เห็นบริการแบบใหม่ของบัตรเครดิตที่ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยม บัตรที่ออกมาใหม่ล้วนแต่มีบริการ Pay wave แค่แตะไม่ต้องเซ็น ดูแล้วน่าใช้
แต่ก็เคยสงสัย เวลามีปัญหาขึ้นมา จะเอาอะไรเป็นหลักฐาน และแล้วก็เจอกับตัวเลยเอามาเล่าให้ฟังค่ะ
วันที่ 11 กันยายน
- เราตรวจสอบยอดการใช้บัตรเครดิตจาก app เพื่อเตรียมจ่ายตังค์ตามปกติ ก็ปรากฏว่าเจอยอดแปลกปลอม จำนวน 479 บาท
ดูจากวันที่เกิดรายการแล้ว มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ใช้บัตรแน่นอน เพราะตรงกับวันที่เราไปราชการที่ต่างจังหวัด เดินทางตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าวันที่ 5 เดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ วันที่ 6 สี่โมงเย็น แถมไม่ได้ไปคนเดียว อย่างน้อยเพื่อนร่วมรถตู้เดียวกันก็เจ็ดชีวิตก็เป็นพยานได้ ไม่นับรูปถ่ายในงาน
- พักเที่ยง โทรเข้า Call Center หลังจากถือสายรอตรวจสอบร่วมสิบนาทีก็ได้ความมาว่า เป็นยอดการใช้แบบ Pay Wave และรายละเอียดอีกเล็กน้อย ซึ่งเรายืนยันว่าไม่ได้ใช้แน่นอน ทาง Call center จึงแจ้งว่าจะส่งแบบฟอร์มปฏิเสธการเรียกเก็บมาให้ทาง E-mail ล่วงเข้า 6 โมงเย็น ยังไม่ได้รับ mail เลยโทรเข้า call center อีกรอบเพื่อทวงเอกสาร
วันที่ 13 กันยายน
- จัดการกรอกฟอร๋์ม ส่ง Fax ไปตั้งแต่ประมาณ 9 โมงเช้า แต่โทรไปยืนยันการส่ง Fax ไม่สำเร็จ หมายเลขโทรศัพท์ที่ให้มาสองเบอร์ เบอร์แรกโทรไปไม่มีคนรับ เบอร์ที่สองโทรไปแจ้งว่าหมายเลขไม่ถูกต้อง อีกหนึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีคนรับ เลย Reply E-mail ยืนยันมันซะเลย อยากติดต่อไม่ได้ดีนัก พอบ่ายสองโมงจึงมีการติดต่อเข้ามาพร้อมถามรายละเอียด เราก็ให้ข้อมูลไปว่า
1. ในวันดังกล่าว เราไปราชการที่ต่างจังหวัด เดินทางตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าวันที่ 5 เดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ วันที่ 6 สี่โมงเย็น เพราะฉะนั้นเราไปโผล่ที่ห้างไม่ได้แน่
2. บัตรเครดิตดังกล่าวอยู่กับเราตลอดเวลา
พนักงานก็รับเรื่องไปดำเนินการต่อ...
วันที่ 14 กันยายน
- เปิด E statement ที่ส่งเข้ามา ยอดที่ปฏิเสธโชว์หราเลยจ้า เพลียจิต

ขี้เกียจโวยวาย ตรูจ่ายไปก่อนก็ได้เฟ้ย
วันที่ 19 กันยายน
- มีเมล์ส่งมาจากฝ่ายติดตามแจ้งว่าได้ตรวจสอบกับทางห้างแล้ว เนื่องจากเครื่องรูดเป็นของอีกธนาคารจึงตามเรื่องลำบาก ขอส่งหลักฐานเป็นใบสลิปเพื่อให้เราช่วยแจ้งความขอดูกล้องวงจรปิดของทางห้างอีกทางหนึ่ง
-
เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายในห้าง ซึ่งมีการให้บริการบัตรสมาชิกสะสมแต้ม ซึ่งในสลิปหลักฐานที่ส่งมาแสดงอย่างเด่นชัดว่า เจ้าของรายการเป็นคนอื่นซึ่งไม่ใช่เรา เห็นทางชนะใส ๆ
วันที่ 25 กันยายน
- เราลางานครึ่งวัน เพื่อไปแจ้งความ ซึ่งกว่าจะหาเจอว่าที่เกิดเหตุอยู่ท้องที่ไหนก็ต้องขึ้นมัน 2 โรงพัก
ไหน ๆ แล้วขอแชร์เลยนะคะว่า เกิดเหตุที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน ต้องไปแจ้งความที่สถานนีตำรวจตรงท่าน้ำนนท์จ้า
- กลับไปที่ห้าง ติดต่อน้องประชาสัมพันธ์ ก็ส่งต่อไปแผนก รปภ. แต่สรุปวันนั้นรอจนหกโมงเย็นก็ยังไม่ได้ดูกล้องนะคะ เห็นว่าอุปกรณ์ไม่พร้อมเพราะเหตุสุดวิสัย อุปสรรคเยอะได้อีก แต่เราเป็นนางเอกค่ะ เราต้องสู้
วันที่ 4 ตุลาคม
- กว่าจะว่างไปดูกล้องอีกทีก็ข้ามอาทิตย์ นั่งอยู่ในสำนักงานห้างชั่วโมงกว่า มีการเรียกฝ่ายบัญชีมามุงด้วย ดูกล้องมุมโน้นมุมนี้ ฟันธงได้เลยว่า คนที่เอาบัตรไปใช้ไม่ใช่เราแน่นอน แถมยังไม่รู้จักด้วย สีบัตรก็ไม่ใช่ เราเอาบัตรของจริงที่อายัติแล้วไปยืนยันด้วย
- ทางห้างปฏิเสธที่จะให้หลักฐานกับเรา เขาแจ้งว่าจะให้กับร้อยเวรเมื่อมีการดำเนินคดีเท่านั้น เราก็เข้าใจนะคะ เขาต้องรักษาความลับของลูกค้า เลยตกลงว่าจะแจ้งให้ทางธนาคารส่งเจ้าหน้าที่มาตามเรื่องต่อ
วันที่ 5 ตุลาคม
- E-mail แจ้งกับทางธนาคารว่า ไปดูกล้องมาแล้ว โน่น นั่น นี่ ให้รับเรื่องต่อด้วย หากมีปัญหาอะไรติดต่อมาได้ และแล้วเวลาก็ผ่านไป...
วันที่ 1 พฤศจิกายน
- ธนาคารโทรมาแจ้งว่า ห้างไม่คืนเงิน

เรานี่อึ้งไปเลยค่ะ หลักฐานขนาดนี้แล้ว ยังไม่สามารถ...อีกเรอะ
เราเลยตัดสินใจว่า จะไม่ตามเรื่องต่อแล้วค่ะ เพราะมันไม่คุ้มกับเงินและเวลาทีเสียไป (ยอดแค่ 479 บาท) จากความเสียหายที่เกิดขึ้น เราคิดว่าน่าจะเกิดจากความผิดพลาดของระบบมากกว่าจะเป็นฝีมือโจร หากต้องการเอาเรื่องต่อคงต้องแจ้งความแบบกล่าวโทษ บอกตรง ๆ ว่าขี้เกียจไปขึ้นศาล
เล่ามาซะเยอะก็เพื่อสรุปว่า...ถึงจะมั่นใจว่าหลักฐานของเราแน่นหนา แต่ใช่ว่าจะได้เงินคืนกันง่าย ๆ
ที่ว่ากันว่าถึงไม่มีลายเซ็นก็มีอย่างอื่นช่วยยืนยัน แต่ไอ้อย่างอื่นที่ว่า
กว่าจะได้หลักฐานแต่ละอย่างมาไม่ใช่ง่าย ๆ จะดูกล้องห้างได้ต้องมีใบแจ้งความ แค่นั้นก็เสียเวลาไปครึ่งวันแล้วค่ะ
ต้องผ่านด่านอรหันต์อีกหลายตลบ เราคงทำได้แค่เลิกใช้บัตรเครดิตธนาคารที่มีปัญหาไปยาว ๆ
ใครมีประสบการณ์ลองมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมได้นะคะ
ธนาคารไหนตามเรื่องดี โฆษณาได้เลยค่ะ จะได้ตามไปสมัครบัตร
แชร์ประสบการณ์ จ่ายแบบ Pay Wave ไม่ต้องเซ็น เวลามีปัญหาแล้วเป็นงี้
แต่ก็เคยสงสัย เวลามีปัญหาขึ้นมา จะเอาอะไรเป็นหลักฐาน และแล้วก็เจอกับตัวเลยเอามาเล่าให้ฟังค่ะ
วันที่ 11 กันยายน
- เราตรวจสอบยอดการใช้บัตรเครดิตจาก app เพื่อเตรียมจ่ายตังค์ตามปกติ ก็ปรากฏว่าเจอยอดแปลกปลอม จำนวน 479 บาท
ดูจากวันที่เกิดรายการแล้ว มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ใช้บัตรแน่นอน เพราะตรงกับวันที่เราไปราชการที่ต่างจังหวัด เดินทางตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าวันที่ 5 เดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ วันที่ 6 สี่โมงเย็น แถมไม่ได้ไปคนเดียว อย่างน้อยเพื่อนร่วมรถตู้เดียวกันก็เจ็ดชีวิตก็เป็นพยานได้ ไม่นับรูปถ่ายในงาน
- พักเที่ยง โทรเข้า Call Center หลังจากถือสายรอตรวจสอบร่วมสิบนาทีก็ได้ความมาว่า เป็นยอดการใช้แบบ Pay Wave และรายละเอียดอีกเล็กน้อย ซึ่งเรายืนยันว่าไม่ได้ใช้แน่นอน ทาง Call center จึงแจ้งว่าจะส่งแบบฟอร์มปฏิเสธการเรียกเก็บมาให้ทาง E-mail ล่วงเข้า 6 โมงเย็น ยังไม่ได้รับ mail เลยโทรเข้า call center อีกรอบเพื่อทวงเอกสาร
วันที่ 13 กันยายน
- จัดการกรอกฟอร๋์ม ส่ง Fax ไปตั้งแต่ประมาณ 9 โมงเช้า แต่โทรไปยืนยันการส่ง Fax ไม่สำเร็จ หมายเลขโทรศัพท์ที่ให้มาสองเบอร์ เบอร์แรกโทรไปไม่มีคนรับ เบอร์ที่สองโทรไปแจ้งว่าหมายเลขไม่ถูกต้อง อีกหนึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีคนรับ เลย Reply E-mail ยืนยันมันซะเลย อยากติดต่อไม่ได้ดีนัก พอบ่ายสองโมงจึงมีการติดต่อเข้ามาพร้อมถามรายละเอียด เราก็ให้ข้อมูลไปว่า
1. ในวันดังกล่าว เราไปราชการที่ต่างจังหวัด เดินทางตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าวันที่ 5 เดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ วันที่ 6 สี่โมงเย็น เพราะฉะนั้นเราไปโผล่ที่ห้างไม่ได้แน่
2. บัตรเครดิตดังกล่าวอยู่กับเราตลอดเวลา
พนักงานก็รับเรื่องไปดำเนินการต่อ...
วันที่ 14 กันยายน
- เปิด E statement ที่ส่งเข้ามา ยอดที่ปฏิเสธโชว์หราเลยจ้า เพลียจิต
วันที่ 19 กันยายน
- มีเมล์ส่งมาจากฝ่ายติดตามแจ้งว่าได้ตรวจสอบกับทางห้างแล้ว เนื่องจากเครื่องรูดเป็นของอีกธนาคารจึงตามเรื่องลำบาก ขอส่งหลักฐานเป็นใบสลิปเพื่อให้เราช่วยแจ้งความขอดูกล้องวงจรปิดของทางห้างอีกทางหนึ่ง
- เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายในห้าง ซึ่งมีการให้บริการบัตรสมาชิกสะสมแต้ม ซึ่งในสลิปหลักฐานที่ส่งมาแสดงอย่างเด่นชัดว่า เจ้าของรายการเป็นคนอื่นซึ่งไม่ใช่เรา เห็นทางชนะใส ๆ
วันที่ 25 กันยายน
- เราลางานครึ่งวัน เพื่อไปแจ้งความ ซึ่งกว่าจะหาเจอว่าที่เกิดเหตุอยู่ท้องที่ไหนก็ต้องขึ้นมัน 2 โรงพัก
ไหน ๆ แล้วขอแชร์เลยนะคะว่า เกิดเหตุที่เดอะมอลล์งามวงศ์วาน ต้องไปแจ้งความที่สถานนีตำรวจตรงท่าน้ำนนท์จ้า
- กลับไปที่ห้าง ติดต่อน้องประชาสัมพันธ์ ก็ส่งต่อไปแผนก รปภ. แต่สรุปวันนั้นรอจนหกโมงเย็นก็ยังไม่ได้ดูกล้องนะคะ เห็นว่าอุปกรณ์ไม่พร้อมเพราะเหตุสุดวิสัย อุปสรรคเยอะได้อีก แต่เราเป็นนางเอกค่ะ เราต้องสู้
วันที่ 4 ตุลาคม
- กว่าจะว่างไปดูกล้องอีกทีก็ข้ามอาทิตย์ นั่งอยู่ในสำนักงานห้างชั่วโมงกว่า มีการเรียกฝ่ายบัญชีมามุงด้วย ดูกล้องมุมโน้นมุมนี้ ฟันธงได้เลยว่า คนที่เอาบัตรไปใช้ไม่ใช่เราแน่นอน แถมยังไม่รู้จักด้วย สีบัตรก็ไม่ใช่ เราเอาบัตรของจริงที่อายัติแล้วไปยืนยันด้วย
- ทางห้างปฏิเสธที่จะให้หลักฐานกับเรา เขาแจ้งว่าจะให้กับร้อยเวรเมื่อมีการดำเนินคดีเท่านั้น เราก็เข้าใจนะคะ เขาต้องรักษาความลับของลูกค้า เลยตกลงว่าจะแจ้งให้ทางธนาคารส่งเจ้าหน้าที่มาตามเรื่องต่อ
วันที่ 5 ตุลาคม
- E-mail แจ้งกับทางธนาคารว่า ไปดูกล้องมาแล้ว โน่น นั่น นี่ ให้รับเรื่องต่อด้วย หากมีปัญหาอะไรติดต่อมาได้ และแล้วเวลาก็ผ่านไป...
วันที่ 1 พฤศจิกายน
- ธนาคารโทรมาแจ้งว่า ห้างไม่คืนเงิน
เราเลยตัดสินใจว่า จะไม่ตามเรื่องต่อแล้วค่ะ เพราะมันไม่คุ้มกับเงินและเวลาทีเสียไป (ยอดแค่ 479 บาท) จากความเสียหายที่เกิดขึ้น เราคิดว่าน่าจะเกิดจากความผิดพลาดของระบบมากกว่าจะเป็นฝีมือโจร หากต้องการเอาเรื่องต่อคงต้องแจ้งความแบบกล่าวโทษ บอกตรง ๆ ว่าขี้เกียจไปขึ้นศาล
เล่ามาซะเยอะก็เพื่อสรุปว่า...ถึงจะมั่นใจว่าหลักฐานของเราแน่นหนา แต่ใช่ว่าจะได้เงินคืนกันง่าย ๆ
ที่ว่ากันว่าถึงไม่มีลายเซ็นก็มีอย่างอื่นช่วยยืนยัน แต่ไอ้อย่างอื่นที่ว่า
กว่าจะได้หลักฐานแต่ละอย่างมาไม่ใช่ง่าย ๆ จะดูกล้องห้างได้ต้องมีใบแจ้งความ แค่นั้นก็เสียเวลาไปครึ่งวันแล้วค่ะ
ต้องผ่านด่านอรหันต์อีกหลายตลบ เราคงทำได้แค่เลิกใช้บัตรเครดิตธนาคารที่มีปัญหาไปยาว ๆ
ใครมีประสบการณ์ลองมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมได้นะคะ
ธนาคารไหนตามเรื่องดี โฆษณาได้เลยค่ะ จะได้ตามไปสมัครบัตร