สวัสดีสวีดัด!!!ตามเวลาย่ำรุ่งของอินเดีย ตอนนี้ตีสามเกือบจะตีสี่แล้ว เรานอนไม่หลับเลย คือมันมีความอึดอัดคับข้องใจอย่างมากมายอยากที่จะบอกเล่าสู่กัน โดยเฉพาะเพื่อนๆที่หลงใหลได้ปลื้มกับการที่ชอบทำความรู้จักกับเพื่อนๆผ่านโลกออนไลน์ในเฟสบุ๊ค อิอิ หน่องในนั้นก็มีอิเจ้คนนี้อยู่ด้วย แต่คราวนี้ผิดหวังช้ำใจอย่างหนักหน่วง จนต้องมาร้อยเรียงเป็นบทความให้เพื่อนๆได้อ่านเป็นอุทาหร
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเกือยสองเดือนที่ผ่านมานั้นหน่องได้เข้าไปในกลุ่มของคนไทยในอินเดีย กลุ่มชื่ออะไรขอไม่ระบุก็แล้วกันนะคะ คือที่หน่องเข้าไปนั้นก็เพื่อเตรียมตัวหาข้อมูลในการเดินทางไปดินเดียค่ะ หน่องจำเป็นต้องตามฝาชีไปที่อินเดียเป็นเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งนางไปทำงานที่บังกาลอร์ ส่วนหน่องก้เตรียมข้อมูลแน่นมว๊ากกกกก เข้ากลุ่มของคนไทยในอินเดียจนกระทั่งได้รู้จักสาวไทยนางนึง ซึ่งนางอยู่ที่บังกาลอร์ อันที่จริงแล้วมีสาวไทยในบังกาลอร์ในกลุ่มนั้นสองคนค่ะ คนนึงเป็นนักศึกษาปริญญาเอก ส่วนอีกคนนึงเป็นสาววัยทำงานหน้าตาดูเรียบร้อยน่าเชื่อถือมากมายค่ะ ส่วนน้องนักศึกษาปริญญาเอกนั้นดูนางเปรี้ยวจี๊ดจนหน่องไม่กล้าทำความรู้จักหรือทักทายเป็นการส่วนตัว เพียงแต่น้องเค้าเข้ามาแนะนำเรื่องราวในบังกาลอร์คร่าวๆให้หน่องทราบเท่านั้น ส่วนตัวการที่ทำให้เรื่องนี้เกิดความปวดใจก็คือสาวไทยวัยทำงานนี่แหละค่ะ เริ่มที่ว่าหน่องก็ไปทิ้งคำถามไว้ในกลุ่มแล้วนางก็เข้ามาตอบ ทีนี้หน่องก็เลือกที่จะแอดเฟรนด์ไปหานางโดยตรงค่ะ นางก็รับแอดหน่องทันทีนะคะ แต่ก็มาได้คุยกันในวันถัดไป เพราะตอนที่หน่องทักไปนั้นเป็นเวลาสวนทางกันเนื่องจากหน่องอยู่อเมริกาเวลาทักนางไปก็จะเป็นเวลากลางวันของทางอเมริกาซึ่งทางอินเดียนั้นก็เป็นเวลากลางคืนก็ใกล้เคียงกะเวลาในประเทศไทยนั่นแหละค่ะ
หน่องก็ถามเรื่องราวต่างๆในอินเดีย โดยเฉพาะที่บังกาลอร์เพราะต้องต้องปักหลักอยู่ที่นั่น ทีนี้นางก็ถามหน่องว่ามากะใคร มาเที่ยวกี่วัน บลาๆๆๆ หน่องก็อธิบายไปตามความจริงทุกอย่างว่ามาทำอะไรนานเท่าไหร่มาถึงวันไหน นางก็บอกหน่องเลยว่ามาอินเดียนั้นจะต้องเตรียมอาหารแห้งแบบที่เราทานได้ เพราะอาหารอินเดียนั้นทานยากมาก ใครไม่คุ้นเคยก็อาจจะลำบากที่จะทาน และนางก็แนะนำสถานที่เที่ยวรอบๆบังกาลอรืมาให้หน่องได้ทราบ จนกระทั่งผ่านไปเกือยเดือนนางก็เข้ามาคอมเม้นท์ในเฟสบุ๊คของหน่องเวลาหน่องลงรูปภาพขนมที่หน่องทำ คือ ข้อความในคอมเม้น?ก็ประมาณว่า ''น่าทานจังเลยนี่ถ้าอยู่ใกล้ๆกันจะต้องเป็นลุกค้าประจำแน่นอน'' 555 เจอคอมเม้นท์แบบนี้มาหน่องก็เป็นปลื้มซิคะ คิดทันทีเลย เดี่ยวเราไปอินเดียเราจะต้องทำขนมไปให้นางชิมแน่นอน
หน่องก็ยิงคำถามกะนางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหน่องไปถามเรื่องการเรียนทำอาหารที่อินเดีย คือไหนๆหน่องมาตั้งเป็นเดือนก็เลยไม่อยากมาแบบไร้สาระไงคะ เลยกะว่าจะหาคลาสเรียนทำอาหารที่อินเดียด้วย ซึ่งนางก็ตอบกลับมาดีมากๆ แถมด้วยการส่งลิ้งค์โรงเรียนสอนทำอาหารมาให้ดูหลายที่เลยค่ะ
หน่องเองเห็นแบบนั้นก็ยิ่มเชื่อถือนางมากมาย เรียกว่าคุยกะฝาชีเลยว่า มีเพื่อนคนไทยที่อินเดีย ฉันจะทำขนมไปให้หล่อนชิมด้วย อิฝาชีก็เอออวยด้วยตลอดว่าดีๆเธอหล่อนคงคิดถึงขนมไทยๆ
จนกระทั่งช่วงกลางเดือนกันยานางก็ส่งข้อความถามเรื่องที่พักว่าอยู่แถวไหน ควรเป็นที่พักที่ไม่ไกลจากที่คุณสามีคุณหน่องทำงานนะคะมาอยู่เป็นเดือนแบบนี้ลองหาที่พักที่มีห้องครัว มีเครื่องซักผ้า มีที่นอนหมอนผ้าห่ม บลาๆๆ นางบอกอีกว่าอาหารข้างนอกนั้นแพงมากๆ 555 คือตอนนั้นหน่องก็คิดนะคะว่ามันจะไปแพงไรหนักหนาว๊าาาา เพราะการที่บริษัทที่อิฝาชีหน่องทำงานน่ะ เค้ามาเปิดสาขาที่อินเดียเพราะค่าครองชีพที่นี่มันถูก คือเรียกง่ายๆว่าต้นทุนต่ำมากๆกะการจ้างพนักงาน แต่นางก็อธิบายซะเวอร์เชียว ซึ่งตอนนั้นหน่องก็ไม่คิดไรมาก คิดแค่ว่า เออนางดีว่ะ แนะนำเราซะเยอะแยะมากมายเชียว และวันนั้นที่คิดกันในเฟสบุ๊ค นางก็ส่งลิ้งค์เป็นอพาร์ทเม้นท์เช่ารายเดือนมาให้หน่องด้วยนะคะ หน่องก็บอกนางไปว่าเรื่องที่พักนั้นนางบริษัทเค้าบุ๊คไว้ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ นางถามกลับมาทันทีว่าแถวไหน เผื่ออยู่ไม่ไกลกันมาก ไอ้คำว่าไม่ไกลกันมากหน่องก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่านางหมายถึงไม่ไกลจากที่นางพักรึเปล่า อันนี้หน่องก็ไม่ได้ถามนางไปนะคะ พอหน่องส่งที่อยู่ของโรงแรมที่หน่องกะฝาชีจะต้องไปพัก นางก็ส่งรูปของโรงแรมกลับมาถามหน่องอีกนะคะ ว่าใช่ที่นี่รึเปล่าคือตอนส่งที่อยู่โรงแรมไปให้นางดูนั้น เป็นที่อยู่ที่อิฝาชีของหน่องเค้าเขียนให้ลงในกระดาษ หน่องก็ถ่ายรูปส่งให้นางดู นางก็ตอบกลับมาทันทีว่าอยู่โรงแรมก็ทำอาหารกินไม่ได้ซินะ...แต่หน่องก็ตอบไปว่าคงได้ทำอาหารที่ปรุงสุกด้วยไมโครเวฟน่ะค่ะเพราะคาดว่าน่าจะมีไมโครเวฟ นางก็รีบตอบกลับมาว่าที่อินเดียนั้นปลากระป๋องหนึ่งป๋องก็ปาไปเกือบ300รูปี ... พอดีคุยๆกันอยู่แบ๊ตมือถือของหน่องดั๊นหมดซะงั้น เนื่องจากว่าวันที่นางทักมาหน่องอยู่สนามบินเลยต้องรอเข้าที่พัก พอดีวันนั้นหน่องเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนอิคุณฝาชีที่มิชิแกนพอดี
ถัดมาอีกวันหน่องก็รีบทักไปหานาง และแจ้งกำหนดการที่หน่องจะไปถึงอินเดีย และหน่องก็ถามนางไปว่าที่พักของคุณอยู่ไกลจากที่โรงแรมที่หน่องพักรึเปล่าคะ หน่องย้ำด้วยนะว่าหากไม่ไกลกันมาหน่องจะทำขนมไปฝากค่ะ หน่องบอกกำหนดการให้นางทราบอย่างละเอียด ว่าเดินทางถึงวันที่21ตุลาตอนตีหนึ่ง และจะเดินทางกลับวันที่17 พย. นางก็ตอบกลับมาดีมากๆเลยนะ ว่าไม่เป็นไรไม่ต้องทำขนมมาฝากหรอกค่ะ ไว้เจอกันเสาร์หรือทิตย์ค่ะ หน่องเลยตอบนางไปว่าหน่องต้องหอบขนมและอาหารแห้งไปกินอยู่แล้วค่ะ ไม่มีปัญหาหน่องจะทำไปเผื่อนะคะ นางก็ยังบอกว่าที่พักนางกะโรงแรมที่หน่องอยู่นั้นไม่ไกลกันมากแต่ก็ไม่ใกล้ อ๊ะนะ!!! เราก็เข้าใจไปเองโดนปริยายว่านางจะแวะมาหาเราเมื่อเรามาถึงอินเดีย และนางยังเน้นย้ำเรื่องสถานที่เรียนทำอาหารอีกนะ ว่าควรต้องหาที่เรียนใกล้ๆที่โรงแรมที่หน่องพัก โอ้วววว!!! แม่เจ้าเรายิ่งคุยกะนางเรายิ่งรู้สึกดีและเชื่อถือนางมากมาย เพราะด้วยโปรไฟล์ในเฟสบุ๊คของนางนั้นก็ดูเป็นคนดีน่าเชื่อถือ นางยังเน้นย้ำอีกว่าเดี่ยวจะช่วยหาโรงเรียนทำอาหารที่ใกล้กะโรงแรมที่หน่องพัก วันนั้น หน่องเลยขอบคุณนางเป้นการใหญ่ และทิ้งท้ายไว้ว่า ไว้เจอกันนะคะ วันทิตย์รึว่าวันเสาร์ เอาที่คุณจัดเวลาได้แบบสะดวกก็แล้วกัน ในที่สุดนางก็ให้เบอร์โทรของนางมา เป็นอันว่าหน่องเชื่อสนิทใจเลยว่านางต้องเป็นคนดีมีน้ำใจอย่างหนักหนาสาหัสเลยทีเดียว
เมื่อถึงกำหนดวันที่หน่องต้องเดินทางหน่องก็แจ้งกำหนดให้นางได้ทราบว่าหน่องจะถึงวันเสาร์ช่วงตีหนึ่ง แต่ในความจริงที่กว่าจะถึงอินเดียเครื่องบินมันดิเลย์ไปนิ๊สนึง และก็ต้องมารอคนรับไปส่งที่โรงแรมที่พักอีกก็ปาไปร่วมตีสี พอวันเสาร์ช่วงเที่ยงกว่าๆ หน่องกินมื้อเช้าเสร็จ คือกว่าหน่องจะตื่นลงมากินมื้อเช้าก็เกือบสิบโมงครึ่งแล้ว และหน่องก็เลยบอกนางไปว่าหน่องไม่ซื้อซิมใส่มือถือค่ะ เพราะในโรงแรมมีไวฟายใช้มันก็ดอเคอยู่ คือที่หน่องบอกไปแบบนั้นเพื่อให้นางเข้าใจได้ว่าที่หน่องไม่ได้โทรหานางเพราะหน่องไม่มีซิมโทรศัพท์ และก็ไม่ได้คิดที่จะซื้อซิมโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ หน่องส่งข้อความบอกนางไปตอนเที่ยงกว่าๆ ถัดมาอีกสองชั่วโมงนางก็ตอบกลับมาว่า ยินดีต้อนรับสู่บังกาลอร์ และย้ำอีกว่าจะมาหาเรานะคะ แต่วันนี้คงไม่สะดวกเพราะรู้สึกไม่สบายตั้งแต่เมื่อวาน ไอ้เราก็เข้าใจนะคะว่านางไม่สบาย แถมนางยังพูดดีมากๆเลยว่าคุณหน่องเดินทางมาเหนื่อยๆก้พักผ่อนเถอะค่ะ หน่องรีบบอกนางไปว่าวันทิตย์หน่องต้องไปทานข้าวกะเพื่อนร่วมงานของสามี คงไม่ได้เจอกันในวันทิตย์นี้
พอเย็นวันทิตย์เมื่อหน่องกลับเข้าโรงแรมที่พัก นางก็ส่งข้อความมาถามด้วยนะว่า เป็นไงบ้างทานข้าวกะเพื่อนสามี คือนาทีนั้นหน่องขี้เกียจพิมพ์กลับไปนะ เลยโทรหานางทันทีในเฟสบุ๊ค ก็ได้คุยกะนางเกือบชั่วโมงเลยน๊าาา คุยกันไปคุยกันมา นางก็บอกหน่องว่าวันจันทร์นางหยุดงาน นางต้องไปตรวจสุขภาพประจำปี ช่วงเช้าตอน7โมง เดี่ยวเสร็จแล้วจะแวะมาหาหน่องค๊าาาา 555 อิเจ้หน่องก็ตื่นเต้นซิคะจะได้เจอตัวนางผู้แสนดีซะที เรียกว่าคืนนั้นหลับฝันหวานเลยทีเดียวค๊าาาา
เมื่อวันจันทร์มาถึงซึ่งก้เป็นวันแรกที่อิฝาชีของหน่องจะต้องไปทำงาน ต้องบอกก่อนนะคะว่าเวลาที่อิฝาชีของหน่องทำงานคือหกโมงเย็นถึงตีสามครึ่ง เนื่องจากว่าพนักงานที่อินเดียจะต้องเข้างานในเวลาเดียวกันกับที่อเมริกา และแล้ววันแห่งความเลวร้ายของหน่องก็มาถึงค๊าาาา วันที่หน่องตั้งตารอคอยนางผู้แสนดีนางผู้พูดจาไพเราะมากมาย อิอิ คือหลงเสียงนางตั้งแต่ได้คุยกันก็ว่าได้....เช่าตรู่วันจันทร์หน่องก็ส่งข้อความไปถามนางเรื่องน่ำปลา คือหน่องถามนางไปว่า รบกวนถามเรื่องน้ำปลาหน่อยค่ะไม่รู้ว่าซุปเปอร์ที่นั่นเค้ามีน้ำปลาขายรึเปล่า เพราะเท่าที่ได้กินอาหารที่ในโรงแรมหน่องก็ไม่เห็นเค้ามีอาหารชนิดใดปรุงด้วยน้ำปลาเลย ที่หน่องถามไปเพราะเพื่อความแน่ใจก่อนที่จะไปหาซื้อ นางเองก็บอกมานะว่าอาจจะมีค่ะ ลองหาดูนะ ถ้าหาไม่ได้บอกนะ ไอ้ค่ำว่าบอกนะนี่แหละค่ะ ยิ่งตอกย้ำว่านางเป็นห่วงเป็นใยเรามากมาย 555 ความเชื่อคนง่ายไว้ใจคนง่ายจร
เช้าวันจันทร์ผ่านไปครึ่งวันค๊าาาา ไร้วี่แววการติดต่อกลับมาของนางผู้แสนดี เราก็คิดว่าคงใกล้เสร็จแล้วมั้ง เพราะนางบอกว่าพบหมอตรวจสุขภาพ ไม่นานราวๆเที่ยงครึ่ง นางส่งข้อความมาค่ะ ว่ายังอยู่โรงพยาบาลอยู่เลยค่ะ เราก็รีบตอบกลับไปนะว่าไม่รีบค่ะ ตามสบายเลย มาถึงเมื่อไหร่ก็สะกิดมาละกันนะ
นั่นคือข้อความที่หน่องตอบกลับไปตอนเที่ยงครึ่ง ถัดมาเกือบ4ชั่วโมงค๊าาา นางส่งข้อความมาว่า เพิ่งเสร็จจากหมอ ได้ยามาเยอะแยะเลย เดี๋ยวขอกินข้าวก่อนคือหิวมากนางว่างั้น แล้วจะไปหาซื้อวิมมือถือให้เรา...ท้าวความมาตรงเรื่องซิมมือถือก่อนนะคะ คือเมื่อวันเสาร์ที่นางได้คุยกะหน่องน่ะ นางก็พูดเรื่องซิมมือถือว่ามันจพเป็นต้องใช้นะคะ เพราะที่นี่ถ้าออกไปไหนมาไหนเวลาเราจะนั่งรถที่ปลอดภัยนั้นต้องเรียกอุเบอร์คือจึงจำเป็นมากมายที่ต้องมีซิมมือถือค่ะ นางถามหน่องว่าบริษัทที่สามีหน่องทำงานเค้าไม่ซื้อให้หรือคะ บริษัทเค้าสามารถออกใบรับรองให้พนักงานได้ค่ะ เพราะการที่นักท่องเที่ยวจะซื้อซิมมือถือที่อินเดียนั้นมันยุ่งยากมากๆ เผลอๆคือไม่สามารถซื้อได้นะคะ ถ้าบริษัทที่สามีคุณหน่องทำงานเค้าไม่จัดการเรื่องซิมมือถือให้ก็ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวนางจะซื้อให้เอง โอ้วววว!!! ซึ้งใจอย่างใหญ่หลวงซิคะ หน่องรีบตอบว่าไม่ได้ๆนะ หน่องต้องจ่ายตังจะมาซื้อให้เฉยๆไม่ได้นะ 555 นางบอกว่าไม่เป็นไรค่ะมันไม่แพง
เดี่ยวมาต่อนะคะ พักแป๊บนึง
มิตรภาพกำมะลอที่บังกาลอร์
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อเกือยสองเดือนที่ผ่านมานั้นหน่องได้เข้าไปในกลุ่มของคนไทยในอินเดีย กลุ่มชื่ออะไรขอไม่ระบุก็แล้วกันนะคะ คือที่หน่องเข้าไปนั้นก็เพื่อเตรียมตัวหาข้อมูลในการเดินทางไปดินเดียค่ะ หน่องจำเป็นต้องตามฝาชีไปที่อินเดียเป็นเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งนางไปทำงานที่บังกาลอร์ ส่วนหน่องก้เตรียมข้อมูลแน่นมว๊ากกกกก เข้ากลุ่มของคนไทยในอินเดียจนกระทั่งได้รู้จักสาวไทยนางนึง ซึ่งนางอยู่ที่บังกาลอร์ อันที่จริงแล้วมีสาวไทยในบังกาลอร์ในกลุ่มนั้นสองคนค่ะ คนนึงเป็นนักศึกษาปริญญาเอก ส่วนอีกคนนึงเป็นสาววัยทำงานหน้าตาดูเรียบร้อยน่าเชื่อถือมากมายค่ะ ส่วนน้องนักศึกษาปริญญาเอกนั้นดูนางเปรี้ยวจี๊ดจนหน่องไม่กล้าทำความรู้จักหรือทักทายเป็นการส่วนตัว เพียงแต่น้องเค้าเข้ามาแนะนำเรื่องราวในบังกาลอร์คร่าวๆให้หน่องทราบเท่านั้น ส่วนตัวการที่ทำให้เรื่องนี้เกิดความปวดใจก็คือสาวไทยวัยทำงานนี่แหละค่ะ เริ่มที่ว่าหน่องก็ไปทิ้งคำถามไว้ในกลุ่มแล้วนางก็เข้ามาตอบ ทีนี้หน่องก็เลือกที่จะแอดเฟรนด์ไปหานางโดยตรงค่ะ นางก็รับแอดหน่องทันทีนะคะ แต่ก็มาได้คุยกันในวันถัดไป เพราะตอนที่หน่องทักไปนั้นเป็นเวลาสวนทางกันเนื่องจากหน่องอยู่อเมริกาเวลาทักนางไปก็จะเป็นเวลากลางวันของทางอเมริกาซึ่งทางอินเดียนั้นก็เป็นเวลากลางคืนก็ใกล้เคียงกะเวลาในประเทศไทยนั่นแหละค่ะ
หน่องก็ถามเรื่องราวต่างๆในอินเดีย โดยเฉพาะที่บังกาลอร์เพราะต้องต้องปักหลักอยู่ที่นั่น ทีนี้นางก็ถามหน่องว่ามากะใคร มาเที่ยวกี่วัน บลาๆๆๆ หน่องก็อธิบายไปตามความจริงทุกอย่างว่ามาทำอะไรนานเท่าไหร่มาถึงวันไหน นางก็บอกหน่องเลยว่ามาอินเดียนั้นจะต้องเตรียมอาหารแห้งแบบที่เราทานได้ เพราะอาหารอินเดียนั้นทานยากมาก ใครไม่คุ้นเคยก็อาจจะลำบากที่จะทาน และนางก็แนะนำสถานที่เที่ยวรอบๆบังกาลอรืมาให้หน่องได้ทราบ จนกระทั่งผ่านไปเกือยเดือนนางก็เข้ามาคอมเม้นท์ในเฟสบุ๊คของหน่องเวลาหน่องลงรูปภาพขนมที่หน่องทำ คือ ข้อความในคอมเม้น?ก็ประมาณว่า ''น่าทานจังเลยนี่ถ้าอยู่ใกล้ๆกันจะต้องเป็นลุกค้าประจำแน่นอน'' 555 เจอคอมเม้นท์แบบนี้มาหน่องก็เป็นปลื้มซิคะ คิดทันทีเลย เดี่ยวเราไปอินเดียเราจะต้องทำขนมไปให้นางชิมแน่นอน
หน่องก็ยิงคำถามกะนางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหน่องไปถามเรื่องการเรียนทำอาหารที่อินเดีย คือไหนๆหน่องมาตั้งเป็นเดือนก็เลยไม่อยากมาแบบไร้สาระไงคะ เลยกะว่าจะหาคลาสเรียนทำอาหารที่อินเดียด้วย ซึ่งนางก็ตอบกลับมาดีมากๆ แถมด้วยการส่งลิ้งค์โรงเรียนสอนทำอาหารมาให้ดูหลายที่เลยค่ะ
หน่องเองเห็นแบบนั้นก็ยิ่มเชื่อถือนางมากมาย เรียกว่าคุยกะฝาชีเลยว่า มีเพื่อนคนไทยที่อินเดีย ฉันจะทำขนมไปให้หล่อนชิมด้วย อิฝาชีก็เอออวยด้วยตลอดว่าดีๆเธอหล่อนคงคิดถึงขนมไทยๆ
จนกระทั่งช่วงกลางเดือนกันยานางก็ส่งข้อความถามเรื่องที่พักว่าอยู่แถวไหน ควรเป็นที่พักที่ไม่ไกลจากที่คุณสามีคุณหน่องทำงานนะคะมาอยู่เป็นเดือนแบบนี้ลองหาที่พักที่มีห้องครัว มีเครื่องซักผ้า มีที่นอนหมอนผ้าห่ม บลาๆๆ นางบอกอีกว่าอาหารข้างนอกนั้นแพงมากๆ 555 คือตอนนั้นหน่องก็คิดนะคะว่ามันจะไปแพงไรหนักหนาว๊าาาา เพราะการที่บริษัทที่อิฝาชีหน่องทำงานน่ะ เค้ามาเปิดสาขาที่อินเดียเพราะค่าครองชีพที่นี่มันถูก คือเรียกง่ายๆว่าต้นทุนต่ำมากๆกะการจ้างพนักงาน แต่นางก็อธิบายซะเวอร์เชียว ซึ่งตอนนั้นหน่องก็ไม่คิดไรมาก คิดแค่ว่า เออนางดีว่ะ แนะนำเราซะเยอะแยะมากมายเชียว และวันนั้นที่คิดกันในเฟสบุ๊ค นางก็ส่งลิ้งค์เป็นอพาร์ทเม้นท์เช่ารายเดือนมาให้หน่องด้วยนะคะ หน่องก็บอกนางไปว่าเรื่องที่พักนั้นนางบริษัทเค้าบุ๊คไว้ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ นางถามกลับมาทันทีว่าแถวไหน เผื่ออยู่ไม่ไกลกันมาก ไอ้คำว่าไม่ไกลกันมากหน่องก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่านางหมายถึงไม่ไกลจากที่นางพักรึเปล่า อันนี้หน่องก็ไม่ได้ถามนางไปนะคะ พอหน่องส่งที่อยู่ของโรงแรมที่หน่องกะฝาชีจะต้องไปพัก นางก็ส่งรูปของโรงแรมกลับมาถามหน่องอีกนะคะ ว่าใช่ที่นี่รึเปล่าคือตอนส่งที่อยู่โรงแรมไปให้นางดูนั้น เป็นที่อยู่ที่อิฝาชีของหน่องเค้าเขียนให้ลงในกระดาษ หน่องก็ถ่ายรูปส่งให้นางดู นางก็ตอบกลับมาทันทีว่าอยู่โรงแรมก็ทำอาหารกินไม่ได้ซินะ...แต่หน่องก็ตอบไปว่าคงได้ทำอาหารที่ปรุงสุกด้วยไมโครเวฟน่ะค่ะเพราะคาดว่าน่าจะมีไมโครเวฟ นางก็รีบตอบกลับมาว่าที่อินเดียนั้นปลากระป๋องหนึ่งป๋องก็ปาไปเกือบ300รูปี ... พอดีคุยๆกันอยู่แบ๊ตมือถือของหน่องดั๊นหมดซะงั้น เนื่องจากว่าวันที่นางทักมาหน่องอยู่สนามบินเลยต้องรอเข้าที่พัก พอดีวันนั้นหน่องเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนอิคุณฝาชีที่มิชิแกนพอดี
ถัดมาอีกวันหน่องก็รีบทักไปหานาง และแจ้งกำหนดการที่หน่องจะไปถึงอินเดีย และหน่องก็ถามนางไปว่าที่พักของคุณอยู่ไกลจากที่โรงแรมที่หน่องพักรึเปล่าคะ หน่องย้ำด้วยนะว่าหากไม่ไกลกันมาหน่องจะทำขนมไปฝากค่ะ หน่องบอกกำหนดการให้นางทราบอย่างละเอียด ว่าเดินทางถึงวันที่21ตุลาตอนตีหนึ่ง และจะเดินทางกลับวันที่17 พย. นางก็ตอบกลับมาดีมากๆเลยนะ ว่าไม่เป็นไรไม่ต้องทำขนมมาฝากหรอกค่ะ ไว้เจอกันเสาร์หรือทิตย์ค่ะ หน่องเลยตอบนางไปว่าหน่องต้องหอบขนมและอาหารแห้งไปกินอยู่แล้วค่ะ ไม่มีปัญหาหน่องจะทำไปเผื่อนะคะ นางก็ยังบอกว่าที่พักนางกะโรงแรมที่หน่องอยู่นั้นไม่ไกลกันมากแต่ก็ไม่ใกล้ อ๊ะนะ!!! เราก็เข้าใจไปเองโดนปริยายว่านางจะแวะมาหาเราเมื่อเรามาถึงอินเดีย และนางยังเน้นย้ำเรื่องสถานที่เรียนทำอาหารอีกนะ ว่าควรต้องหาที่เรียนใกล้ๆที่โรงแรมที่หน่องพัก โอ้วววว!!! แม่เจ้าเรายิ่งคุยกะนางเรายิ่งรู้สึกดีและเชื่อถือนางมากมาย เพราะด้วยโปรไฟล์ในเฟสบุ๊คของนางนั้นก็ดูเป็นคนดีน่าเชื่อถือ นางยังเน้นย้ำอีกว่าเดี่ยวจะช่วยหาโรงเรียนทำอาหารที่ใกล้กะโรงแรมที่หน่องพัก วันนั้น หน่องเลยขอบคุณนางเป้นการใหญ่ และทิ้งท้ายไว้ว่า ไว้เจอกันนะคะ วันทิตย์รึว่าวันเสาร์ เอาที่คุณจัดเวลาได้แบบสะดวกก็แล้วกัน ในที่สุดนางก็ให้เบอร์โทรของนางมา เป็นอันว่าหน่องเชื่อสนิทใจเลยว่านางต้องเป็นคนดีมีน้ำใจอย่างหนักหนาสาหัสเลยทีเดียว
เมื่อถึงกำหนดวันที่หน่องต้องเดินทางหน่องก็แจ้งกำหนดให้นางได้ทราบว่าหน่องจะถึงวันเสาร์ช่วงตีหนึ่ง แต่ในความจริงที่กว่าจะถึงอินเดียเครื่องบินมันดิเลย์ไปนิ๊สนึง และก็ต้องมารอคนรับไปส่งที่โรงแรมที่พักอีกก็ปาไปร่วมตีสี พอวันเสาร์ช่วงเที่ยงกว่าๆ หน่องกินมื้อเช้าเสร็จ คือกว่าหน่องจะตื่นลงมากินมื้อเช้าก็เกือบสิบโมงครึ่งแล้ว และหน่องก็เลยบอกนางไปว่าหน่องไม่ซื้อซิมใส่มือถือค่ะ เพราะในโรงแรมมีไวฟายใช้มันก็ดอเคอยู่ คือที่หน่องบอกไปแบบนั้นเพื่อให้นางเข้าใจได้ว่าที่หน่องไม่ได้โทรหานางเพราะหน่องไม่มีซิมโทรศัพท์ และก็ไม่ได้คิดที่จะซื้อซิมโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ หน่องส่งข้อความบอกนางไปตอนเที่ยงกว่าๆ ถัดมาอีกสองชั่วโมงนางก็ตอบกลับมาว่า ยินดีต้อนรับสู่บังกาลอร์ และย้ำอีกว่าจะมาหาเรานะคะ แต่วันนี้คงไม่สะดวกเพราะรู้สึกไม่สบายตั้งแต่เมื่อวาน ไอ้เราก็เข้าใจนะคะว่านางไม่สบาย แถมนางยังพูดดีมากๆเลยว่าคุณหน่องเดินทางมาเหนื่อยๆก้พักผ่อนเถอะค่ะ หน่องรีบบอกนางไปว่าวันทิตย์หน่องต้องไปทานข้าวกะเพื่อนร่วมงานของสามี คงไม่ได้เจอกันในวันทิตย์นี้
พอเย็นวันทิตย์เมื่อหน่องกลับเข้าโรงแรมที่พัก นางก็ส่งข้อความมาถามด้วยนะว่า เป็นไงบ้างทานข้าวกะเพื่อนสามี คือนาทีนั้นหน่องขี้เกียจพิมพ์กลับไปนะ เลยโทรหานางทันทีในเฟสบุ๊ค ก็ได้คุยกะนางเกือบชั่วโมงเลยน๊าาา คุยกันไปคุยกันมา นางก็บอกหน่องว่าวันจันทร์นางหยุดงาน นางต้องไปตรวจสุขภาพประจำปี ช่วงเช้าตอน7โมง เดี่ยวเสร็จแล้วจะแวะมาหาหน่องค๊าาาา 555 อิเจ้หน่องก็ตื่นเต้นซิคะจะได้เจอตัวนางผู้แสนดีซะที เรียกว่าคืนนั้นหลับฝันหวานเลยทีเดียวค๊าาาา
เมื่อวันจันทร์มาถึงซึ่งก้เป็นวันแรกที่อิฝาชีของหน่องจะต้องไปทำงาน ต้องบอกก่อนนะคะว่าเวลาที่อิฝาชีของหน่องทำงานคือหกโมงเย็นถึงตีสามครึ่ง เนื่องจากว่าพนักงานที่อินเดียจะต้องเข้างานในเวลาเดียวกันกับที่อเมริกา และแล้ววันแห่งความเลวร้ายของหน่องก็มาถึงค๊าาาา วันที่หน่องตั้งตารอคอยนางผู้แสนดีนางผู้พูดจาไพเราะมากมาย อิอิ คือหลงเสียงนางตั้งแต่ได้คุยกันก็ว่าได้....เช่าตรู่วันจันทร์หน่องก็ส่งข้อความไปถามนางเรื่องน่ำปลา คือหน่องถามนางไปว่า รบกวนถามเรื่องน้ำปลาหน่อยค่ะไม่รู้ว่าซุปเปอร์ที่นั่นเค้ามีน้ำปลาขายรึเปล่า เพราะเท่าที่ได้กินอาหารที่ในโรงแรมหน่องก็ไม่เห็นเค้ามีอาหารชนิดใดปรุงด้วยน้ำปลาเลย ที่หน่องถามไปเพราะเพื่อความแน่ใจก่อนที่จะไปหาซื้อ นางเองก็บอกมานะว่าอาจจะมีค่ะ ลองหาดูนะ ถ้าหาไม่ได้บอกนะ ไอ้ค่ำว่าบอกนะนี่แหละค่ะ ยิ่งตอกย้ำว่านางเป็นห่วงเป็นใยเรามากมาย 555 ความเชื่อคนง่ายไว้ใจคนง่ายจร
เช้าวันจันทร์ผ่านไปครึ่งวันค๊าาาา ไร้วี่แววการติดต่อกลับมาของนางผู้แสนดี เราก็คิดว่าคงใกล้เสร็จแล้วมั้ง เพราะนางบอกว่าพบหมอตรวจสุขภาพ ไม่นานราวๆเที่ยงครึ่ง นางส่งข้อความมาค่ะ ว่ายังอยู่โรงพยาบาลอยู่เลยค่ะ เราก็รีบตอบกลับไปนะว่าไม่รีบค่ะ ตามสบายเลย มาถึงเมื่อไหร่ก็สะกิดมาละกันนะ
นั่นคือข้อความที่หน่องตอบกลับไปตอนเที่ยงครึ่ง ถัดมาเกือบ4ชั่วโมงค๊าาา นางส่งข้อความมาว่า เพิ่งเสร็จจากหมอ ได้ยามาเยอะแยะเลย เดี๋ยวขอกินข้าวก่อนคือหิวมากนางว่างั้น แล้วจะไปหาซื้อวิมมือถือให้เรา...ท้าวความมาตรงเรื่องซิมมือถือก่อนนะคะ คือเมื่อวันเสาร์ที่นางได้คุยกะหน่องน่ะ นางก็พูดเรื่องซิมมือถือว่ามันจพเป็นต้องใช้นะคะ เพราะที่นี่ถ้าออกไปไหนมาไหนเวลาเราจะนั่งรถที่ปลอดภัยนั้นต้องเรียกอุเบอร์คือจึงจำเป็นมากมายที่ต้องมีซิมมือถือค่ะ นางถามหน่องว่าบริษัทที่สามีหน่องทำงานเค้าไม่ซื้อให้หรือคะ บริษัทเค้าสามารถออกใบรับรองให้พนักงานได้ค่ะ เพราะการที่นักท่องเที่ยวจะซื้อซิมมือถือที่อินเดียนั้นมันยุ่งยากมากๆ เผลอๆคือไม่สามารถซื้อได้นะคะ ถ้าบริษัทที่สามีคุณหน่องทำงานเค้าไม่จัดการเรื่องซิมมือถือให้ก็ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวนางจะซื้อให้เอง โอ้วววว!!! ซึ้งใจอย่างใหญ่หลวงซิคะ หน่องรีบตอบว่าไม่ได้ๆนะ หน่องต้องจ่ายตังจะมาซื้อให้เฉยๆไม่ได้นะ 555 นางบอกว่าไม่เป็นไรค่ะมันไม่แพง
เดี่ยวมาต่อนะคะ พักแป๊บนึง