ก่อนที่เราจะไปชมทริปใบไม้เปลี่ยนสีของปีนี้กัน ผมมีประสบการณ์อยากที่จะมาแชร์
เนื่องจากว่า ผมไปญี่ปุ่นค่อนข้างบ่อย (ครั้งนี้ก็ครั้งที่ 8 ใน 3 ปีที่ผมเริ่มเที่ยว)
ทั้งหมด 8 รอบที่ไป ผมไปเองหมด นั่นก็คือจัดการอะไรเกี่ยวกับทริปเองทั้งหมด
ตั้งแต่ วางแผนทริป จองตั๋ว จองที่พัก นั้นแหละทั้งหมดครับ 555+
ผมเลยอยากจะมาแชร์ การวางแผน ในการไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองใบแบบเดียวกับที่ผมใช้วางแผนทริปนี้กัน
ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย !!!
1. เช็คพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี และ ตัดสินใจช่วงที่จะเดินทาง
สำหรับในไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นแล้วนั้น จะเริ่มตั้งแต่ประมาณ ปลายกันยายน - ต้นธันวาคม ของทุกปีครับ
เปลี่ยนสีเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของแต่ละพื้นที่
ส่วนมากแล้ว จะเปลี่ยนจากด้านบน (ฮอกไกโด) ลงมาล่างสุดของญี่ปุ่น
ยกเว้นในบริเวณ พื้นที่สูง เช่น บนเขา อะไรแบบนี้ ที่สามารถจะเปลี่ยนก่อนได้
สำหรับ พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ก็สามารถหาดูได้จาก website ต่างๆ และเช็คจาก รายงานของปีก่อนๆได้ครับ
ผมแนะนำ
http://weathernews.jp/koyo/ (สำหรับการอัพเดตแบบ real time จากเว็บญี่ปุ่นโดยตรง) หรือ เช็คจาก report ของ
https://www.japan-guide.com/ เป็นแนวทางได้ครับ
2. วางแผนเที่ยว
แน่นอนว่า กันยายน - ธันวาคม มันไกลกันมาก เลยต้องเลือกเมืองหรือพื้นที่ที่เราอยากจะไป
ในส่วนของผม ปีก่อน ได้เลือกไปช่วง พฤศจิกายน ธันวามคม มาบ่อยแล้ว
โจทน์ของผมปีนี้เลยเป็นเดือน ตุลาคม
ช่วงเดือน ตุลาคม พื้นที่ที่จะมีใบไม้แดงให้เราชมกันได้ก็คือ ฮอกไกโด โทโฮคุ และบนเขนพื้นที่เขาต่างๆ
ก็เลยได้ออกมาเป็นวันที่ 14-21 ตุลาคม นี่เองครับ
พอเราได้จุดหมายปลายทางแล้วเราก็ควรเอามาวางเป็นฐานของแผนเราคร่าวๆเพื่อเป็นการตีกรอบให้การวางแผนของเราง่ายขึ้นนั่นเอง
3. เช็คและจอง โรงแรม หรือ ที่พัก
หลังจากที่ได้วางแผนที่เที่ยวของเราไปคร่าวๆแล้ว ก็ถึงเวลามา เช็คโรงแรม ในแต่ละเมือง ที่เราจะเดินทางไป ตาม วันที่อยู่ในแพรน ว่าจะยังมีห้องว่างเพียงพอหรือไม่ และ ราคาเป็นไปตามที่เราต้องการ
ส่วนมากแล้วผมมักจะทำการเช็คและจองผ่าน www.agoda.com
เพราะเราสามารถจองไว้ก่อนเพื่อ ล็อค ราคานั้นไว้ก่อน ไม่งันราคาอาจจะขึ้นไปเรื่อยๆได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วควรเช็ค การจ่าย ส่วนตัวผมชอบ แบบ จองก่อนจ่ายทีหลัง
แล้วก็ควรเช็ค Cancellation policy ด้วยครับ โรงแรมจะบอกอยู่ว่า ยกเลิกห้องพักก่อนวันไหนๆ จะไม่โดนเก็บตังเพิ่ม
4. จองตั๋วเครื่องบิน
เมื่อเราจองโรงแรมได้อย่างใจหวังแล้ว สิ่งต่อมาที่ควรคำนึงถึงก็คือ จองตั๋วเครื่องบิน เพราะ ยิ่งเราปล่อยเวลาไปยิ่งนานเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งจะมีแต่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ ในช่วงเทศกาลแบบนี้
ส่วนมากแล้วผมจะเลือกจอง สายการบินที่บินตรงสู่ ญี่ปุ่น อย่างเช่น สายการบินไทย (Thaiairways) , สายการบิน All Nippon Airline (ANA) และ สายการบิน Japan Airline (JAL)
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น Full Service
แต่ถ้าเป็น Low Cost airline ก็จะเป็น AirAsiaX อะไรแบบนี้
แค่นี้ การเตรียม สำหรับทริปของเรา หลักๆก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
5. วางแผนการเดินทาง ในญี่ปุ่น โดยรถไฟ
การวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่น มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในทริปที่เราต้องเดินทางไปหลายๆเมือง เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มวางแผนการเดินทางกันเถอะ
อย่างแรกเลยนั้น เราควรคำนึงถึงการเดินทางโดยรถไฟเป็นอย่างแรก เนื่องจากเป็นวิธีการเดินทางที่เรียกว่าสะดวกที่สุดในญี่ปุ่นก็ว่าได้ แล้วหลังวจากนั้น ก็ค่อยพิจารณาทางเลบือกอื่นๆ เพื่อให้เข้าถึงที่เที่ยวนั้นๆได้อีกที
โดยการวางแผนเดินทางโดยใช้ รถไฟเนี่ย เราสามารถเช็คเวลาการเดินรถไฟ จากเว็บ
http://www.hyperdia.com/en/ เพื่อนำไปช่วยแพรนทริปของเราได้ละเอียดขึ้นอีกมากมายเลย
(แนะนำว่าให้จด เวลา ขึ้น-ลง, ชื่อขบวน และ หมายเลขขบวน ไว้ด้วยก็ดีครับ เพื่อเป็นข้อมูลที่เราสามารถเปิดหาได้อย่างรวดเร็วระหว่างการเดินทางของเราครับ
6. วางแผน เช่ารถขับ
และแน่นอนว่าหลังจากที่เราวางแผนการใช้รถไฟของเราแล้ว ต่อมา ก็คือการเดินทางอื่นๆ ที่จะนำพาเราไปถึงจุดหมายได้ เนื่องจาก ในบางพื้นที่ รถไฟไม่สามารถเข้าถึงได้ เราก็อาจจะต้องหันมาใช้การเดินทางโดย รถบัส หรือ เช่ารถขับกันเอง
สำหรับผมส่วนตัวชอบเช่ารถขับมากกว่า (ถ้าไปกันหลายคนจะได้หารราคารถได้) เนื่องจากมีความยื้ดหยุ่นของเวลาที่ดีกว่า ทำให้เราเที่ยวอย่างไม่ต้องกังวลว่าจะตกบัสไหม 555+
การวางแผนเช่ารถนี่ก็ไม่ยากครับ แค่เราระบุเวลา ที่จะใช้รถ และเวลาที่จะคืนรถให้ได้ เข้าไปจองออนไลน์ ของผมเลือกใช้ Nippon-Rent-A-Car (เนื่องจากมีระบบที่ support ภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างดีกว่า) ตามลิ้ง
นี้เลยนะครับ
https://www.nrgroup-global.com/en/ (ผมเน้นว่าต้องจองก่อนนะครับ ไม่งันเค้าอาจจะไม่มีรถให้คุณก็เป็นได้ครับ เนื่องจากมีคนใช้บริการค่อนข้างเยอะเลยครับ) พอจองเสร็จแล้ว ก็แค่เอาเลขที่จองของเราไปยื่นที่สาขา ที่เรากำหนดว่าจะไปรับรถ พร้อมยื่น passport และ ใบขับขี่สากลของคนขับ แค่นี้ก็เสร็จสิ้นแล้วครับ ไม่ยากเลยยย
7. เตรียม JR Pass และพาสอื่นๆ
JR Pass แทบเรียกได้ว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของการเดินทางโดยรถไฟเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะถ้าเราจำเป็นต้องเดินทางไปต่างเมืองเยอะๆโดยใช้งาน shinkansen (พาสนี้แค่ใช้นั่ง shinkansen ไปกลับ โตเกียว-โอซาก้า ก็คุ้มละครับ นี่ยังไม่รวมถึงการใช้รถไฟของ JR อื่นๆโดยไม่จำกัดอีกด้วย)
ถ้าเราศึกษากันดีๆแล้ว การเตรียมพาสต่างๆ ก็จะช่วยให้การลดค่าใช้จ่ายได้มากยิ่งขึ้น
8. ทำใบขับขี่สากล
ถ้าในแพรนเราจะมี การเช่ารถขับเอง เราก็จำเป็นต้องเตรียม ใบขับขี่สากลไปด้วยนะครับ ไม่งัน ไม่สามารถเช่ารถได้นะครับ ไปทำที่ขนส่งจังหวัดแปปเดียวเอง ไม่ต้องสอบไรด้วย
9. อินเตอร์เน็ต
แน่นอนว่า อินเตอร์เน็ตก็สำคัญคัญมากอีกอย่างนึง ในการท่องเที่ยว เดียวนี้ มีให้เลือกใช้กันหลากหลายแบบ เช่น pocket wifi, เปิด roaming หรือจะเป็น net sim
ซึ่งส่วนมากแล้ว ผมจะเลือกใช้เป็น net sim เนื่องจากไม่ต้องเกาะกลุ่มกันเพื่อใช้เน็ตมาก สามารถเดินกันไปคนละทิศคนลบะทาง แล้วค่อยนัดเจอกันได้ แถมยังมีราคาที่ถูกกว่าการเปิด roaming อีกด้วย
Sim2Fly ของ AIS เลยเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมมักจะพกติดตัวไปด้วยเวลาไปต่างประเทศ
10. สรุปแผนท่องเที่ยว
ในที่สุด จากการเตรียมตัวของเราก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็นำข้อมูลต่างๆมาใส่ลงในแผนเที่ยวของเรา เราจะได้เห็นภาพรวมของทริป แล้วถ้ามีอะไรที่เราอยากที่จะเปลี่ยนในวินาทีสุดท้ายนี้ เราก็สามารถปรับเปลี่ยนกันได้ตอนนี้เลยครับ
และอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญ ก็คือ การที่เราเก็บแผนเที่ยวของเราที่มีข้อมูลการเดินรถไฟ หรือ รายละเอียดทริปอื่นๆไว้ใกล้ตัว เพราะเราจะสามารถหยิบออกมา ดูข้อมูลได้สะดวก จะช่วยให้การเที่ยวของเราสะดวกและง่ายดายมากขึ้น (เชื่อผม ผมใช้ประจำเลย 555)
[CR] วางแผน เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี 2017 [Walking Moment]
เนื่องจากว่า ผมไปญี่ปุ่นค่อนข้างบ่อย (ครั้งนี้ก็ครั้งที่ 8 ใน 3 ปีที่ผมเริ่มเที่ยว)
ทั้งหมด 8 รอบที่ไป ผมไปเองหมด นั่นก็คือจัดการอะไรเกี่ยวกับทริปเองทั้งหมด
ตั้งแต่ วางแผนทริป จองตั๋ว จองที่พัก นั้นแหละทั้งหมดครับ 555+
ผมเลยอยากจะมาแชร์ การวางแผน ในการไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองใบแบบเดียวกับที่ผมใช้วางแผนทริปนี้กัน
ถ้าพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลย !!!
1. เช็คพยากรณ์ ใบไม้เปลี่ยนสี และ ตัดสินใจช่วงที่จะเดินทาง
สำหรับในไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นแล้วนั้น จะเริ่มตั้งแต่ประมาณ ปลายกันยายน - ต้นธันวาคม ของทุกปีครับ
เปลี่ยนสีเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศของแต่ละพื้นที่
ส่วนมากแล้ว จะเปลี่ยนจากด้านบน (ฮอกไกโด) ลงมาล่างสุดของญี่ปุ่น
ยกเว้นในบริเวณ พื้นที่สูง เช่น บนเขา อะไรแบบนี้ ที่สามารถจะเปลี่ยนก่อนได้
สำหรับ พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี ก็สามารถหาดูได้จาก website ต่างๆ และเช็คจาก รายงานของปีก่อนๆได้ครับ
ผมแนะนำ http://weathernews.jp/koyo/ (สำหรับการอัพเดตแบบ real time จากเว็บญี่ปุ่นโดยตรง) หรือ เช็คจาก report ของ https://www.japan-guide.com/ เป็นแนวทางได้ครับ
2. วางแผนเที่ยว
แน่นอนว่า กันยายน - ธันวาคม มันไกลกันมาก เลยต้องเลือกเมืองหรือพื้นที่ที่เราอยากจะไป
ในส่วนของผม ปีก่อน ได้เลือกไปช่วง พฤศจิกายน ธันวามคม มาบ่อยแล้ว
โจทน์ของผมปีนี้เลยเป็นเดือน ตุลาคม
ช่วงเดือน ตุลาคม พื้นที่ที่จะมีใบไม้แดงให้เราชมกันได้ก็คือ ฮอกไกโด โทโฮคุ และบนเขนพื้นที่เขาต่างๆ
ก็เลยได้ออกมาเป็นวันที่ 14-21 ตุลาคม นี่เองครับ
พอเราได้จุดหมายปลายทางแล้วเราก็ควรเอามาวางเป็นฐานของแผนเราคร่าวๆเพื่อเป็นการตีกรอบให้การวางแผนของเราง่ายขึ้นนั่นเอง
3. เช็คและจอง โรงแรม หรือ ที่พัก
หลังจากที่ได้วางแผนที่เที่ยวของเราไปคร่าวๆแล้ว ก็ถึงเวลามา เช็คโรงแรม ในแต่ละเมือง ที่เราจะเดินทางไป ตาม วันที่อยู่ในแพรน ว่าจะยังมีห้องว่างเพียงพอหรือไม่ และ ราคาเป็นไปตามที่เราต้องการ
ส่วนมากแล้วผมมักจะทำการเช็คและจองผ่าน www.agoda.com
เพราะเราสามารถจองไว้ก่อนเพื่อ ล็อค ราคานั้นไว้ก่อน ไม่งันราคาอาจจะขึ้นไปเรื่อยๆได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วควรเช็ค การจ่าย ส่วนตัวผมชอบ แบบ จองก่อนจ่ายทีหลัง
แล้วก็ควรเช็ค Cancellation policy ด้วยครับ โรงแรมจะบอกอยู่ว่า ยกเลิกห้องพักก่อนวันไหนๆ จะไม่โดนเก็บตังเพิ่ม
4. จองตั๋วเครื่องบิน
เมื่อเราจองโรงแรมได้อย่างใจหวังแล้ว สิ่งต่อมาที่ควรคำนึงถึงก็คือ จองตั๋วเครื่องบิน เพราะ ยิ่งเราปล่อยเวลาไปยิ่งนานเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งจะมีแต่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ ในช่วงเทศกาลแบบนี้
ส่วนมากแล้วผมจะเลือกจอง สายการบินที่บินตรงสู่ ญี่ปุ่น อย่างเช่น สายการบินไทย (Thaiairways) , สายการบิน All Nippon Airline (ANA) และ สายการบิน Japan Airline (JAL)
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น Full Service
แต่ถ้าเป็น Low Cost airline ก็จะเป็น AirAsiaX อะไรแบบนี้
แค่นี้ การเตรียม สำหรับทริปของเรา หลักๆก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
5. วางแผนการเดินทาง ในญี่ปุ่น โดยรถไฟ
การวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่น มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในทริปที่เราต้องเดินทางไปหลายๆเมือง เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มวางแผนการเดินทางกันเถอะ
อย่างแรกเลยนั้น เราควรคำนึงถึงการเดินทางโดยรถไฟเป็นอย่างแรก เนื่องจากเป็นวิธีการเดินทางที่เรียกว่าสะดวกที่สุดในญี่ปุ่นก็ว่าได้ แล้วหลังวจากนั้น ก็ค่อยพิจารณาทางเลบือกอื่นๆ เพื่อให้เข้าถึงที่เที่ยวนั้นๆได้อีกที
โดยการวางแผนเดินทางโดยใช้ รถไฟเนี่ย เราสามารถเช็คเวลาการเดินรถไฟ จากเว็บ http://www.hyperdia.com/en/ เพื่อนำไปช่วยแพรนทริปของเราได้ละเอียดขึ้นอีกมากมายเลย
(แนะนำว่าให้จด เวลา ขึ้น-ลง, ชื่อขบวน และ หมายเลขขบวน ไว้ด้วยก็ดีครับ เพื่อเป็นข้อมูลที่เราสามารถเปิดหาได้อย่างรวดเร็วระหว่างการเดินทางของเราครับ
6. วางแผน เช่ารถขับ
และแน่นอนว่าหลังจากที่เราวางแผนการใช้รถไฟของเราแล้ว ต่อมา ก็คือการเดินทางอื่นๆ ที่จะนำพาเราไปถึงจุดหมายได้ เนื่องจาก ในบางพื้นที่ รถไฟไม่สามารถเข้าถึงได้ เราก็อาจจะต้องหันมาใช้การเดินทางโดย รถบัส หรือ เช่ารถขับกันเอง
สำหรับผมส่วนตัวชอบเช่ารถขับมากกว่า (ถ้าไปกันหลายคนจะได้หารราคารถได้) เนื่องจากมีความยื้ดหยุ่นของเวลาที่ดีกว่า ทำให้เราเที่ยวอย่างไม่ต้องกังวลว่าจะตกบัสไหม 555+
การวางแผนเช่ารถนี่ก็ไม่ยากครับ แค่เราระบุเวลา ที่จะใช้รถ และเวลาที่จะคืนรถให้ได้ เข้าไปจองออนไลน์ ของผมเลือกใช้ Nippon-Rent-A-Car (เนื่องจากมีระบบที่ support ภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างดีกว่า) ตามลิ้ง
นี้เลยนะครับ https://www.nrgroup-global.com/en/ (ผมเน้นว่าต้องจองก่อนนะครับ ไม่งันเค้าอาจจะไม่มีรถให้คุณก็เป็นได้ครับ เนื่องจากมีคนใช้บริการค่อนข้างเยอะเลยครับ) พอจองเสร็จแล้ว ก็แค่เอาเลขที่จองของเราไปยื่นที่สาขา ที่เรากำหนดว่าจะไปรับรถ พร้อมยื่น passport และ ใบขับขี่สากลของคนขับ แค่นี้ก็เสร็จสิ้นแล้วครับ ไม่ยากเลยยย
7. เตรียม JR Pass และพาสอื่นๆ
JR Pass แทบเรียกได้ว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของการเดินทางโดยรถไฟเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะถ้าเราจำเป็นต้องเดินทางไปต่างเมืองเยอะๆโดยใช้งาน shinkansen (พาสนี้แค่ใช้นั่ง shinkansen ไปกลับ โตเกียว-โอซาก้า ก็คุ้มละครับ นี่ยังไม่รวมถึงการใช้รถไฟของ JR อื่นๆโดยไม่จำกัดอีกด้วย)
ถ้าเราศึกษากันดีๆแล้ว การเตรียมพาสต่างๆ ก็จะช่วยให้การลดค่าใช้จ่ายได้มากยิ่งขึ้น
8. ทำใบขับขี่สากล
ถ้าในแพรนเราจะมี การเช่ารถขับเอง เราก็จำเป็นต้องเตรียม ใบขับขี่สากลไปด้วยนะครับ ไม่งัน ไม่สามารถเช่ารถได้นะครับ ไปทำที่ขนส่งจังหวัดแปปเดียวเอง ไม่ต้องสอบไรด้วย
9. อินเตอร์เน็ต
แน่นอนว่า อินเตอร์เน็ตก็สำคัญคัญมากอีกอย่างนึง ในการท่องเที่ยว เดียวนี้ มีให้เลือกใช้กันหลากหลายแบบ เช่น pocket wifi, เปิด roaming หรือจะเป็น net sim
ซึ่งส่วนมากแล้ว ผมจะเลือกใช้เป็น net sim เนื่องจากไม่ต้องเกาะกลุ่มกันเพื่อใช้เน็ตมาก สามารถเดินกันไปคนละทิศคนลบะทาง แล้วค่อยนัดเจอกันได้ แถมยังมีราคาที่ถูกกว่าการเปิด roaming อีกด้วย
Sim2Fly ของ AIS เลยเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมมักจะพกติดตัวไปด้วยเวลาไปต่างประเทศ
10. สรุปแผนท่องเที่ยว
ในที่สุด จากการเตรียมตัวของเราก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็นำข้อมูลต่างๆมาใส่ลงในแผนเที่ยวของเรา เราจะได้เห็นภาพรวมของทริป แล้วถ้ามีอะไรที่เราอยากที่จะเปลี่ยนในวินาทีสุดท้ายนี้ เราก็สามารถปรับเปลี่ยนกันได้ตอนนี้เลยครับ
และอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญ ก็คือ การที่เราเก็บแผนเที่ยวของเราที่มีข้อมูลการเดินรถไฟ หรือ รายละเอียดทริปอื่นๆไว้ใกล้ตัว เพราะเราจะสามารถหยิบออกมา ดูข้อมูลได้สะดวก จะช่วยให้การเที่ยวของเราสะดวกและง่ายดายมากขึ้น (เชื่อผม ผมใช้ประจำเลย 555)
ติดตามรีวิวท่องเที่ยว ได้ที่เพจ https://www.facebook.com/WalkingMoment/