สวัสดีค่ะทุกๆคน ชื่อ โบกี้ ค่ะ
(จริงๆชื่อ โบ ตอนเด็กในห้องมีโบหลายโบ ชอบกินสุกี้ เพื่อนเลยเรียก โบกี้)
ช่วงนี้ก็ค่อนข้างว่างค่ะ เสียงไม่มีไม่ได้ทำงาน เลยมีเวลามาแชร์เรื่องราวที่เคยพบเจอในชีวิต (บางส่วน)
จริงๆเข้าพันทิปบ่อย แต่อ่านอย่างเดียว ไม่มีแอคเคาท์ค่ะ
บอกไว้ก่อนค่ะว่าไม่ได้มาขายของ คลินิค ยา แต่มา ขายหน้าล้วนๆ ฮาๆ (ชอบเล่นมุกแป้กด้วย)
หัวกระทู้ มันตั้งแปลงร่าง ทั้งภายนอกและภายใน คงจะคิดว่าเป็นเพศที่3รึเปล่า?
ไม่ใช่นะคะ เป็นผู้หญิงธรรมดาๆนี่แหละค่ะ
เปลี่ยนแปลงภายนอก ก็หมายถึง สภาพ รูปลักษณ์ ซึ่งก็มีคนรีวิวเยอะมากๆแล้วเนอะ
เปลี่ยนแปลงภายใน ในที่นี้หมายถึง สภาพจิตใจค่ะ ความคิด การมองโลก การปฏิบัติตัว ประมาณนี้เนอะ
เรายังไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จอะไรค่ะ แค่อยากแชร์มุมมองชีวิต และ พัฒนาตัวเองให้มากขึ้นๆ

หน้าตาบ้านๆ
ปิดไว้ก่อน เขิลๆ
กระทู้มันอาจยาวหน่อยนะคะ แต่เชื่อว่ามันต้องมีประโยชน์สำหรับใครสักคนบ้าง
เราจะเล่าเกี่ยวกับชีวิต งานการ แนวคิด และรูปลักษณ์ ผสมๆกัน เป็นหลัก ไม่ลงเรื่องความรักเยอะนะคะ
เริ่มเลยดีกว่าเนอะ เดี๋ยวจะเบื่อกันหมด
เริ่มจากเด็กน้อยคนหนึ่ง น่ารัก สดใส มีความมั่นใจมาก ก็มีความสุขตามประสาเด็กๆ เป็นหัวโจกด้วยซ้ำ
กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ เป็นที่รัก ของครู และเพื่อนๆ

น่ารักเนอะ(หลงตัวเองนิดหนึ่ง) ตอนนั้นจำได้คราวๆว่ามีผู้ใหญ่ชอบมาเล่นด้วยเยอะค่ะ
และแล้วความเปลี่ยนแปลงก็มาเยือน ตอนป.1 นั่นคือ
การใส่แว่น !!!
สมัยนั้นการใส่แว่นมันเป็นอะไรที่แปลก ดูไม่ปกติ รึเปล่าก็ไม่แน่ใจค่ะ เพราะตัวเราก็คิดว่ามันปกติ ใส่แว่น เราก็คือตัวเรา
แต่เพื่อนๆและครู คงไม่ได้คิดแบบนั้น ช่วงแรกเราก็ยังร่าเริงปกติ แต่หลังจากพฤติกรรมของคนรอบข้างเปลี่ยน เราก็เปลี่ยน
-เพื่อนเริ่ม ไม่เล่นด้วย แล้วก็ยังโดนแกล้ง โดนเรียกว่า อีแว่น!!! ล้อเราสารพัด ตัวประหลาด
ในใจก็คิดนนะ แค่ใส่แว่นเนี่ย กรูเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรอ ต้องแกล้งกันขนาดนั้นเลยหรอ โดนหลายอย่างค่ะ
ทั้งหยิกที่มือ,ป้ายหมากฝรั่งใส่กระโปรงนักเรียน,เอาของไปซ่อน สารพัดสิ่งอย่างที่จะแกล้งได้ทำหมด
วิธีแก้ปัญหาของเราคือ เรานิ่งค่ะ โดยพื้นฐานเป็นคนไม่สู้คนอยู่แล้ว พ่อแม่บอกว่าอย่ารังแกคนอื่น เป็นสิ่งไม่ดี
แต่ไม่ได้สอนว่าถ้าถูกรังแกต้องทำยังไง? เราเลยนิ่ง หรือเราดูละครมากไปรึเปล่า นางเอกสมัยนั้นจะอ่อนแอ ไม่สู้คน ฮาๆๆ
เพื่อนหยิกก็ปล่อยให้หยิก พอมันปล่อยเราก็ยิ้มใส่มัน เอาหมากฝรั่งป้ายกระโปรงเรารู้นะ แต่ก็นิ่งไว้ ไม่สนใจ
ใครด่าพ่อแม่เรา เราก็ไม่สนใจค่ะ ช่างมันไม่รู้จะไปทะเลาะให้ได้อะไร มีรวมหัวกันเกลียดเราด้วยนะ ก็ไม่รู้ว่าเขาทำไปเพื่ออะไร
บอกว่าอย่าไปเล่นกับอีแว่นนะ ทั้งๆที่เราไม่ได้ไปทำไรให้สักอย่าง งงดีเหมือนกัน
บางคนสงสัยทำไมไม่ฟ้องครู ไม่รู้จะฟ้องทำไมค่ะ มันไม่ใช่เรื่องอะ “เพื่อนไม่เล่นกับหนูค่ะ” “เพื่อนแกล้งค่ะ” มันดูไร้สาระ
-มาถึงสิ่งที่มันเป็นปัญหาสำหรับเราจริงๆเลยคือ ครู และ ผู้ใหญ่ ที่ ปากไม่ดีทั้งหลายค่ะ
ครูอนุบาลเคยชม เคยคุยเล่นด้วย ขึ้นประถม ทำไมครูประถม ไม่คุย ไม่เล่น มองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเอาซะเลย
แถมยังโดนครูขยำกระดาษเป็นก้อนๆ ปาใส่ในห้องเรียน นั่นคือครั้งแรกที่ถูกลงโทษค่ะ เลยจำแม่น มาก
เราน่าจะง่วงนอนอะไรแบบนี้ค่ะ ถึงโดนปาใส่ เราก็งงๆหน่อย ทำไรผิดหว่า บอกกันดีๆไม่ได้หรอ ต้องปาของใส่เลยหรอ
(คือที่บ้านเราเค้าไม่นิยมการตี พ่อตีหนักสุดคือ ใช้หลอดตีเพราะเล่นแป้งอายุน่าจะ6ขวบ รู้เรื่องแล้วว่าแป้งไม่ใช่ของเล่น
ตีปุ๊บเค้าจะบอกว่าตีเพราะอะไร เราทำอะไรผิด เราก็เข้าใจไม่ทำอีก)
ประมาณ ป.3-4 มีกีฬาสีเราก็เข้ากองเชียร์ปกติ แต่มีวันหนึ่งครูที่ฝึกเชียร์บอกว่า
ยัยแว่นเนี่ยไม่ต้องเข้าเชียร์นะ ขึ้นไปอยู่กับ
พวกเด็กพิเศษบนห้อง ต่อหน้าเพื่อนทั้งชั้นค่ะคุณผู้โชม!!!!!! คิดว่าเด็กจะอับอายไหมคะ ทั้งๆที่เราเป็นเด็กปกติ
“
ในใจคิดว่า เห้ย!! กรุเด็กปกติ ไม่ใช่เด็กพิเศษ ทำไมๆๆๆ” นั่นแหละค่ะ การถูกทำให้อับอาย มันไม่ใช่เรื่องดีเลย
มีอีกหลายอย่างค่ะที่พวกครูๆทำ แล้ว
ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองด้อย ตัวเองผิด ตัวเองไม่ดี ไม่เก่ง เช่น เราทำข้อสอบเสร็จแล้ว
เพื่อนขอลอกค่ะ เราก็ให้นะ (ใจดีในทางที่ผิด) ก็ไอ้คนที่หยิกเราเมื่อก่อนแหละค่ะ กำลังยกให้มันดู ครูเดินเข้าห้องเห็นพอดี
แต่ดันบอกว่าเราจะลอกเพื่อน ทั้งๆที่เราทำเสร็จแล้วอะนะ “ ในใจคิด กรุโดนมองเป็นเด็กพิเศษ แล้วยังโง่ด้วยอีกหรอเนี่ย
คือหน้าตากรุมันบอกความโง่ จนต้องลอกเพื่อนเลยใช่ป่ะ” อีกหลายเรื่องค่ะ เล่าไม่หมดหรอกเดี๋ยวจะยาวกว่านี้
ที่โรงเรียนเราจะเป็นคนนิ่งๆเงียบๆ ไม่กล้าแสดงออก กลัวการพูดหน้าชั้น เพื่อนน้อย จะคุยเฉพาะคนที่สนิท
เราเป็นมาตั้งแต่ตอนนั้น คือไม่สนใจโลก กลายเป็นคนนิ่งๆ เรียน กลับบ้าน เพื่อนจริงๆไม่มี มีแต่เพื่อนร่วมห้อง ที่คุยได้ 2-3คน
และเพื่อนข้างบ้านที่เล่นกับเรา 2-3คน
อยู่ที่บ้านเราก็ร่าเริงเป็นปกติ พูดมากด้วยค่ะ เพราะพ่อแม่ไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นเด็กพิเศษเลย
เรื่องพวกนี้ แม่ไม่เคยรู้ค่ะ มีแต่พ่อที่คอยถามว่าที่โรงเรียนเป็นไงบ้าง เราก็เล่านะ แต่เล่าไม่หมด
ที่เล่าคือไม่ได้โกรธแค้นอะไรใครนะคะ อดีตก็คืออดีต กลับไปแก้ไขไม่ได้เนอะ

พอ
ขึ้น ม.1 เราก็ใส่คอนแทคเลนส์ค่ะ รูปน้อยมาก หาไม่ได้ช่วงนั้นยังไม่มีกล้องมือถือค่ะ
พอ
ใส่คอนแทคเลนส์ก็มั่นใจขึ้น ก็มีเพื่อนเยอะขึ้น เป็นช่วงที่มีความมั่นใจมาก จนบางทีมันก็ดูล้นๆ เหมือนคนบ้า
แต่นั้นก็คือตัวเราที่แท้ทรู มีความสุขกับชีวิตดีค่ะ เห็นเป็นคนร่าเริงสนุกสนาน มั่นใจ แต่ก็ยังติดขี้อาย ขี้กลัว กลัวคนไม่ชอบค่ะ
ความมั่นใจมากเกินไปก็ทำให้คนหมั่นไส้เรา มีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเราก็ฝังใจนะ
คือว่า ครูให้แสดงละคร เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลค่ะ
แล้วเราเล่นเป็นคนเจ็บ เราก็แสดงเจ็บจริง แสดงแบบจัดเต็ม เล่นใหญ่ !!!
พอแสดงจบเพื่อน กลุ่มหนึ่ง พูดขึ่นมาว่า หมั่นไส้ว่ะ จะสมจริงอะไรขนาดนั้น คือเขาพูดลอยๆนะคะ
เราดันหูดี ได้ยินเอง แล้วเขาก็มองๆมาแบบหางตาอะคะ
เราก็งงว่า เราทำอะไรผิดหรอ เราแสดงไม่ดีหรอ เพื่อนก็เลยมาบอก แกแสดงดีเกินไป ฮาๆๆ
แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก เราก็ร่าเริง ใช้ชีวิตของเราไปเรื่อยๆ ใครไม่ชอบเราเราห้ามไม่ได้อยู่แล้วเนอะ
แต่ก็ยังอายเวลา รายงานหน้าชั้น ปากจะสั่น หัวจะลืมทุกสิ่งที่เตรียมมา เพราะกลัวทำออกมาไม่ดี และคิดว่าเราได้ไม่ดีเท่าคนอื่น
ครูไม่ชอบเราหรอก เพื่อนๆก็ไม่ชอบเรา ที่คิดแบบนั้นก็เพราะเราอยู่กับสภาพแวดล้อมแบบนั้นตลอดช่วงประถมค่ะ
มีครั้งหนึ่ง ช่วงม.ต้น เพื่อนจะมีแฟน แต่เรารู้ว่าไอ้คนที่มันจะคบมีแฟนแล้ว
เราก็ไปบอกมันตรงๆ ว่า มันทำไม่ถูกนะ แบบนี้มันไม่ดี เพื่อนๆเป็นห่วง อย่าไปคบเลย ไม่ดีหรอก แต่ไม่ด่านะ
เพื่อนก็ร้องไห้เลยจ้า อีนี่ก็ไม่หยุด บ่นๆๆๆ จนเพื่อนอีกคน บอก พอเถอะแก ชีวิตมันปล่อยมันไป
ช่วงกลางๆมัธยมก็เริ่มอยากทำงาน ก็มีไปเป็นดีเจฝึกหัดที่คลื่นวิทยุท้องถิ่น ไป ทำงานโรงแรมจัดเลี้ยง ล้าง

แบบนี้
งานดีเจคือชอบค่ะ อยากทำงานเกี่ยวกับการพูด ส่วนงานจัดเลี้ยงคือได้เงินเลยทำ สมัยนั้นได้วันละ 100เองค่ะ
มาถึงช่วงจบม.ปลาย
ก็ทำงานค่ะ เรียนด้วยทำงานด้วย ชีวิตไม่ได้ลำบากถึงขั้นอดข้าวอดน้ำนะ ไม่ดราม่าขนาดนั้น
ทำงานอีเว้นท์วันละ 500 บาท งานหนัก แต่ก็ต้องทำ ตากแดดขายซิมบ้าง ไรบ้าง ไม่ได้มีงานทุกวันนะคะ

หน้าตามันก็จะเหียกๆหน่อย บอกแล้วคิดลบกับตัวเองจริงๆ ไม่อยากเป็นคนหลงตัวเองอะ
เรียนด้วยทำงานด้วย ช่วงนี้มี Facebook ละนะ ฮาๆๆ เดาอายุกันได้เลยนะเนี่ย
ช่วงนี้มีแฟนและทำงาน เรื่องปกติ ช่วยกันทำมาหากิน
ทำงานก็สังคม ba pc ค่ะ มีนินทา อิจฉา
หน้าตาเราคงอ่อนแอ ดูรังแกง่ายดี เอาเปรียบง่ายดี มั้งคะ และอย่างที่บอก เรานิ่งค่ะ
บริษัทจ้างเรามาขายทำยอด เราก็ขายๆ แล้วดันขายได้เยอะ
โดนเขม่นอีก กลายเป็นไม่เข้าพวกอีก ขายเยอะ อิ ดวก!!
บางเรื่องก็เข้าใจเราผิดเอง แล้วอินี่ก็ ไม่อยากอธิบายด้วย ช่างมันค่ะ ปล่อยผ่าน
จ้างมาขาย กรุก็ขาย จบ !
โดนทั้ง
เอารองเท้าไปซ่อน บอกว่าเราคุยกับลูกค้าผิดโปร ทั้งๆที่เรายังไม่ได้คุยไรเลย
เอาเทสเตอร์เราไปซ่อน
รวมหัวกันเกลียดเรา เหมือนสมัยเด็กๆเป๊ะเลย และอีกหลายๆอย่าง
เสียใจด้วยจ้า !!! เรามีภูมิต้านทานมาแล้ว ฮาๆ เราก็คิดแค่ว่า ทำงานให้จบ ก็แยกย้าย ไม่ได้มีผลต่อชีวิตเรา
ตอนแรกก็คิดมากค่ะ แต่เราไม่โกรธแค้นอะไรหรอก มันไม่มีประโยชน์อะ ปล่อยผ่าน
มีแฟนก็เป็นช่วงที่เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเอาแต่ใจ งี่เง่ามาก พูดจาไม่คิด ใช้เงินเปลือง
จนทะเลาะกันแรงๆหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายอะไรเรานะคะ ก็คบกันมาเรื่อยๆ เป็นคนที่ขยันดีค่ะ
(เดี๋ยวจะเล่าตอนท้ายๆนะคะ ว่าเราปรับตัวยังไง เราเปลี่ยนได้ยังไง)
ก่อนจะไปทำงานประจำ มีการรับสมัครนักพากย์ของช่อง ช่องหนึ่ง ตอนนั้นเราอยากไปสมัครค่ะ
อยากทำมาก เพราะเราชอบดูการ์ตูน ดูซีรีย์ต่างประเทศบ้าง คือชอบที่จะทำเสียงหลายๆแบบ
แล้วมันตรงกับวันสมัครงาน สัมภาษณ์งานพอดี ก็เลยอดไป และเราก็กลัวไม่ได้ เพราะเราไม่มีพื้นฐาน
แล้วเราก็ได้ไปทำงานประจำค่ะ เป็นประจำที่ต้องใช้หน้าตาด้วยสิ

ดูดีใช่ไหมคะ นี่คือช่วงแรกค่ะ เพราะงานประจำช่วงแรกต้องใช้หน้าตา สวยก็จริงค่ะ
แต่!!! ไม่มีความมั่นใจเลย ขี้เขิน ขี้อาย ใจเราอยากทำนู้นนี่นั่นนะคะ แต่ร่างกายมันเขิน มันเป็นของมันเอง
พูดหน้ากล้องปากสั่น ลืมสคริป แค่ทำท่าทางหน้ากล้อง ยังดูเกร็งๆ คนอื่นเขาก็ทำงานยาก
สังคมที่นี่ดีหน่อยค่ะ สังคมผู้ใหญ่ใช้สมองทำงานมากกว่าการนินทา ถึงจะมีบ้างแต่ก็ไม่เกี่ยวกับเรา ฮาๆ
ไม่มีแบบกลั่นแกล้ง ไร้สาระ ใช้งานเป็นตัววัดผลงาน
มาทำงานออฟฟิศ เราจะทำตัวป็นอากาศค่ะ ไม่มีตัวตน เพราะเรากลัวการมีตัวตนจะทำให้คนอื่นเกลียด
ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆ จะมีตัวตนในแง่ดี(แบบตอนทำยอดขายอะค่ะ) หรือ ถูกมองแง่ลบ(ตอนใส่แว่น)
คนก็เกลียดเราอยู่ดี เราไม่เคยได้เหตุผลจากคนที่เกลียดเราเลยนะ งั้นขออยู่แบบไร้ตัวตนดีกว่า น่าจะสบายใจ
กระทู้แปลงร่าง ทั้งภายนอก และภายใน จากเด็กที่ถูกมองว่าเอ๋อ..ทุกคำดูถูกทำให้มีวันนี้
(จริงๆชื่อ โบ ตอนเด็กในห้องมีโบหลายโบ ชอบกินสุกี้ เพื่อนเลยเรียก โบกี้)
ช่วงนี้ก็ค่อนข้างว่างค่ะ เสียงไม่มีไม่ได้ทำงาน เลยมีเวลามาแชร์เรื่องราวที่เคยพบเจอในชีวิต (บางส่วน)
จริงๆเข้าพันทิปบ่อย แต่อ่านอย่างเดียว ไม่มีแอคเคาท์ค่ะ
บอกไว้ก่อนค่ะว่าไม่ได้มาขายของ คลินิค ยา แต่มา ขายหน้าล้วนๆ ฮาๆ (ชอบเล่นมุกแป้กด้วย)
หัวกระทู้ มันตั้งแปลงร่าง ทั้งภายนอกและภายใน คงจะคิดว่าเป็นเพศที่3รึเปล่า?
ไม่ใช่นะคะ เป็นผู้หญิงธรรมดาๆนี่แหละค่ะ
เปลี่ยนแปลงภายนอก ก็หมายถึง สภาพ รูปลักษณ์ ซึ่งก็มีคนรีวิวเยอะมากๆแล้วเนอะ
เปลี่ยนแปลงภายใน ในที่นี้หมายถึง สภาพจิตใจค่ะ ความคิด การมองโลก การปฏิบัติตัว ประมาณนี้เนอะ
เรายังไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จอะไรค่ะ แค่อยากแชร์มุมมองชีวิต และ พัฒนาตัวเองให้มากขึ้นๆ
ปิดไว้ก่อน เขิลๆ
กระทู้มันอาจยาวหน่อยนะคะ แต่เชื่อว่ามันต้องมีประโยชน์สำหรับใครสักคนบ้าง
เราจะเล่าเกี่ยวกับชีวิต งานการ แนวคิด และรูปลักษณ์ ผสมๆกัน เป็นหลัก ไม่ลงเรื่องความรักเยอะนะคะ
เริ่มเลยดีกว่าเนอะ เดี๋ยวจะเบื่อกันหมด
เริ่มจากเด็กน้อยคนหนึ่ง น่ารัก สดใส มีความมั่นใจมาก ก็มีความสุขตามประสาเด็กๆ เป็นหัวโจกด้วยซ้ำ
กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ เป็นที่รัก ของครู และเพื่อนๆ
น่ารักเนอะ(หลงตัวเองนิดหนึ่ง) ตอนนั้นจำได้คราวๆว่ามีผู้ใหญ่ชอบมาเล่นด้วยเยอะค่ะ
และแล้วความเปลี่ยนแปลงก็มาเยือน ตอนป.1 นั่นคือ การใส่แว่น !!!
สมัยนั้นการใส่แว่นมันเป็นอะไรที่แปลก ดูไม่ปกติ รึเปล่าก็ไม่แน่ใจค่ะ เพราะตัวเราก็คิดว่ามันปกติ ใส่แว่น เราก็คือตัวเรา
แต่เพื่อนๆและครู คงไม่ได้คิดแบบนั้น ช่วงแรกเราก็ยังร่าเริงปกติ แต่หลังจากพฤติกรรมของคนรอบข้างเปลี่ยน เราก็เปลี่ยน
-เพื่อนเริ่ม ไม่เล่นด้วย แล้วก็ยังโดนแกล้ง โดนเรียกว่า อีแว่น!!! ล้อเราสารพัด ตัวประหลาด
ในใจก็คิดนนะ แค่ใส่แว่นเนี่ย กรูเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรอ ต้องแกล้งกันขนาดนั้นเลยหรอ โดนหลายอย่างค่ะ
ทั้งหยิกที่มือ,ป้ายหมากฝรั่งใส่กระโปรงนักเรียน,เอาของไปซ่อน สารพัดสิ่งอย่างที่จะแกล้งได้ทำหมด
วิธีแก้ปัญหาของเราคือ เรานิ่งค่ะ โดยพื้นฐานเป็นคนไม่สู้คนอยู่แล้ว พ่อแม่บอกว่าอย่ารังแกคนอื่น เป็นสิ่งไม่ดี
แต่ไม่ได้สอนว่าถ้าถูกรังแกต้องทำยังไง? เราเลยนิ่ง หรือเราดูละครมากไปรึเปล่า นางเอกสมัยนั้นจะอ่อนแอ ไม่สู้คน ฮาๆๆ
เพื่อนหยิกก็ปล่อยให้หยิก พอมันปล่อยเราก็ยิ้มใส่มัน เอาหมากฝรั่งป้ายกระโปรงเรารู้นะ แต่ก็นิ่งไว้ ไม่สนใจ
ใครด่าพ่อแม่เรา เราก็ไม่สนใจค่ะ ช่างมันไม่รู้จะไปทะเลาะให้ได้อะไร มีรวมหัวกันเกลียดเราด้วยนะ ก็ไม่รู้ว่าเขาทำไปเพื่ออะไร
บอกว่าอย่าไปเล่นกับอีแว่นนะ ทั้งๆที่เราไม่ได้ไปทำไรให้สักอย่าง งงดีเหมือนกัน
บางคนสงสัยทำไมไม่ฟ้องครู ไม่รู้จะฟ้องทำไมค่ะ มันไม่ใช่เรื่องอะ “เพื่อนไม่เล่นกับหนูค่ะ” “เพื่อนแกล้งค่ะ” มันดูไร้สาระ
-มาถึงสิ่งที่มันเป็นปัญหาสำหรับเราจริงๆเลยคือ ครู และ ผู้ใหญ่ ที่ ปากไม่ดีทั้งหลายค่ะ
ครูอนุบาลเคยชม เคยคุยเล่นด้วย ขึ้นประถม ทำไมครูประถม ไม่คุย ไม่เล่น มองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเอาซะเลย
แถมยังโดนครูขยำกระดาษเป็นก้อนๆ ปาใส่ในห้องเรียน นั่นคือครั้งแรกที่ถูกลงโทษค่ะ เลยจำแม่น มาก
เราน่าจะง่วงนอนอะไรแบบนี้ค่ะ ถึงโดนปาใส่ เราก็งงๆหน่อย ทำไรผิดหว่า บอกกันดีๆไม่ได้หรอ ต้องปาของใส่เลยหรอ
(คือที่บ้านเราเค้าไม่นิยมการตี พ่อตีหนักสุดคือ ใช้หลอดตีเพราะเล่นแป้งอายุน่าจะ6ขวบ รู้เรื่องแล้วว่าแป้งไม่ใช่ของเล่น
ตีปุ๊บเค้าจะบอกว่าตีเพราะอะไร เราทำอะไรผิด เราก็เข้าใจไม่ทำอีก)
ประมาณ ป.3-4 มีกีฬาสีเราก็เข้ากองเชียร์ปกติ แต่มีวันหนึ่งครูที่ฝึกเชียร์บอกว่า ยัยแว่นเนี่ยไม่ต้องเข้าเชียร์นะ ขึ้นไปอยู่กับ
พวกเด็กพิเศษบนห้อง ต่อหน้าเพื่อนทั้งชั้นค่ะคุณผู้โชม!!!!!! คิดว่าเด็กจะอับอายไหมคะ ทั้งๆที่เราเป็นเด็กปกติ
“ในใจคิดว่า เห้ย!! กรุเด็กปกติ ไม่ใช่เด็กพิเศษ ทำไมๆๆๆ” นั่นแหละค่ะ การถูกทำให้อับอาย มันไม่ใช่เรื่องดีเลย
มีอีกหลายอย่างค่ะที่พวกครูๆทำ แล้วทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองด้อย ตัวเองผิด ตัวเองไม่ดี ไม่เก่ง เช่น เราทำข้อสอบเสร็จแล้ว
เพื่อนขอลอกค่ะ เราก็ให้นะ (ใจดีในทางที่ผิด) ก็ไอ้คนที่หยิกเราเมื่อก่อนแหละค่ะ กำลังยกให้มันดู ครูเดินเข้าห้องเห็นพอดี
แต่ดันบอกว่าเราจะลอกเพื่อน ทั้งๆที่เราทำเสร็จแล้วอะนะ “ ในใจคิด กรุโดนมองเป็นเด็กพิเศษ แล้วยังโง่ด้วยอีกหรอเนี่ย
คือหน้าตากรุมันบอกความโง่ จนต้องลอกเพื่อนเลยใช่ป่ะ” อีกหลายเรื่องค่ะ เล่าไม่หมดหรอกเดี๋ยวจะยาวกว่านี้
ที่โรงเรียนเราจะเป็นคนนิ่งๆเงียบๆ ไม่กล้าแสดงออก กลัวการพูดหน้าชั้น เพื่อนน้อย จะคุยเฉพาะคนที่สนิท
เราเป็นมาตั้งแต่ตอนนั้น คือไม่สนใจโลก กลายเป็นคนนิ่งๆ เรียน กลับบ้าน เพื่อนจริงๆไม่มี มีแต่เพื่อนร่วมห้อง ที่คุยได้ 2-3คน
และเพื่อนข้างบ้านที่เล่นกับเรา 2-3คน
อยู่ที่บ้านเราก็ร่าเริงเป็นปกติ พูดมากด้วยค่ะ เพราะพ่อแม่ไม่เคยทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นเด็กพิเศษเลย
เรื่องพวกนี้ แม่ไม่เคยรู้ค่ะ มีแต่พ่อที่คอยถามว่าที่โรงเรียนเป็นไงบ้าง เราก็เล่านะ แต่เล่าไม่หมด
ที่เล่าคือไม่ได้โกรธแค้นอะไรใครนะคะ อดีตก็คืออดีต กลับไปแก้ไขไม่ได้เนอะ
พอขึ้น ม.1 เราก็ใส่คอนแทคเลนส์ค่ะ รูปน้อยมาก หาไม่ได้ช่วงนั้นยังไม่มีกล้องมือถือค่ะ
พอใส่คอนแทคเลนส์ก็มั่นใจขึ้น ก็มีเพื่อนเยอะขึ้น เป็นช่วงที่มีความมั่นใจมาก จนบางทีมันก็ดูล้นๆ เหมือนคนบ้า
แต่นั้นก็คือตัวเราที่แท้ทรู มีความสุขกับชีวิตดีค่ะ เห็นเป็นคนร่าเริงสนุกสนาน มั่นใจ แต่ก็ยังติดขี้อาย ขี้กลัว กลัวคนไม่ชอบค่ะ
ความมั่นใจมากเกินไปก็ทำให้คนหมั่นไส้เรา มีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเราก็ฝังใจนะ
คือว่า ครูให้แสดงละคร เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลค่ะ
แล้วเราเล่นเป็นคนเจ็บ เราก็แสดงเจ็บจริง แสดงแบบจัดเต็ม เล่นใหญ่ !!!
พอแสดงจบเพื่อน กลุ่มหนึ่ง พูดขึ่นมาว่า หมั่นไส้ว่ะ จะสมจริงอะไรขนาดนั้น คือเขาพูดลอยๆนะคะ
เราดันหูดี ได้ยินเอง แล้วเขาก็มองๆมาแบบหางตาอะคะ
เราก็งงว่า เราทำอะไรผิดหรอ เราแสดงไม่ดีหรอ เพื่อนก็เลยมาบอก แกแสดงดีเกินไป ฮาๆๆ
แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก เราก็ร่าเริง ใช้ชีวิตของเราไปเรื่อยๆ ใครไม่ชอบเราเราห้ามไม่ได้อยู่แล้วเนอะ
แต่ก็ยังอายเวลา รายงานหน้าชั้น ปากจะสั่น หัวจะลืมทุกสิ่งที่เตรียมมา เพราะกลัวทำออกมาไม่ดี และคิดว่าเราได้ไม่ดีเท่าคนอื่น
ครูไม่ชอบเราหรอก เพื่อนๆก็ไม่ชอบเรา ที่คิดแบบนั้นก็เพราะเราอยู่กับสภาพแวดล้อมแบบนั้นตลอดช่วงประถมค่ะ
มีครั้งหนึ่ง ช่วงม.ต้น เพื่อนจะมีแฟน แต่เรารู้ว่าไอ้คนที่มันจะคบมีแฟนแล้ว
เราก็ไปบอกมันตรงๆ ว่า มันทำไม่ถูกนะ แบบนี้มันไม่ดี เพื่อนๆเป็นห่วง อย่าไปคบเลย ไม่ดีหรอก แต่ไม่ด่านะ
เพื่อนก็ร้องไห้เลยจ้า อีนี่ก็ไม่หยุด บ่นๆๆๆ จนเพื่อนอีกคน บอก พอเถอะแก ชีวิตมันปล่อยมันไป
ช่วงกลางๆมัธยมก็เริ่มอยากทำงาน ก็มีไปเป็นดีเจฝึกหัดที่คลื่นวิทยุท้องถิ่น ไป ทำงานโรงแรมจัดเลี้ยง ล้าง
งานดีเจคือชอบค่ะ อยากทำงานเกี่ยวกับการพูด ส่วนงานจัดเลี้ยงคือได้เงินเลยทำ สมัยนั้นได้วันละ 100เองค่ะ
มาถึงช่วงจบม.ปลาย
ก็ทำงานค่ะ เรียนด้วยทำงานด้วย ชีวิตไม่ได้ลำบากถึงขั้นอดข้าวอดน้ำนะ ไม่ดราม่าขนาดนั้น
ทำงานอีเว้นท์วันละ 500 บาท งานหนัก แต่ก็ต้องทำ ตากแดดขายซิมบ้าง ไรบ้าง ไม่ได้มีงานทุกวันนะคะ
หน้าตามันก็จะเหียกๆหน่อย บอกแล้วคิดลบกับตัวเองจริงๆ ไม่อยากเป็นคนหลงตัวเองอะ
เรียนด้วยทำงานด้วย ช่วงนี้มี Facebook ละนะ ฮาๆๆ เดาอายุกันได้เลยนะเนี่ย
ช่วงนี้มีแฟนและทำงาน เรื่องปกติ ช่วยกันทำมาหากิน
ทำงานก็สังคม ba pc ค่ะ มีนินทา อิจฉา หน้าตาเราคงอ่อนแอ ดูรังแกง่ายดี เอาเปรียบง่ายดี มั้งคะ และอย่างที่บอก เรานิ่งค่ะ
บริษัทจ้างเรามาขายทำยอด เราก็ขายๆ แล้วดันขายได้เยอะ โดนเขม่นอีก กลายเป็นไม่เข้าพวกอีก ขายเยอะ อิ ดวก!!
บางเรื่องก็เข้าใจเราผิดเอง แล้วอินี่ก็ ไม่อยากอธิบายด้วย ช่างมันค่ะ ปล่อยผ่าน จ้างมาขาย กรุก็ขาย จบ !
โดนทั้ง เอารองเท้าไปซ่อน บอกว่าเราคุยกับลูกค้าผิดโปร ทั้งๆที่เรายังไม่ได้คุยไรเลย เอาเทสเตอร์เราไปซ่อน
รวมหัวกันเกลียดเรา เหมือนสมัยเด็กๆเป๊ะเลย และอีกหลายๆอย่าง
เสียใจด้วยจ้า !!! เรามีภูมิต้านทานมาแล้ว ฮาๆ เราก็คิดแค่ว่า ทำงานให้จบ ก็แยกย้าย ไม่ได้มีผลต่อชีวิตเรา
ตอนแรกก็คิดมากค่ะ แต่เราไม่โกรธแค้นอะไรหรอก มันไม่มีประโยชน์อะ ปล่อยผ่าน
มีแฟนก็เป็นช่วงที่เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเอาแต่ใจ งี่เง่ามาก พูดจาไม่คิด ใช้เงินเปลือง
จนทะเลาะกันแรงๆหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายอะไรเรานะคะ ก็คบกันมาเรื่อยๆ เป็นคนที่ขยันดีค่ะ
(เดี๋ยวจะเล่าตอนท้ายๆนะคะ ว่าเราปรับตัวยังไง เราเปลี่ยนได้ยังไง)
ก่อนจะไปทำงานประจำ มีการรับสมัครนักพากย์ของช่อง ช่องหนึ่ง ตอนนั้นเราอยากไปสมัครค่ะ
อยากทำมาก เพราะเราชอบดูการ์ตูน ดูซีรีย์ต่างประเทศบ้าง คือชอบที่จะทำเสียงหลายๆแบบ
แล้วมันตรงกับวันสมัครงาน สัมภาษณ์งานพอดี ก็เลยอดไป และเราก็กลัวไม่ได้ เพราะเราไม่มีพื้นฐาน
แล้วเราก็ได้ไปทำงานประจำค่ะ เป็นประจำที่ต้องใช้หน้าตาด้วยสิ
ดูดีใช่ไหมคะ นี่คือช่วงแรกค่ะ เพราะงานประจำช่วงแรกต้องใช้หน้าตา สวยก็จริงค่ะ
แต่!!! ไม่มีความมั่นใจเลย ขี้เขิน ขี้อาย ใจเราอยากทำนู้นนี่นั่นนะคะ แต่ร่างกายมันเขิน มันเป็นของมันเอง
พูดหน้ากล้องปากสั่น ลืมสคริป แค่ทำท่าทางหน้ากล้อง ยังดูเกร็งๆ คนอื่นเขาก็ทำงานยาก
สังคมที่นี่ดีหน่อยค่ะ สังคมผู้ใหญ่ใช้สมองทำงานมากกว่าการนินทา ถึงจะมีบ้างแต่ก็ไม่เกี่ยวกับเรา ฮาๆ
ไม่มีแบบกลั่นแกล้ง ไร้สาระ ใช้งานเป็นตัววัดผลงาน
มาทำงานออฟฟิศ เราจะทำตัวป็นอากาศค่ะ ไม่มีตัวตน เพราะเรากลัวการมีตัวตนจะทำให้คนอื่นเกลียด
ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆ จะมีตัวตนในแง่ดี(แบบตอนทำยอดขายอะค่ะ) หรือ ถูกมองแง่ลบ(ตอนใส่แว่น)
คนก็เกลียดเราอยู่ดี เราไม่เคยได้เหตุผลจากคนที่เกลียดเราเลยนะ งั้นขออยู่แบบไร้ตัวตนดีกว่า น่าจะสบายใจ