
เงินทองของนอกกายตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่! มันจะไปไหนล่ะถ้าเกิดเราตายไป (อันนี้ไม่ได้แช่งนะ) หลายคนคงเริ่มมีคำถามกันบ้างแล้ว หากจะให้พูดตามกฎหมายจะกำหนดให้ทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตตกทอดไปสู่ทายาท ไม่ว่าจะเป็นทายาทโดยพินัยกรรมที่เราต้องการมอบให้ หรือทายาทโดยธรรมตามที่กฎหมายกำหนดลำดับชั้นไว้

ทรัพย์สินแต่ละแบบก็มีวิธีการที่ต่างกันอย่าง เงินฝาก กองทุนรวม และหุ้นนั้น สามารถติดต่อสถาบันการเงินเพื่อขอปิดบัญชี แล้วนำเงินมารวมไว้ในกองมรดกก่อนแบ่งต่อไป แต่ใช่ว่าใครก็ทำได้ ผู้ที่จะติดต่อขอปิดบัญชีได้คือ “ผู้จัดการมรดก” ตามที่พินัยกรรมจะระบุชื่อไว้ แต่หากไม่มีพินัยกรรมหรือมีแต่ไม่ได้ระบุชื่อ ทายาทจะต้องร้องขอให้ศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเสียก่อน ซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองเดือน หลังจากนั้นจึงให้ผู้จัดการมรดกติดต่อสถาบันการเงินเพื่อปิดบัญชี

ส่วนกองทุนที่มีเงื่อนไขพิเศษเช่น กองทุน LTF/RMF ที่มีกฎการถือครองนั้น หากผู้ลงทุนไปสบาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(ขอใช้คำนี้นะแทนคำว่าตายละกัน) แล้ว ก็สามารถขายคืนได้โดยไม่ถือว่าผิดเงื่อนไข แต่กองทุนที่ระบุเวลาหรือเงื่อนไขการขายคืนอื่นๆ เช่น กองทุนตราสารหนี้แบบกำหนดระยะเวลา ต้องรอให้ครบตามเงื่อนไขก่อนนะถึงจะขายได้
สำหรับทายาทที่เป็นผู้เยาว์ (ยังไม่บรรลุนิติภาวะ) หากได้รับมรดกเป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เนื่องจากผู้เยาว์ไม่สามารถเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในชื่อบุตรตัวเองได้ ผู้จัดการมรดกสามารถขอให้ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ออกเป็น “ใบหุ้น” เพื่อให้ผู้เยาว์ถือครองไว้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องขายเป็นเงินสดออกมา เมื่อผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะแล้วก็ไปเปิดบัญชีหลักทรัพย์เพื่อถือครองหุ้นดังกล่าวในบัญชีตนเองต่อไป แต่กองทุนรวมนั้นผู้จัดการมรดกไม่สามารถขอให้ออกเป็นเอกสารเหมือนใบหุ้นได้ และทายาทผู้เยาว์ก็ไม่สามารถเปิดบัญชีกองทุนรวมไว้ได้ ดังนั้น จึงมักต้องขายกองทุนรวมนั้นออกไป
แต่มรดกบางประเภทก็เหมือนเขียนพินัยกรรมไว้แล้วเพราะทรัพย์สินได้ระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ไว้เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกรมธรรม์ประกันชีวิต ในกรณีที่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือผู้เอาประกันไปสบาย เงินดังกล่าวไม่ต้องตกเข้าสู่กองมรดกเหมือนทรัพย์สินทั่วไป ผู้รับผลประโยชน์ก็ติดต่อขอรับได้

แต่ถ้าไม่ได้ระบุผู้รับผลประโยชน์ในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายกำหนดให้จัดแบ่งเงินออกเป็นส่วน โดยลูกได้รับสองส่วน คู่สมรสหนึ่งส่วน และบิดามารดาได้รับหนึ่งส่วน เช่น หากมีเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ 1 ล้านบาท จะเป็นการแบ่งให้ลูกรวมกัน 5 แสนบาท คู่สมรส 2.5 แสนบาท และบิดามารดารวมกัน 2.5 แสนบาท หรือถ้าลูกตั้งแต่สามคนขึ้นไป บุตรก็จะได้รับสามส่วน ขณะที่คู่สมรสและบิดามารดาได้รับคนละหนึ่งส่วน ดังนั้นบุตรได้รับรวม 6 แสนบาท ขณะที่คู่สมรสและบิดามารดาได้รับฝ่ายละ 2 แสนบาท เป็นต้น สำหรับเงินจากกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นหากผู้รับผลประโยชน์เกิดไปสบายก่อนและผู้ทำประกันยังไม่ได้มีการแก้ไขรายชื่อ เงินดังกล่าวจะไปรวมอยู่ในกองมรดก

กรณีที่มรดกเป็นอสังหาริมทรัพย์ ให้ผู้จัดการมรดกนำหลักฐานต่างๆ อาทิ โฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงสิทธิพินัยกรรม ใบมรณบัตร เป็นต้น ไปติดต่อสำนักงานที่ดิน ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นคือ ค่าจดทะเบียนโอนมรดก ร้อยละ 2 ของราคาประเมิน แต่หากเป็นการโอนระหว่างเจ้าของทรัพย์กับผู้สืบสันดาน (ส่วนใหญ่คือกรณีพ่อแม่กับลูก) หรือระหว่างคู่สมรส กำหนดค่าธรรมเนียมที่ร้อยละ 0.5 ของราคาประเมิน
ถ้าจะให้สรุป
K-Expert ขอแนะนำว่า วิธีการที่ดีที่สุดคือการทำพินัยกรรมไว้ก่อน ถ้าระบุชื่อผู้จัดการมรดกไว้ก่อนได้ก็ยิ่งดี เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นภาระของลูกหลานในการดำเนินการภายหลัง ไหนจะต้องไปแจ้งศาลจัดตั้งผู้จัดการมรดกแล้วยังต้องรอเวลาอีก คิดซะว่าเพื่อความสบายใจจะได้ไปแบบสบายๆ อย่าคิดว่าเป็นการแช่งตนเองนะ
ตายแล้วเงินไปไหน ?
เงินทองของนอกกายตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่! มันจะไปไหนล่ะถ้าเกิดเราตายไป (อันนี้ไม่ได้แช่งนะ) หลายคนคงเริ่มมีคำถามกันบ้างแล้ว หากจะให้พูดตามกฎหมายจะกำหนดให้ทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตตกทอดไปสู่ทายาท ไม่ว่าจะเป็นทายาทโดยพินัยกรรมที่เราต้องการมอบให้ หรือทายาทโดยธรรมตามที่กฎหมายกำหนดลำดับชั้นไว้
ทรัพย์สินแต่ละแบบก็มีวิธีการที่ต่างกันอย่าง เงินฝาก กองทุนรวม และหุ้นนั้น สามารถติดต่อสถาบันการเงินเพื่อขอปิดบัญชี แล้วนำเงินมารวมไว้ในกองมรดกก่อนแบ่งต่อไป แต่ใช่ว่าใครก็ทำได้ ผู้ที่จะติดต่อขอปิดบัญชีได้คือ “ผู้จัดการมรดก” ตามที่พินัยกรรมจะระบุชื่อไว้ แต่หากไม่มีพินัยกรรมหรือมีแต่ไม่ได้ระบุชื่อ ทายาทจะต้องร้องขอให้ศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเสียก่อน ซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองเดือน หลังจากนั้นจึงให้ผู้จัดการมรดกติดต่อสถาบันการเงินเพื่อปิดบัญชี
ส่วนกองทุนที่มีเงื่อนไขพิเศษเช่น กองทุน LTF/RMF ที่มีกฎการถือครองนั้น หากผู้ลงทุนไปสบาย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ แล้ว ก็สามารถขายคืนได้โดยไม่ถือว่าผิดเงื่อนไข แต่กองทุนที่ระบุเวลาหรือเงื่อนไขการขายคืนอื่นๆ เช่น กองทุนตราสารหนี้แบบกำหนดระยะเวลา ต้องรอให้ครบตามเงื่อนไขก่อนนะถึงจะขายได้
สำหรับทายาทที่เป็นผู้เยาว์ (ยังไม่บรรลุนิติภาวะ) หากได้รับมรดกเป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เนื่องจากผู้เยาว์ไม่สามารถเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในชื่อบุตรตัวเองได้ ผู้จัดการมรดกสามารถขอให้ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ออกเป็น “ใบหุ้น” เพื่อให้ผู้เยาว์ถือครองไว้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องขายเป็นเงินสดออกมา เมื่อผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะแล้วก็ไปเปิดบัญชีหลักทรัพย์เพื่อถือครองหุ้นดังกล่าวในบัญชีตนเองต่อไป แต่กองทุนรวมนั้นผู้จัดการมรดกไม่สามารถขอให้ออกเป็นเอกสารเหมือนใบหุ้นได้ และทายาทผู้เยาว์ก็ไม่สามารถเปิดบัญชีกองทุนรวมไว้ได้ ดังนั้น จึงมักต้องขายกองทุนรวมนั้นออกไป
แต่มรดกบางประเภทก็เหมือนเขียนพินัยกรรมไว้แล้วเพราะทรัพย์สินได้ระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์ไว้เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกรมธรรม์ประกันชีวิต ในกรณีที่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือผู้เอาประกันไปสบาย เงินดังกล่าวไม่ต้องตกเข้าสู่กองมรดกเหมือนทรัพย์สินทั่วไป ผู้รับผลประโยชน์ก็ติดต่อขอรับได้
แต่ถ้าไม่ได้ระบุผู้รับผลประโยชน์ในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายกำหนดให้จัดแบ่งเงินออกเป็นส่วน โดยลูกได้รับสองส่วน คู่สมรสหนึ่งส่วน และบิดามารดาได้รับหนึ่งส่วน เช่น หากมีเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ 1 ล้านบาท จะเป็นการแบ่งให้ลูกรวมกัน 5 แสนบาท คู่สมรส 2.5 แสนบาท และบิดามารดารวมกัน 2.5 แสนบาท หรือถ้าลูกตั้งแต่สามคนขึ้นไป บุตรก็จะได้รับสามส่วน ขณะที่คู่สมรสและบิดามารดาได้รับคนละหนึ่งส่วน ดังนั้นบุตรได้รับรวม 6 แสนบาท ขณะที่คู่สมรสและบิดามารดาได้รับฝ่ายละ 2 แสนบาท เป็นต้น สำหรับเงินจากกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นหากผู้รับผลประโยชน์เกิดไปสบายก่อนและผู้ทำประกันยังไม่ได้มีการแก้ไขรายชื่อ เงินดังกล่าวจะไปรวมอยู่ในกองมรดก
กรณีที่มรดกเป็นอสังหาริมทรัพย์ ให้ผู้จัดการมรดกนำหลักฐานต่างๆ อาทิ โฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงสิทธิพินัยกรรม ใบมรณบัตร เป็นต้น ไปติดต่อสำนักงานที่ดิน ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นคือ ค่าจดทะเบียนโอนมรดก ร้อยละ 2 ของราคาประเมิน แต่หากเป็นการโอนระหว่างเจ้าของทรัพย์กับผู้สืบสันดาน (ส่วนใหญ่คือกรณีพ่อแม่กับลูก) หรือระหว่างคู่สมรส กำหนดค่าธรรมเนียมที่ร้อยละ 0.5 ของราคาประเมิน
ถ้าจะให้สรุป K-Expert ขอแนะนำว่า วิธีการที่ดีที่สุดคือการทำพินัยกรรมไว้ก่อน ถ้าระบุชื่อผู้จัดการมรดกไว้ก่อนได้ก็ยิ่งดี เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นภาระของลูกหลานในการดำเนินการภายหลัง ไหนจะต้องไปแจ้งศาลจัดตั้งผู้จัดการมรดกแล้วยังต้องรอเวลาอีก คิดซะว่าเพื่อความสบายใจจะได้ไปแบบสบายๆ อย่าคิดว่าเป็นการแช่งตนเองนะ