ประมาณปี 53 ช่วงเดือน มีนาคม ผมได้บวชที่วัดแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดลำพูน เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามมาก อยู่ใกล้ๆ เทศบาลเมืองลำพูน การบวชก็ผ่านไปด้วยดี ก็ทำกิจวัตรของสงฆ์ตามปรกติครับ แต่อยู่ไปก็เริ่มเบื่อเลยเอาพระไตรปิฏกในตู้มาอ่าน ก็ได้รู้อะไรหลายๆ อย่างเช่นประวัติที่มาของมนุษย์ กับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ กับพระชาติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ก็สนุกดีครับ หลังจากนั้นประมาณต้นเดือนเมษายน หลวงพี่ดี (ชื่อ ดี) ลงดอยจากอ.กัลยานิวัฒนา พาเด็กมาบวชเณรฤดูร้อน วันที่ผมจำวัด คุยด้วยก็ถูกคอ หลวงพี่ดี เลยวนผมไปอยู่ที่สำนักสงฆ์ที่เค้ามา ผมก็เลยตามไปครับ
จากลำพูน มีโยมอาสาไปส่งที่ท่ารถสองแถว จังหวัดเชียงใหม่ นั่งรถสองแถวสีเหลืองไปประมาณ 10 โมง และขึ้นรถก็ได้เจอกับหลวงพี่นุ พระใหม่ที่บวชที่เชียงใหม่และจะขึ้นไปรับบาตรโยมพ่อแม่ที่บ้าน ก็เลยร่วมเดินทางไปด้วยกัน รถก็แล่นไปเรื่อยๆ ขึ้นดอยไปเรื่อยๆ แล้วก็แวะพักที่อำเภอสะเมิง ก็ฉันเพลที่นั่น แล้วก็นั่งต่อไป ทีนี้เจอทางลูกรัง ป้ายบอกว่าอีก 50 กม. โหย.....โชคดีที่เป็นพระ เราเลยได้นั่ง เพราะคนที่นั่งมีแต่เด็กกับผู้หญิง ส่วนผู้ชาย ไปนั่งบนหลังคารถกันหมด ก็ลุยทางลูกรังไปเรื่อยๆ ฝุ่นสีส้มตลบ อบอวนไปตลอดทาง จนมาถึงที่ลงรถ กลางอำเภอกัลยานิวัฒนา ประมาณ 16.30 น. แล้วเดินจากปากทางไปที่สำนักสงฆ์อีก ไปถึงก็ประมาณ 5 โมงเย็น
หลวงพี่ดีแนะนำให้เข้าไปกราบพระอาจารย์กนก เราก็เข้าไปกราบท่านเป็นพระตัวสูงใหญ่ พูดเก่ง พอจะทราบจากหลวงพี่ดีมาว่า ท่านเคยเป็นหมอมาก่อน หลังจากกราบเสร็จก็ขึ้นไปเอาผ้าห่ม เพื่อไปนอนที่กุฏิ ริมอ่างเก็บน้ำ ที่นั่นไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา กลางคืนก็จุดเทียน น้ำก็ต้องไปตักจากบ่อมาต้มกิน น้ำที่อาบก็ไปตักจากอ่างเก็บน้ำหน้าศาลา ซึ่งผมก็เพิ่งเคยเห็นปลาคาบสีฟ้า ฝูงใหญ่ ตัวใหญ่มา หลังจากสงฆ์น้ำเสร็จ สวดมนต์เย็น เสร็จก็จำวัดครับ อากาศที่นี่หนาวมาก ทั้งที่เป็นเดือนเมษายน หนาวแบบฤดูหนาวดีดี นี่เอง
ตื่นมาตี 4 หลวงพี่ดีมาปลุกครับ เพื่อไปบิณฑบาตร แล้วก็พาไปกราบพระอาจารย์อ๊อด มองดูแล้วผมนึกว่าท่านเป็นพระสายจีน ซะอีก จากนั้นเราก็ไปบิณฑบาตรครับ ทางเดินป่าใส่รองเท้าเดินไป พอถึงหมู่บ้านก็ถอดรองเท้าไว้ข้างทาง ทางก็ลูกรังครับหินเยอะมาก เดินไปย่อๆ เจ็บฝาเท้ามากๆ ผมก็ถามพระอาจารย์อ๊อดนะครับว่าท่านเจ็บเท้าไหม ท่านก็บอกว่าเจ็บ แต่ดูท่านเดินแล้ว เดินแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะบอกว่าข้าวที่ชาวบ้านเอามาใส่บาตร เป็นขาวดอย หอมมากๆ (มีโอกาสจะหาซื้อมาอีกครับ) ชาวบ้านส่วนใหญ่จะใส่แต่ข้าว กับข้าวก็จะมาบ้างแต่ไม่มาก หลังจากนั้นก็หลับมาที่สำนักสงฆ์ ช่วยหลวงพี่ดีจัดเตรียมอาหาร จัดสถานที่ กว่าจะได้ฉันเช้า + เพลน ก็ประมาณ 10.30 น.ครับ ที่นี่เค้าฉันกันมือเดียว
พอช่วงบ่ายๆ ไม่มีอะไรทำ กับบรรยากาศน่าจำวัดมาก ก็หลับครับ นอนแบบเหมือนเหนื่อยจากไหนมา จากนั้นก็สลึมสลือ กึ่งๆ ฝัน ว่ามีผู้หญิงสวมสไบ กำลังขย่มผมอยู่ บอกตรงๆ ว่าระหว่างบวชเค้าไม่ให้ช่วยตัวเอง ผมก็ไม่เคยช่วยตัวเองครับ แต่ตอนนั้นมันไม่ไหวจริงๆ มันเสียวมาก น้ำเดินพุ่งกระจุยกระจายเลอะจีวรหมดเลยครับ พอตื่นขึ้นมาก หลวงพี่นุก็มาเรียก บอกว่าจะมาพักด้วย เย็นวันนั้นเลยพาไปหาพระอาจารย์กนก และพระอาจารย์อ๊อดครับ ตอนเย็นพระอาจารย์กนก เอาช๊อกโกแลต 100% ให้กิน ความรู้สึกแบบว่า......อึม....เออ....มันขมมากๆ แบบว่าไม่เคยกินอะไรขมได้ขนาดนี้ครับ ท่านบอกว่าเป็นเนยเหลว และเป็นยา หลังจากนั้นก็ทำวัตรเย็น ผมก็หัดเดินจงกรม หายใจแบบที่พระอาจารย์สอนคือให้ตามลมจาก สมูก คอ ท้อง แล้วก็หายใจออก จากท้อง คอ จมูกครับ ระหว่างเดินจงกรมตอนกลางคืนมีพระอาจารย์กนกเฝ้าอยู่ ผมรู้สึกปวดหลังแบบแปรด ปรี๊ด ขึ้นมาจนเดินไม่ไหวเลยนั่งลงครับ พระอาจารย์กนกเรียกให้ไปหาแล้วเอามือจิ้มที่หลังบอกว่าปวดตรวนี้ใช่ไหม ประมาณ 3 จุด ผมก็บอกว่าใช่ทุกจุดครับ หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็มนต์น้ำมนต์ให้ดื่มแล้วล้างหน้า รู้สึกขนลูก แบบแรงๆ ขึ้นทันทีตอนล้างหน้าครับ พระอาจารย์บอกว่าแฟนเก่าผมทำเสน่ห์ แต่ของมันยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย หลังจากพรุ่งนี้ดื่มน้ำมนต์แล้วหน้าหน้าด้วยน้ำมนต์ก็จะหายแล้ว หลังจากนั้นก็ไปนอนครับ
วันต่อมาก็ปฏิบัติตามกิจของสงฆ์ปรกติครับ เช้าบิณฑบาตร บ่ายเดินจงกรม เหนื่อยก็นอน วันนี้พระอาจารย์กนกบอกว่า กระทรวงการต่างประเทศเรียกพระอาจารย์ไปปฏิบัติหน้าพี่พระธรรมทุต ที่ออสเตรีย ก็รู้สึกใจหายเหมือนกันครับ พระอาจารยืท่านพูดเก่ง คุยสนุกครับ คืนนั้นพระอาจารย์ก็เรียกญาติโยมมารับ ไปเชียงใหม่ เพื่อที่จะต่อเครื่องในตอนเช้าไปสุวรรณภูมิ
วันต่อมาก็ปรกติครับ ไม่มีอะไรมาก ถามอะไรที่ผมไม่รู้ พระอาจารย์อ๊อดก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง หลังๆ เลยรู้ว่ามันผิดกฏของสงฆ์ ครับ วันนี้หลวงพี่นุ จากลาสิขาแล้ว แต่ผมยังอยู่ ก็อยุ่ต่อไป จนครบ 7 วัน
วันเดินทางกลับ เนื่องจากเวลากลับ กับเวลาบิณฑบาตรเป็นเวลาเดียวกันผมจึงไม่ได้ฉัน เพราะรถสองแถวมาเช้า จึงไปร้านอาหารตามสั่ง สั่งอาหารแต่ก็กะจะจ่ายเงินนะครับ แต่เจ้าของร้านไม่เอาก็เลยให้พรไป จากนั้นก็เดินทางกลับวัดที่ลำพูน การเดินทางก็เดิมๆ ครับ ทางลูกรัง กว่าจะถึงเชียงใหม่ก็เกือบบ่าย 2 โมง ต่อรถไปลำพูนที่ตลาดวโรรส พอดี
หลักจากนั้นก็ขออนุญาตเจ้าอาวาสกลับไปเยี่ยมบ้าน 3 วัน แล้วก็กลับมาที่วัด เป็นพระในเมืองก็ดูน่าเบื่อนะครับ หลังจากผ่านสงฆ์กรานต์ ก็มีดำหัวเจ้าอาวาสกับดำหัวพระจากชาวบ้าน พอถึงเดือนพฤษภาคม ผมก็ลาสิกขา เพื่อไปทำงานครับ
อาจจะเล่าเรื่องไม่เก่งเท่าไหร่ อ่านสนุกๆ นะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ป.ล.สิ่งที่เพิ่งมารู้หลังจากนั้นอีกซักปีสองปี คือ สัมพเวสี สามารถข่มขืนกายทิพย์ได้ด้วย แปลว่าใช่ ใช่ไหมครับ ท่านผู้อ่าน
ประสบการณ์บวช ณ ลำพูน เชียงใหม่ เมื่อหลายปีก่อน
จากลำพูน มีโยมอาสาไปส่งที่ท่ารถสองแถว จังหวัดเชียงใหม่ นั่งรถสองแถวสีเหลืองไปประมาณ 10 โมง และขึ้นรถก็ได้เจอกับหลวงพี่นุ พระใหม่ที่บวชที่เชียงใหม่และจะขึ้นไปรับบาตรโยมพ่อแม่ที่บ้าน ก็เลยร่วมเดินทางไปด้วยกัน รถก็แล่นไปเรื่อยๆ ขึ้นดอยไปเรื่อยๆ แล้วก็แวะพักที่อำเภอสะเมิง ก็ฉันเพลที่นั่น แล้วก็นั่งต่อไป ทีนี้เจอทางลูกรัง ป้ายบอกว่าอีก 50 กม. โหย.....โชคดีที่เป็นพระ เราเลยได้นั่ง เพราะคนที่นั่งมีแต่เด็กกับผู้หญิง ส่วนผู้ชาย ไปนั่งบนหลังคารถกันหมด ก็ลุยทางลูกรังไปเรื่อยๆ ฝุ่นสีส้มตลบ อบอวนไปตลอดทาง จนมาถึงที่ลงรถ กลางอำเภอกัลยานิวัฒนา ประมาณ 16.30 น. แล้วเดินจากปากทางไปที่สำนักสงฆ์อีก ไปถึงก็ประมาณ 5 โมงเย็น
หลวงพี่ดีแนะนำให้เข้าไปกราบพระอาจารย์กนก เราก็เข้าไปกราบท่านเป็นพระตัวสูงใหญ่ พูดเก่ง พอจะทราบจากหลวงพี่ดีมาว่า ท่านเคยเป็นหมอมาก่อน หลังจากกราบเสร็จก็ขึ้นไปเอาผ้าห่ม เพื่อไปนอนที่กุฏิ ริมอ่างเก็บน้ำ ที่นั่นไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา กลางคืนก็จุดเทียน น้ำก็ต้องไปตักจากบ่อมาต้มกิน น้ำที่อาบก็ไปตักจากอ่างเก็บน้ำหน้าศาลา ซึ่งผมก็เพิ่งเคยเห็นปลาคาบสีฟ้า ฝูงใหญ่ ตัวใหญ่มา หลังจากสงฆ์น้ำเสร็จ สวดมนต์เย็น เสร็จก็จำวัดครับ อากาศที่นี่หนาวมาก ทั้งที่เป็นเดือนเมษายน หนาวแบบฤดูหนาวดีดี นี่เอง
ตื่นมาตี 4 หลวงพี่ดีมาปลุกครับ เพื่อไปบิณฑบาตร แล้วก็พาไปกราบพระอาจารย์อ๊อด มองดูแล้วผมนึกว่าท่านเป็นพระสายจีน ซะอีก จากนั้นเราก็ไปบิณฑบาตรครับ ทางเดินป่าใส่รองเท้าเดินไป พอถึงหมู่บ้านก็ถอดรองเท้าไว้ข้างทาง ทางก็ลูกรังครับหินเยอะมาก เดินไปย่อๆ เจ็บฝาเท้ามากๆ ผมก็ถามพระอาจารย์อ๊อดนะครับว่าท่านเจ็บเท้าไหม ท่านก็บอกว่าเจ็บ แต่ดูท่านเดินแล้ว เดินแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะบอกว่าข้าวที่ชาวบ้านเอามาใส่บาตร เป็นขาวดอย หอมมากๆ (มีโอกาสจะหาซื้อมาอีกครับ) ชาวบ้านส่วนใหญ่จะใส่แต่ข้าว กับข้าวก็จะมาบ้างแต่ไม่มาก หลังจากนั้นก็หลับมาที่สำนักสงฆ์ ช่วยหลวงพี่ดีจัดเตรียมอาหาร จัดสถานที่ กว่าจะได้ฉันเช้า + เพลน ก็ประมาณ 10.30 น.ครับ ที่นี่เค้าฉันกันมือเดียว
พอช่วงบ่ายๆ ไม่มีอะไรทำ กับบรรยากาศน่าจำวัดมาก ก็หลับครับ นอนแบบเหมือนเหนื่อยจากไหนมา จากนั้นก็สลึมสลือ กึ่งๆ ฝัน ว่ามีผู้หญิงสวมสไบ กำลังขย่มผมอยู่ บอกตรงๆ ว่าระหว่างบวชเค้าไม่ให้ช่วยตัวเอง ผมก็ไม่เคยช่วยตัวเองครับ แต่ตอนนั้นมันไม่ไหวจริงๆ มันเสียวมาก น้ำเดินพุ่งกระจุยกระจายเลอะจีวรหมดเลยครับ พอตื่นขึ้นมาก หลวงพี่นุก็มาเรียก บอกว่าจะมาพักด้วย เย็นวันนั้นเลยพาไปหาพระอาจารย์กนก และพระอาจารย์อ๊อดครับ ตอนเย็นพระอาจารย์กนก เอาช๊อกโกแลต 100% ให้กิน ความรู้สึกแบบว่า......อึม....เออ....มันขมมากๆ แบบว่าไม่เคยกินอะไรขมได้ขนาดนี้ครับ ท่านบอกว่าเป็นเนยเหลว และเป็นยา หลังจากนั้นก็ทำวัตรเย็น ผมก็หัดเดินจงกรม หายใจแบบที่พระอาจารย์สอนคือให้ตามลมจาก สมูก คอ ท้อง แล้วก็หายใจออก จากท้อง คอ จมูกครับ ระหว่างเดินจงกรมตอนกลางคืนมีพระอาจารย์กนกเฝ้าอยู่ ผมรู้สึกปวดหลังแบบแปรด ปรี๊ด ขึ้นมาจนเดินไม่ไหวเลยนั่งลงครับ พระอาจารย์กนกเรียกให้ไปหาแล้วเอามือจิ้มที่หลังบอกว่าปวดตรวนี้ใช่ไหม ประมาณ 3 จุด ผมก็บอกว่าใช่ทุกจุดครับ หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็มนต์น้ำมนต์ให้ดื่มแล้วล้างหน้า รู้สึกขนลูก แบบแรงๆ ขึ้นทันทีตอนล้างหน้าครับ พระอาจารย์บอกว่าแฟนเก่าผมทำเสน่ห์ แต่ของมันยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย หลังจากพรุ่งนี้ดื่มน้ำมนต์แล้วหน้าหน้าด้วยน้ำมนต์ก็จะหายแล้ว หลังจากนั้นก็ไปนอนครับ
วันต่อมาก็ปฏิบัติตามกิจของสงฆ์ปรกติครับ เช้าบิณฑบาตร บ่ายเดินจงกรม เหนื่อยก็นอน วันนี้พระอาจารย์กนกบอกว่า กระทรวงการต่างประเทศเรียกพระอาจารย์ไปปฏิบัติหน้าพี่พระธรรมทุต ที่ออสเตรีย ก็รู้สึกใจหายเหมือนกันครับ พระอาจารยืท่านพูดเก่ง คุยสนุกครับ คืนนั้นพระอาจารย์ก็เรียกญาติโยมมารับ ไปเชียงใหม่ เพื่อที่จะต่อเครื่องในตอนเช้าไปสุวรรณภูมิ
วันต่อมาก็ปรกติครับ ไม่มีอะไรมาก ถามอะไรที่ผมไม่รู้ พระอาจารย์อ๊อดก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง หลังๆ เลยรู้ว่ามันผิดกฏของสงฆ์ ครับ วันนี้หลวงพี่นุ จากลาสิขาแล้ว แต่ผมยังอยู่ ก็อยุ่ต่อไป จนครบ 7 วัน
วันเดินทางกลับ เนื่องจากเวลากลับ กับเวลาบิณฑบาตรเป็นเวลาเดียวกันผมจึงไม่ได้ฉัน เพราะรถสองแถวมาเช้า จึงไปร้านอาหารตามสั่ง สั่งอาหารแต่ก็กะจะจ่ายเงินนะครับ แต่เจ้าของร้านไม่เอาก็เลยให้พรไป จากนั้นก็เดินทางกลับวัดที่ลำพูน การเดินทางก็เดิมๆ ครับ ทางลูกรัง กว่าจะถึงเชียงใหม่ก็เกือบบ่าย 2 โมง ต่อรถไปลำพูนที่ตลาดวโรรส พอดี
หลักจากนั้นก็ขออนุญาตเจ้าอาวาสกลับไปเยี่ยมบ้าน 3 วัน แล้วก็กลับมาที่วัด เป็นพระในเมืองก็ดูน่าเบื่อนะครับ หลังจากผ่านสงฆ์กรานต์ ก็มีดำหัวเจ้าอาวาสกับดำหัวพระจากชาวบ้าน พอถึงเดือนพฤษภาคม ผมก็ลาสิกขา เพื่อไปทำงานครับ
อาจจะเล่าเรื่องไม่เก่งเท่าไหร่ อ่านสนุกๆ นะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้