้สัมภาษณ์ก็พูดว่า Have a nice day ... เราคิดว่าใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที เร็วมากจนต้องถามว่าเสร็จแล้วหรอ >__<
5. แต่งตัวให้เรียบร้อยและยิ้มแย้มแจ่มใส
หรือที่เราเรียกว่า First Impression แน่นอนผู้สัมภาษณ์ไม่ได้รู้จักเรามาก่อน ดังนั้นการแต่งตัว ท่าทาง และการแสดงออกต่อหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคำทักทาย ปฏิกิริยาการตอบคำถาม ยิ้มสยามเข้าไว้ได้ใจแน่ๆ ค่ะ
6. ภาษาอังกฤษ
เพราะคำถามแรกที่ผู้สัมภาษณ์จะถามคือ พูดภาษาอังกฤษได้ไหม ถ้าเราสามารถตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษได้จะยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้สัมภาษณ์แน่นอน … แต่ถ้าไม่สามารถพูดได้ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะหากผู้สัมภาษณ์ฟังไม่เข้าใจจะเรียกล่ามมาช่วยแปล เรียกว่าถ้าพูดได้ก็จะได้เปรียบหน่อยนึง
7. วีซ่าเชงเก้นและอื่นๆ
กรณีถ้าเคยไปเที่ยวยุโรป คุณโชคดีแล้วค่ะ เพราะตั้งแต่ตรวจเอกสารและสัมภาษณ์กับคนไทยรอบแรก ก็จะมีพูดถึงวีซ่าเชงเก้นว่าเคยไปไหน รูปซ้ำกับของวีซ่าเชงเก้นหรือเปล่า และต่อไปในการสัมภาษณ์รอบสอง ผู้สัมภาษณ์ก็ยังถามถึงวีซ่าเชงเก้นอีกครั้ง
8. อุปกรณ์อิเลคทรอนิค, GPS และกระเป๋าใบใหญ่
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคต่างๆ ที่ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ รวมถึงนาฬิกาที่มี GPS , กระเป๋าเป้, กระเป๋าเดินทาง หรือกระเป๋าที่ใบใหญ่ ย้ำๆๆๆ อย่าเอาติดตัวมา ไม่เข่นนั้นต้องเสียเวลาเดินไปหาที่รับฝากที่ตลาดแถมต้องเสียเงินอีก (ดูรายละเอียดในบัตรนัดเพิ่มเติมค่ะ)
9. ปากกา จดเลขพัสดุ
สุดท้ายอย่าลืมปากกาสำหรับจดเลขที่พัสดุ เพื่อตรวจสอบสถานะของ Passport ที่ทางสถานทูตจะส่งคืนให้เรา ... เจ้าหน้าที่จะขีดเส้นให้เราว่าต้องจดเลขพัสดุเอาไว้เช็คออนไลน์ในเว็บค่ะ