จากโครงการ "ก้าวคนละก้าว" ที่ใครต่อใครต่างก็ออกมาแสดงความเห็นกัน ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนใหญ่เป็นไปในทางสนับสนุนอยู่แล้ว เพราะการทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อทุ่มเทแรงกายแรงใจกันขนาดนี้ ยังไงก็ถูกจริตโดนใจคนไทยส่วนใหญ่อยู่แล้ว
แต่อีกหลายเสียงซึ่งมักจะเป็นเสียงที่ดังเพราะมีตำแหน่งนักวิชาการด้านต่างๆ แบ็คอยู่ข้างหลัง ทำให้ดูน่าเชื่อถือ และเหมือนว่าเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผล จนไม่เห็นมีใครชี้ความไม่สมบูรณ์หรือไม่สมเหตุสมผลของเสียงเหล่านั้นได้เลย อย่างมากก็โต้แย้งไปในทางอื่น เช่นว่า เอาแต่คิด ไม่เคยลงมือทำ, หรือไม่ก็ ถึงแม้ไม่ได้แก้ที่สาเหตุ แต่ก็เป็นการทำดีทำบุญ ไม่ควรไปขัดขวาง
รอดูมาหลายวันแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดในใจ ยังไม่เห็นมีความคิดใหม่ๆ ออกมา จึงขอโอกาสเสนอความเห็นบ้าง เพื่อเสนอความเห็นที่(น่าจะ)ตรงต่อความเป็นจริงมากกว่าให้ลองพิจารณากัน ดังนี้
1. วิธีปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา ไม่ได้มีเพียงต้อง "แก้ที่สาเหตุ" เท่านั้น
2. แม้สาเหตุของปัญหาหนึ่งๆ ก็ไม่ได้มีเพียงประการเดียว (ไม่มี "เหตุเดียวผลเดียว" ในโลก) หรือแค่ระดับเดียว จึงไม่ได้มีวิธีแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว
3. ที่จริงแล้ว "ก้าวคนละก้าว" อาจเป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุแท้จริง เสียด้วยซ้ำ
* * *
ข้อแรก คือตรรกะที่ไม่ครบถ้วนว่า เราจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหา ต้องให้มันตรงไปที่สาเหตุเท่านั้น
ขอถามกลับไปยังคนที่ตำหนิโครงการนี้โดยคิดแค่ว่า โครงการที่ไม่ได้แก้ปัญหาที่สาเหตุ ย่อมไม่มีประโยชน์และไม่ควรต้องทำ โดยขอยกตัวอย่างปัญหาในชีวิตจริงมาเทียบเคียง เอาง่ายๆ ครับเช่นว่า ...
- วิธีการต่างๆ ที่หมอใช้รักษาคนไข้แก้ไขอาการเจ็บป่วยนั้น เป็นการแก้ที่สาเหตุตรงๆ เลยทุกขั้นตอนหรือไม่? การให้น้ำเกลือ, ยาแก้ปวดหัว, ยาลดความดัน, สเตียรอยด์แก้แพ้ทั้งหลาย เป็นยาที่แก้โรคที่สาเหตุหรือ? ป่วยไข้หนาวสั่นจะเป็นจะตาย หมอยังวิเคราะห์ไม่ได้ว่า เกิดจากสาเหตุใดจริงๆ จะไม่ให้ยาที่ช่วยลดอาการเหล่านั้นก่อนเลยเหรอ
- นักกีฬาลงแข่งขันในสนาม เป็นตะคริว แล้วพ่นยาชา นั่นแก้ปัญหาที่สาเหตุหรือ?
- ทำธุรกิจ เงินช็อตเพราะคุณจัดสรรเงินผิดพลาด หรือมีอุบัติเหตุทางธุรกิจ แก้ไขด้วยการไปกู้เงินยืมเงนเขามาหมุนก่อน นั่นแก้ปัญหาที่สาเหตุหรือ?
- การทะเลาะกัน แก่งแย่งผลประโยชน์กัน จนเป็นปัญหาระหว่างประเทศ แล้วใช้สงครามและอาวุธเข้าจัดการกัน นั่นแก้ปัญหาที่สาเหตุจริงหรือ? (ไม่ค่อยเห็นนักวิชาการด้านการเมืองการปกครอง วิจารณ์เรื่องนี้เลย ทั้งที่ใหญ่และส่งผลต่อคนจำนวนมากจริงๆ) ... ถ้าเอาค่าใช้จ่ายที่ลงไปกับสงคราม เปลี่ยนเป็นข้าวปลาอาหาร ทรัพยากร สาธารณูปโภค ช่วยเหลือกัน จนกลายเป็นมิตรประเทศกัน ยอมฟังกัน รอมชอมกัน อาจแก้ไขปัญหาสงครามระหว่างประเทศมาได้ตั้งนานแล้ว โดยไม่ต้องมานั่งตั้งคำถามกันอย่างทุกวันนี้ว่า ต้องเพิ่มงบประมาณทางทหารกันอีกเท่าไหร่ จึงจะเพียงพอแก้ปัญหาพวกนี้ (ผมไม่ได้พูดถึงงบประมาณของประเทศไหนนะครับ และแน่นอนว่าอาวุธป้องกันตัวยังจำเป็นในโลกที่คนไม่ได้คิดได้เหมือนกันหมด) ... เรื่องแบบนี้ นักวิชาการคนไหนเคยเสนอความคิดที่มีตรรกะออกมากันบ้างมั้ย
- ครอบครัวเงินช็อต ลูกไม่มีกินเพราะพ่อแม่ตกงานหรือเอาเงินไปเล่นพนันหมด คุณไปเจอคนแบบนี้เข้า คุณจะรอสอนพ่อแม่เขาให้ทำงานเป็นหรือเลิกเป็นผีพนันแล้วหาเงินมาเลี้ยงลูกจนได้ (ซึ่งคงใช้เวลาพอสมควร) โดยไม่คิดจะหาอาหารมาประคับประคองชีวิตลูกเค้าก่อนเหรอครับ
- ถ้าเปรียบเทียบครอบครัวเป็นประเทศชาติ เทียบพ่อแม่เป็นรัฐบาล (ไม่ว่าจะนักการเมืองอาชีพหรือผู้นำทหาร) แล้วให้ลูกคือประชาชนตาดำๆ อย่างเรา จะเห็นภาพมากขึ้นครับ ... เราจะเลือกรอสอนพ่อแม่ให้ทำงานเป็น หรือเลิกโกงเงินลูกๆ แล้วหันมาเลี้ยงลูกอย่างมีคุณธรรม ผมว่า ลูกจะอดตายซะก่อนครับ (ถ้าไม่คิดในแง่ว่า ไม่มีวันสอนคนพวกนี้ได้แล้ว)
ที่จริง สิ่งที่เราทำส่วนใหญ่ในชีวิตไม่ค่อยได้แก้ปัญหาที่สาเหตุโดยตรงหรอก แต่ก็มีส่วนช่วยแก้สถานการณ์ให้เบาลง ง่ายขึ้นในการแก้ไขต่อไป ขั้นตอนเหล่านี้จำเป็นจริงๆ และไม่ถือว่าผิดวิธีอะไรเลย สำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
คนที่ติดยึดกับหลักการแก้ปัญหาต่างๆ ว่าต้องแก้ที่สาเหตุเท่านั้นจึงจะได้ผลสำเร็จแท้จริงและยืนยาว (ซึ่งก็เป็นความจริงประการหนึ่ง) มักจะมองพลาดจากความจริงว่า ที่จริงแล้วสิ่งที่คนเราลงมือทำเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ นั้นไม่จำเป็นต้องตรงไปสู่สาเหตุของปัญหาเท่านั้น แต่หลายสิ่งเราทำไปเพื่อจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าก่อนเพื่อให้ความวุ่นวายยุ่งยากเบาบางลงก่อน ช่วยปรับฐาน หรือสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อเอื้อให้การลงมือตรงต่อสาเหตุจริงๆ นั้นทำงานได้ด้วย
ถ้าจะวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์จริงๆ ว่า โครงการนี้ไม่แก้ปัญหาที่สาเหตุ
ผมว่าควรวิเคราะห์แล้วยิงแรงๆ ไปหาผู้ที่ทำงานในหน้าที่นั้นโดยตรง ให้ลงมือทำงานอย่างจริงจังและซื่อสัตย์
มากกว่าจะวิเคราะห์มาขัดขวางโครงการกันอย่างที่บางคนทำกันอยู่
* * *
ข้อสอง ตรรกะที่เข้าใจผิดว่า ปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นมาเพราะสาเหตุประการเดียว ที่จริงปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นมาได้มีสาเหตุหลายอย่างประกอบกัน วิธีแก้ไขจึงต้องอาศัยหลายวิธีและขั้นตอนแก้ไขแต่ละสาเหตุ
โรคภัยไข้เจ็บของคน ย่อมเกิดทั้งจากเชื้อโรค, ร่างกายที่อ่อนแอ, อุบัติเหตุ ประกอบกัน ... ส่วนร่างกายที่อ่อนแอก็อาจเกิดได้ทั้งจาก พันธุกรรม, ความเจ็บป่วยเรื่องอื่นที่ส่งผลต่อเนื่องมา, การไม่รักษาสุขภาพ, ไปจนถึง ความจำเป็นในหน้าที่การงาน และเหตุอื่นอีกมากมาย ... การจะแก้ไขปัญหาโรคภัยให้คนไข้หนึ่งคน จึงอาจต้องประมวลวิธีหลายประการประกอบกัน ไม่เพียงกินยาที่ตรงกับโรคเท่านั้น คนไข้ก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย และอาจรวมไปถึงการได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างด้วย ... คุณหมอที่มองเพียงเป็นโรคก็กินยาหรือผ่าตัด แล้วมองข้ามกำลังใจของญาติมิตรคนไข้ไป ก็เท่ากับมองข้ามขั้นตอนบางอย่างไป และลดโอกาสรักษาสำเร็จหรือช่วยให้การรักษาง่ายขึ้น ไปเสียแล้ว
ปัญหางบประมาณไม่เพียงพอ อาจเกิดได้ทั้งจากสาเหตุ คือ เงินไม่พอ, การจัดสรรไม่เหมาะสม, นโยบายรากฐานไม่ถูกต้อง (ซึ่งเริ่มตั้งแต่เลือกตั้ง หรือโดนบังคับตั้ง ก็ได้ครับ), ไปจนถึงคนที่ทำหน้าที่จัดสรรไม่ได้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมจริง) ประกอบกัน ถ้าเราคิดว่าเกิดจากสาเหตุเดียว แล้วแก้ปัญหาด้วยวิธีการเดียว โอกาสสำเร็จก็ลดน้อยลงไป
* * *
ข้อสุดท้าย ที่จริงมองให้ลึกหน่อย เราอาจพบว่า "ก้าวคนละก้าว" อาจกำลังแก้ปัญหาที่สาเหตุจริงๆ อยู่ก็ได้ โดยแยกเป็น
1. ปัญหาโรงพยาบาล/เครื่องมือการแพทย์ไม่เพียงพอ ต้องแก้ด้วยการสร้างสุขภาพที่ดี และโครงการนี้ก็ชักชวนคนออกมาวิ่ง ออกกำลังกายและสร้างสุขภาพที่ดีกัน ซึ่งเรื่องนี้ โครงการนี้ชี้แจงไว้อย่างชัดเจนตลอดมา ... และดูมาจนถึงวันนี้ก็ทำไปได้กว้างเลยดีทีเดียว
2. ปัญหาการจัดสรรงบประมาณไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ยุคนักการเมืองบริหารมาจนถึงยุคทหารบริหาร และผลก็ไม่ต่างกัน คือ กลายเป็นธุรกิจครอบครัวแห่งชาติ ... ถ้าเรามองให้ลึกจนเห็นว่า แม้แต่ปัญหาของคนปกครองประเทศเห็นแก่ตัว เอาแต่ประโยชน์ตัวเอง หรือแม้แต่ไม่เอาประโยชน์ตัวแต่ก็ทำงานโดยไม่ใส่ใจรับฟังประชาชนจริงๆ เลย แท้ที่จริงแล้วมาจากการที่คนมองไม่เห็นประโยชน์ร่วมกัน ไม่เห็นว่าการช่วยเหลือกัน แบ่งปันกัน ก็เป็นผลประโยชน์ของตัวเองเช่นกัน และสังคมเราจะพังทลายในที่สุด หากยังคิดกันแต่ประโยชน์ตัวเองแบบนี้ต่อไป ... เราก็จะพบว่า สิ่งที่คุณตูนกำลังทำนั่นแหละ ทำให้คนได้ทำสิ่งดีให้แก่ส่วนรวม ทำร่วมกัน มีความสุขจากการช่วยเหลือกัน เป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก สำหรับปลายทางไกลๆ คือความปรองดองกันในชาติ
3. ปัญหาที่คนไทยทั้งหลายยังไม่คิดพึ่งพาตัวเอง ไม่ให้น้ำหนักกับความสามารถของตัวเอง และเอาความสามารถมาร่วมกันแก้ปัญหาของพวกเรากันเอง โดยไม่ต้องรอคอยแต่จะให้ท่านนั้นท่านนี้จัดสรรงบประมาณมา ไม่ต้องรอให้ท่านนั้นท่านนี้เห็นคุณค่าของงานนี้ท้องถิ่นนี้ ไปจนถึงว่า ไม่ต้องรอให้ระบบประชาธิปไตยมันทำงาน หรือรอให้คนที่เกี่ยวข้องเค้าซื่อสัตย์ขึ้นมาได้ก่อน ... ลงมือทำเอง ไม่ต้องรอพึ่งพาคนอื่น และไม่เอาแต่พูด
4. ปัญหาการไม่มีตัวอย่างที่ดีในสังคม ในโลกที่เราขาดตัวอย่างที่ดีๆ ให้เด็กได้เรียนรู้และเลียนแบบ ให้ผู้คนได้เชื่อว่ายังมีคนดีๆ อยู่ในโลก เรามีแต่คนที่คิดแต่ตัวเองและพวกพ้อง คนที่โกงทุกโอกาสเพื่อประโยชน์ส่วนตัว การมีตัวอย่างเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ในการสร้างสรรค์สังคม เรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของการสร้างอารยธรรมมนุษย์เลยก็ว่าได้
สำหรับผมแล้ว "ก้าวคนละก้าว" กำลังแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ที่สาเหตุจริงๆ และด้วยการลงมือทำอย่างแท้จริง
==================================================
นี่คือความเห็นของผมที่อยากฝากไปยังผู้ที่คิดว่า "ก้าวคนละก้าว" ไม่ได้แก้ปัญหาที่สาเหตุ หรือไม่มีประโยชน์อะไรเลย เป็นแค่ความฝันเฟื่องหรือวิ่งจนตายก็แก้ปัญหาไม่ได้
ตรรกะไม่สมบูรณ์ของการเอาแต่จะ "แก้ปัญหาที่สาเหตุ" กับกรณี "ก้าวคนละก้าว"
แต่อีกหลายเสียงซึ่งมักจะเป็นเสียงที่ดังเพราะมีตำแหน่งนักวิชาการด้านต่างๆ แบ็คอยู่ข้างหลัง ทำให้ดูน่าเชื่อถือ และเหมือนว่าเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผล จนไม่เห็นมีใครชี้ความไม่สมบูรณ์หรือไม่สมเหตุสมผลของเสียงเหล่านั้นได้เลย อย่างมากก็โต้แย้งไปในทางอื่น เช่นว่า เอาแต่คิด ไม่เคยลงมือทำ, หรือไม่ก็ ถึงแม้ไม่ได้แก้ที่สาเหตุ แต่ก็เป็นการทำดีทำบุญ ไม่ควรไปขัดขวาง
รอดูมาหลายวันแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดในใจ ยังไม่เห็นมีความคิดใหม่ๆ ออกมา จึงขอโอกาสเสนอความเห็นบ้าง เพื่อเสนอความเห็นที่(น่าจะ)ตรงต่อความเป็นจริงมากกว่าให้ลองพิจารณากัน ดังนี้
1. วิธีปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา ไม่ได้มีเพียงต้อง "แก้ที่สาเหตุ" เท่านั้น
2. แม้สาเหตุของปัญหาหนึ่งๆ ก็ไม่ได้มีเพียงประการเดียว (ไม่มี "เหตุเดียวผลเดียว" ในโลก) หรือแค่ระดับเดียว จึงไม่ได้มีวิธีแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว
3. ที่จริงแล้ว "ก้าวคนละก้าว" อาจเป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุแท้จริง เสียด้วยซ้ำ
* * *
ข้อแรก คือตรรกะที่ไม่ครบถ้วนว่า เราจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหา ต้องให้มันตรงไปที่สาเหตุเท่านั้น
ขอถามกลับไปยังคนที่ตำหนิโครงการนี้โดยคิดแค่ว่า โครงการที่ไม่ได้แก้ปัญหาที่สาเหตุ ย่อมไม่มีประโยชน์และไม่ควรต้องทำ โดยขอยกตัวอย่างปัญหาในชีวิตจริงมาเทียบเคียง เอาง่ายๆ ครับเช่นว่า ...
- วิธีการต่างๆ ที่หมอใช้รักษาคนไข้แก้ไขอาการเจ็บป่วยนั้น เป็นการแก้ที่สาเหตุตรงๆ เลยทุกขั้นตอนหรือไม่? การให้น้ำเกลือ, ยาแก้ปวดหัว, ยาลดความดัน, สเตียรอยด์แก้แพ้ทั้งหลาย เป็นยาที่แก้โรคที่สาเหตุหรือ? ป่วยไข้หนาวสั่นจะเป็นจะตาย หมอยังวิเคราะห์ไม่ได้ว่า เกิดจากสาเหตุใดจริงๆ จะไม่ให้ยาที่ช่วยลดอาการเหล่านั้นก่อนเลยเหรอ
- นักกีฬาลงแข่งขันในสนาม เป็นตะคริว แล้วพ่นยาชา นั่นแก้ปัญหาที่สาเหตุหรือ?
- ทำธุรกิจ เงินช็อตเพราะคุณจัดสรรเงินผิดพลาด หรือมีอุบัติเหตุทางธุรกิจ แก้ไขด้วยการไปกู้เงินยืมเงนเขามาหมุนก่อน นั่นแก้ปัญหาที่สาเหตุหรือ?
- การทะเลาะกัน แก่งแย่งผลประโยชน์กัน จนเป็นปัญหาระหว่างประเทศ แล้วใช้สงครามและอาวุธเข้าจัดการกัน นั่นแก้ปัญหาที่สาเหตุจริงหรือ? (ไม่ค่อยเห็นนักวิชาการด้านการเมืองการปกครอง วิจารณ์เรื่องนี้เลย ทั้งที่ใหญ่และส่งผลต่อคนจำนวนมากจริงๆ) ... ถ้าเอาค่าใช้จ่ายที่ลงไปกับสงคราม เปลี่ยนเป็นข้าวปลาอาหาร ทรัพยากร สาธารณูปโภค ช่วยเหลือกัน จนกลายเป็นมิตรประเทศกัน ยอมฟังกัน รอมชอมกัน อาจแก้ไขปัญหาสงครามระหว่างประเทศมาได้ตั้งนานแล้ว โดยไม่ต้องมานั่งตั้งคำถามกันอย่างทุกวันนี้ว่า ต้องเพิ่มงบประมาณทางทหารกันอีกเท่าไหร่ จึงจะเพียงพอแก้ปัญหาพวกนี้ (ผมไม่ได้พูดถึงงบประมาณของประเทศไหนนะครับ และแน่นอนว่าอาวุธป้องกันตัวยังจำเป็นในโลกที่คนไม่ได้คิดได้เหมือนกันหมด) ... เรื่องแบบนี้ นักวิชาการคนไหนเคยเสนอความคิดที่มีตรรกะออกมากันบ้างมั้ย
- ครอบครัวเงินช็อต ลูกไม่มีกินเพราะพ่อแม่ตกงานหรือเอาเงินไปเล่นพนันหมด คุณไปเจอคนแบบนี้เข้า คุณจะรอสอนพ่อแม่เขาให้ทำงานเป็นหรือเลิกเป็นผีพนันแล้วหาเงินมาเลี้ยงลูกจนได้ (ซึ่งคงใช้เวลาพอสมควร) โดยไม่คิดจะหาอาหารมาประคับประคองชีวิตลูกเค้าก่อนเหรอครับ
- ถ้าเปรียบเทียบครอบครัวเป็นประเทศชาติ เทียบพ่อแม่เป็นรัฐบาล (ไม่ว่าจะนักการเมืองอาชีพหรือผู้นำทหาร) แล้วให้ลูกคือประชาชนตาดำๆ อย่างเรา จะเห็นภาพมากขึ้นครับ ... เราจะเลือกรอสอนพ่อแม่ให้ทำงานเป็น หรือเลิกโกงเงินลูกๆ แล้วหันมาเลี้ยงลูกอย่างมีคุณธรรม ผมว่า ลูกจะอดตายซะก่อนครับ (ถ้าไม่คิดในแง่ว่า ไม่มีวันสอนคนพวกนี้ได้แล้ว)
ที่จริง สิ่งที่เราทำส่วนใหญ่ในชีวิตไม่ค่อยได้แก้ปัญหาที่สาเหตุโดยตรงหรอก แต่ก็มีส่วนช่วยแก้สถานการณ์ให้เบาลง ง่ายขึ้นในการแก้ไขต่อไป ขั้นตอนเหล่านี้จำเป็นจริงๆ และไม่ถือว่าผิดวิธีอะไรเลย สำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
คนที่ติดยึดกับหลักการแก้ปัญหาต่างๆ ว่าต้องแก้ที่สาเหตุเท่านั้นจึงจะได้ผลสำเร็จแท้จริงและยืนยาว (ซึ่งก็เป็นความจริงประการหนึ่ง) มักจะมองพลาดจากความจริงว่า ที่จริงแล้วสิ่งที่คนเราลงมือทำเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ นั้นไม่จำเป็นต้องตรงไปสู่สาเหตุของปัญหาเท่านั้น แต่หลายสิ่งเราทำไปเพื่อจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าก่อนเพื่อให้ความวุ่นวายยุ่งยากเบาบางลงก่อน ช่วยปรับฐาน หรือสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อเอื้อให้การลงมือตรงต่อสาเหตุจริงๆ นั้นทำงานได้ด้วย
ผมว่าควรวิเคราะห์แล้วยิงแรงๆ ไปหาผู้ที่ทำงานในหน้าที่นั้นโดยตรง ให้ลงมือทำงานอย่างจริงจังและซื่อสัตย์
มากกว่าจะวิเคราะห์มาขัดขวางโครงการกันอย่างที่บางคนทำกันอยู่
* * *
ข้อสอง ตรรกะที่เข้าใจผิดว่า ปัญหาหนึ่งเกิดขึ้นมาเพราะสาเหตุประการเดียว ที่จริงปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นมาได้มีสาเหตุหลายอย่างประกอบกัน วิธีแก้ไขจึงต้องอาศัยหลายวิธีและขั้นตอนแก้ไขแต่ละสาเหตุ
โรคภัยไข้เจ็บของคน ย่อมเกิดทั้งจากเชื้อโรค, ร่างกายที่อ่อนแอ, อุบัติเหตุ ประกอบกัน ... ส่วนร่างกายที่อ่อนแอก็อาจเกิดได้ทั้งจาก พันธุกรรม, ความเจ็บป่วยเรื่องอื่นที่ส่งผลต่อเนื่องมา, การไม่รักษาสุขภาพ, ไปจนถึง ความจำเป็นในหน้าที่การงาน และเหตุอื่นอีกมากมาย ... การจะแก้ไขปัญหาโรคภัยให้คนไข้หนึ่งคน จึงอาจต้องประมวลวิธีหลายประการประกอบกัน ไม่เพียงกินยาที่ตรงกับโรคเท่านั้น คนไข้ก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย และอาจรวมไปถึงการได้รับกำลังใจจากคนรอบข้างด้วย ... คุณหมอที่มองเพียงเป็นโรคก็กินยาหรือผ่าตัด แล้วมองข้ามกำลังใจของญาติมิตรคนไข้ไป ก็เท่ากับมองข้ามขั้นตอนบางอย่างไป และลดโอกาสรักษาสำเร็จหรือช่วยให้การรักษาง่ายขึ้น ไปเสียแล้ว
ปัญหางบประมาณไม่เพียงพอ อาจเกิดได้ทั้งจากสาเหตุ คือ เงินไม่พอ, การจัดสรรไม่เหมาะสม, นโยบายรากฐานไม่ถูกต้อง (ซึ่งเริ่มตั้งแต่เลือกตั้ง หรือโดนบังคับตั้ง ก็ได้ครับ), ไปจนถึงคนที่ทำหน้าที่จัดสรรไม่ได้คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมจริง) ประกอบกัน ถ้าเราคิดว่าเกิดจากสาเหตุเดียว แล้วแก้ปัญหาด้วยวิธีการเดียว โอกาสสำเร็จก็ลดน้อยลงไป
* * *
ข้อสุดท้าย ที่จริงมองให้ลึกหน่อย เราอาจพบว่า "ก้าวคนละก้าว" อาจกำลังแก้ปัญหาที่สาเหตุจริงๆ อยู่ก็ได้ โดยแยกเป็น
1. ปัญหาโรงพยาบาล/เครื่องมือการแพทย์ไม่เพียงพอ ต้องแก้ด้วยการสร้างสุขภาพที่ดี และโครงการนี้ก็ชักชวนคนออกมาวิ่ง ออกกำลังกายและสร้างสุขภาพที่ดีกัน ซึ่งเรื่องนี้ โครงการนี้ชี้แจงไว้อย่างชัดเจนตลอดมา ... และดูมาจนถึงวันนี้ก็ทำไปได้กว้างเลยดีทีเดียว
2. ปัญหาการจัดสรรงบประมาณไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ยุคนักการเมืองบริหารมาจนถึงยุคทหารบริหาร และผลก็ไม่ต่างกัน คือ กลายเป็นธุรกิจครอบครัวแห่งชาติ ... ถ้าเรามองให้ลึกจนเห็นว่า แม้แต่ปัญหาของคนปกครองประเทศเห็นแก่ตัว เอาแต่ประโยชน์ตัวเอง หรือแม้แต่ไม่เอาประโยชน์ตัวแต่ก็ทำงานโดยไม่ใส่ใจรับฟังประชาชนจริงๆ เลย แท้ที่จริงแล้วมาจากการที่คนมองไม่เห็นประโยชน์ร่วมกัน ไม่เห็นว่าการช่วยเหลือกัน แบ่งปันกัน ก็เป็นผลประโยชน์ของตัวเองเช่นกัน และสังคมเราจะพังทลายในที่สุด หากยังคิดกันแต่ประโยชน์ตัวเองแบบนี้ต่อไป ... เราก็จะพบว่า สิ่งที่คุณตูนกำลังทำนั่นแหละ ทำให้คนได้ทำสิ่งดีให้แก่ส่วนรวม ทำร่วมกัน มีความสุขจากการช่วยเหลือกัน เป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก สำหรับปลายทางไกลๆ คือความปรองดองกันในชาติ
3. ปัญหาที่คนไทยทั้งหลายยังไม่คิดพึ่งพาตัวเอง ไม่ให้น้ำหนักกับความสามารถของตัวเอง และเอาความสามารถมาร่วมกันแก้ปัญหาของพวกเรากันเอง โดยไม่ต้องรอคอยแต่จะให้ท่านนั้นท่านนี้จัดสรรงบประมาณมา ไม่ต้องรอให้ท่านนั้นท่านนี้เห็นคุณค่าของงานนี้ท้องถิ่นนี้ ไปจนถึงว่า ไม่ต้องรอให้ระบบประชาธิปไตยมันทำงาน หรือรอให้คนที่เกี่ยวข้องเค้าซื่อสัตย์ขึ้นมาได้ก่อน ... ลงมือทำเอง ไม่ต้องรอพึ่งพาคนอื่น และไม่เอาแต่พูด
4. ปัญหาการไม่มีตัวอย่างที่ดีในสังคม ในโลกที่เราขาดตัวอย่างที่ดีๆ ให้เด็กได้เรียนรู้และเลียนแบบ ให้ผู้คนได้เชื่อว่ายังมีคนดีๆ อยู่ในโลก เรามีแต่คนที่คิดแต่ตัวเองและพวกพ้อง คนที่โกงทุกโอกาสเพื่อประโยชน์ส่วนตัว การมีตัวอย่างเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ในการสร้างสรรค์สังคม เรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของการสร้างอารยธรรมมนุษย์เลยก็ว่าได้
==================================================
นี่คือความเห็นของผมที่อยากฝากไปยังผู้ที่คิดว่า "ก้าวคนละก้าว" ไม่ได้แก้ปัญหาที่สาเหตุ หรือไม่มีประโยชน์อะไรเลย เป็นแค่ความฝันเฟื่องหรือวิ่งจนตายก็แก้ปัญหาไม่ได้