กลับมาอีกแล้วนะครับกับไดอารี่ของผมที่ไม่รู้จะมีคนอ่านไหม แต่เอาเป็นเป็นว่าผมอยากเล่าละกัน
วันนี้เป็นวันที่ผมและเพื่อนๆ ต้องอยู่รอสอบนอกตารางกัน อาจารย์เปิดโอกาศให้เล่าเรื่องอะไรก็ได้ให้เขาฟัง ผมก็เลยเลือกที่จะเล่าสิ่งที่ผมได้ประสบพบเจอมากับตัวผมเอง นั่นก็คือเรื่อง "ศาลริมทาง" นั่นเอง
เรื่องมันเกิดประมาณช่วงสัปดาห์ก่อนสอบกลางภาคสองอาทิตย์ ก็ถือว่านานพอสมควร แต่ผมยังจำเรื่องราวในวันนั้นได้เป็นอย่างดี
วันนั้นเป็นอีกวันหนึ่งที่ผมกลับบ้านค่อนข้างมืด เพราะไปนั่งคุยนั่งเล่นอยู่กับเพื่อนเสียนาน ผมเลือกกลับเส้นทางหลัง ม.ขี่ลัดเลาะมาเรื่อยๆ ทุกอย่างเหมือนจะปกติดี จนกระทั่งผมมาถึงช่วงอำเภอหนองเสือ ผมได้พบกับสิ่งผิดปกติอย่างหนึ่ง นั่นคือไฟทางตลอดเส้นนั้นไม่ติดเลยซักดวง หรือแม้แต่บ้านคนก็ไม่เปิดไฟเลยซักหลัง มันช่างเป็นระยะทางเพียงแค่สิบกิโลเมตรที่ทำให้จิตใจของผมหนาวสั่นไปด้วยความกลัว ในที่สุดผมก็เห็นแสงไฟจากข้างทาง ผมรู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยก็มีแสงไฟอื่นที่ไม่ใช่มาจากไฟหน้ารถผม แต่แล้วความโล่งใจนั้นก็หายวับไปในทันที เมื่อรู้ว่าไฟที่ผมเห็นนั้นเป็นไฟประดับของงานศพ ผมยังคงต้องฝืนขี่รถต่อไปทั้งๆที่ใจผมตอนนั้นแทบจะไม่กล้าที่จะขี่ไปต่อด้วยซ้ำ เส้นทางที่ผ่านทุกวันมันกลับดูลึกลับซับซ้อนราวกับว่าผมนั้นได้หลุดไปอยู่ในอีกโลกๆนึง ช่วงเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนในที่สุดผมก็ได้เจอแสงไฟอีกครั้ง มันเป็นแสงไฟจากศาลริมทางเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยตุ๊กตานางรำที่ชำรุด ความคิดแวบแรกของผมนั้นคือ "ทำไมไม่มีใครคิดที่จะมาทำความสะอาดเลยวะ" ในจังหวะที่ผมหันกลับมามองที่ถนน หางตาข้างซ้ายของผมก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดไทยสีแดงแบบเดียวกับตุ๊กตานางรำที่อยู่ในศาล ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเธอสวยหรือไม่ เพราะที่ผมเห็นนั้นมีเพียงแค่ตั้งแต่ช่วงคอลงมาเท่านั้น ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอคนนั้นมีหัวหรือเปล่า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็พยายามเลี่ยงการกลับบ้านกลางคืนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
#ขอบคุณที่สละเวลาอันมีค่าของท่านมาอ่านนนะครับ555555
Biker diary ไดอารี่ไบค์เกอร์หนุ่ม [ตอน ศาลริมทาง]
วันนี้เป็นวันที่ผมและเพื่อนๆ ต้องอยู่รอสอบนอกตารางกัน อาจารย์เปิดโอกาศให้เล่าเรื่องอะไรก็ได้ให้เขาฟัง ผมก็เลยเลือกที่จะเล่าสิ่งที่ผมได้ประสบพบเจอมากับตัวผมเอง นั่นก็คือเรื่อง "ศาลริมทาง" นั่นเอง
เรื่องมันเกิดประมาณช่วงสัปดาห์ก่อนสอบกลางภาคสองอาทิตย์ ก็ถือว่านานพอสมควร แต่ผมยังจำเรื่องราวในวันนั้นได้เป็นอย่างดี
วันนั้นเป็นอีกวันหนึ่งที่ผมกลับบ้านค่อนข้างมืด เพราะไปนั่งคุยนั่งเล่นอยู่กับเพื่อนเสียนาน ผมเลือกกลับเส้นทางหลัง ม.ขี่ลัดเลาะมาเรื่อยๆ ทุกอย่างเหมือนจะปกติดี จนกระทั่งผมมาถึงช่วงอำเภอหนองเสือ ผมได้พบกับสิ่งผิดปกติอย่างหนึ่ง นั่นคือไฟทางตลอดเส้นนั้นไม่ติดเลยซักดวง หรือแม้แต่บ้านคนก็ไม่เปิดไฟเลยซักหลัง มันช่างเป็นระยะทางเพียงแค่สิบกิโลเมตรที่ทำให้จิตใจของผมหนาวสั่นไปด้วยความกลัว ในที่สุดผมก็เห็นแสงไฟจากข้างทาง ผมรู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยก็มีแสงไฟอื่นที่ไม่ใช่มาจากไฟหน้ารถผม แต่แล้วความโล่งใจนั้นก็หายวับไปในทันที เมื่อรู้ว่าไฟที่ผมเห็นนั้นเป็นไฟประดับของงานศพ ผมยังคงต้องฝืนขี่รถต่อไปทั้งๆที่ใจผมตอนนั้นแทบจะไม่กล้าที่จะขี่ไปต่อด้วยซ้ำ เส้นทางที่ผ่านทุกวันมันกลับดูลึกลับซับซ้อนราวกับว่าผมนั้นได้หลุดไปอยู่ในอีกโลกๆนึง ช่วงเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนในที่สุดผมก็ได้เจอแสงไฟอีกครั้ง มันเป็นแสงไฟจากศาลริมทางเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยตุ๊กตานางรำที่ชำรุด ความคิดแวบแรกของผมนั้นคือ "ทำไมไม่มีใครคิดที่จะมาทำความสะอาดเลยวะ" ในจังหวะที่ผมหันกลับมามองที่ถนน หางตาข้างซ้ายของผมก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดไทยสีแดงแบบเดียวกับตุ๊กตานางรำที่อยู่ในศาล ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเธอสวยหรือไม่ เพราะที่ผมเห็นนั้นมีเพียงแค่ตั้งแต่ช่วงคอลงมาเท่านั้น ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอคนนั้นมีหัวหรือเปล่า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็พยายามเลี่ยงการกลับบ้านกลางคืนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
#ขอบคุณที่สละเวลาอันมีค่าของท่านมาอ่านนนะครับ555555