คุณเชื่อเรื่องผีมั้ย และเชื่อเพราะอะไร มาแชร์กัน

สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเรา ที่มาเล่าก็เพื่อแชร์ประสบการณ์กัน ก่อนอื่นเลย เราเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ คือมันแบบ เฮ้ย จริงหรอ แต่มันก็พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะศาสนามันจะเกี่ยวกับวิญญาณการเวียนว่ายตายเกิดด้วยมั้ง เราเลยเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง บวกกับความเป็นไปได้ด้วย แต่ไม่ได้งมงายอะไร แต่เรื่องที่เราเจอมันทำให้เราเชื่อ เข้าเรื่องเลยดีกว่า
เมื่อ 15 ปีก่อน จังหวัดเราอยู่ทางภาคตะวันออกติดกับประเทศเพื่อนบ้าน หมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านชนบท ชนบทมากเลยแหละ ถนนลูกรังสีแดงๆ มีให้เห็นเยอะเลย  มีแค่แสงจันทร์ตอนกลางคืนเท่านั้นที่ส่องแสงสว่างกับแสงจากไฟอันน้อยนิด คนไม่นิยมเปิดไฟฟ้ากัน อาจเพราะมันสิ้นเปลืองและยากจน มีทุ่งนาล้อมรอบหมู่บ้าน และหมู่บ้านอยู่ไกลจากอีกหมู่บ้านหนึ่งพอสมควร 1-2 กิโลเมตร เรื่องนี้เกี่ยวกับน้าคนเล็ก น้าม.3 ส่วนเรา อ.2 เราจำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง เรารู้แค่ว่า น้าคนเล็ก (แม่เราเป็นพี่สาวคนโต ) ไม่สบาย ไม่ออกไปไหน มีอาการแปลกๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยคุย ไม่กินข้าว ไม่มีเรี่ยวแรง ตอนกลางคืน ร่างกายแข็งแรงอย่างกับคนละคน อาละวาด หน้าดุมาก จ้องคนที่บ้านตาเขม็งเลย  ด้วยความที่ตอนนั้นเราเป็นเด็ก เราไม่ค่อยรู้อะไรมาก แต่พ่อกับแม่เรา ตา ยาย พาน้าไปหาหมอ เกี่ยวกับสมอง ที่ รพ. ขึ้นชื่อเรื่อง จิตวิทยา (เรียกแบบนี้มั้ยนะ) ที่จังหวัดใกล้เคียง พ่อเป็นคนขับรถ น้าคนเล็กนอนกระบะข้างหลัง แม่ ตา ยาย และ เราก็นั่งไปด้วย พอไปหาหมอ เข้าเครื่องแสกนสมองด้วยคอมพิวเตอร์ สมองก็ปกติ ไม่มีอะไร หมอก็บอกไม่มีอะไรนะ  และอาการเหล่านั้นที่เป็นแบบที่บ้านก็หายไป เป็นเหมือนคนปกติ พูดคุยรู้เรื่อง หมอบอกประมาณว่า เป็นบ้า ยายต้องเฝ้าดูอาการน้าที่โรงพยาบาลเป็นเวลาสักพัก แต่เราจำได้ว่านานพอสมควร และถึงวันที่ไปรับน้ากับยายกลับบ้าน หมอให้ยามากินรักษาตัวที่บ้าน แล้วก็พาน้ากลับบ้าน ก่อนถึงหมู่บ้านเรา จะมีหมู่บ้านหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องคนเล่นของ และกลายเป็นปอป เมื่อเข้าเขตหมู่บ้านนั้น จะมีต้นพุทราเล็กอยู่ทางเข้า น้าเราก็มีอาการเหมือนเดิม คือ ตาเขม็ง เหม่อลอย แลบลิ้นยาว นอนตัวแข็ง  ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าน้าเป็นอะไร เรารู้แค่น้าไม่สบาย ยาย กับตาก็ตะโกนบอกพ่อ ว่า "เป็นอีกแล้วๆ เอาอีกแล้ว "  พ่อเรารีบขับรถให้ถึงบ้าน ( หมู่บ้านนั้นห่างจากหมู่บ้านเรา 6 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาไม่มากนัก ) จากนั้น ก็อุ้มน้าลงจากรถ คนในสมัยนั้น ถ้ามีคนในหมู่บ้านคนไหนป่วย จะมาเยี่ยมกัน ช่วยอยู่ ช่วยดูเป็นเพื่อน  เราจำได้ว่าน้านอนที่แคร่ไม้ไผ่ที่บ้าน ทำตาเหลือก ไม่สบตาใคร แลบลิ้นยาว นั่นทำให้ตา ยาย พ่อ และแม่เรา  และคนในหมู่บ้านตัดสินว่า เป็นอาการของคน "ผีเข้า" แล้วก็ทำตามความเชื่อโบราณคือ หมอผี แต่หมู่บ้านเราไม่มีหมอผีเหมือนในหนังหรือละคร มีแต่หลวงพ่อเท่านั้นที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในหมู่บ้าน และพ่อก็ไปนิมนต์พระมาที่บ้าน เพื่อสวดมนต์ ทำน้ำมนต์ให้น้าอาบ สวดคืนแรกผ่านไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ตอนกลางวันก็กินน้ำมนต์ อาบน้ำมนต์ เราไม่เคยได้ยินเสียงน้าเลย ยายก็คอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ ให้น้าที่นอนอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา แต่พอพระอาทิตย์ตกดิน ก็จะมีอาการแบบนั้นอีกแต่จะแข็งแรงกว่าเดิม มีคนแนะนำหลวงพ่อที่เก่งเรื่องทางด้านนี้ให้ตาเรา พ่อเราก็ขับรถไปนิมนต์มาจากจังหวัดใกล้เคียงอีก ประมาณ 5 รูป สวดทุกวัน เริ่มทำพิธี เอาสายสิญน์ พันรอบตัวน้า ใส่หัว โยงกับพระแล้วก็สวดมนต์ เราจำได้ว่า สวดบท กำแพงสิบทิศด้วย น้าเราก็นั่ง มองพระ เหลือกตาไปมา แลบลิ้นปริ้นตาใส่หลวงพ่อ จากนั้นก็เอาน้ำมนต์ที่ได้จากการทำพิธีมาอาบ มากิน อาบทั้งตอนเช้าและเย็น เป็นแบบนี้หลายวันเลยน้าดูเหนื่อยมากขึ้นทุกวัน หลังๆพออาการเป็นหนักก็นิมนต์มา เหมือนจะทุเลาลงก็อาบน้ำมนต์ไม่ได้สวดทุกคืนเหมือนตอนแรก แต่เราจำได้ว่าบ่อยเหมือนกัน และคืนหนึ่งตอนเย็นก็สวดเช่นเดิม น้าก็เป็นเหมือนเดิมอีก เราจำได้ว่าหลวงพ่อพูดแบบในละครเลย ประมาณว่า ดื้อจัง ออกไม่ออก จากนั้นทั้งข้าวสารเสก ทั้งน้ำมนต์จากหลวงพ่อ มุ่งมาที่น้าเลย อย่างกะในละครแหนะ แต่ชีวิตจริงมันดราม่านะ ทุกคนในบ้านเศร้าหมอง เพราะปัญหาที่แก้ไม่ได้ ไปหาหมอไม่หาย กินยาไม่ได้ ไม่มีทางรักษาเลย ได้แต่ทำการนิมนต์พระมาสวด เพื่อเป็นการทุเลาของอาการและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและรอให้น้าหายแค่นั้น หลวงพ่อทำการไล่ผีหลายชั่วโมงเลยแหละ จากนั้นน้าก็ล้มฟุบลงไป ยายเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ยายไปหลังบ้าน ตอนกลางดึก ( สมัยก่อนนิยม เอาห้องน้ำไว้นอกบ้าน )เห็นคนอยู่ในกอไผ่ เป็นเงาดำๆ วันรุ่งเช้า น้าตื่นก็มีอาการเช่นเดิม  ก็อาบน้ำมนต์เหมือนเดิม และคืนนั้นน้าเป็นหนักและไม่ได้สวดมนต์ เพราะหลวงพ่อติดงานอื่น ตกดึกน้าก็มีอาการเหมือนเดิมอีก แต่อ่อนเพลียมากกว่าทุกครั้ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่