[CR] ชะโงกทัวร์อิสราเอล 5 วันฉันก็รักเธอ

แอบตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ร่วมคณะผู้ใหญ่ บินไปดูงานด้านการเกษตรที่อิสราเอลระหว่าง14-17 ก.ค. 60 เพราะเป็นดินแดนที่หลายๆ คนนึกภาพไม่ออกว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากคนไทยไม่ได้มีโอกาสไปกันบ่อยนัก แต่กว่าจะได้ขึ้นไปนั่งบนเครื่องแอล อัล อิสราเอลแอร์ไลน์ สายการบินแห่งชาติอิสราเอล เล่นเอาชาวคณะลุ้นกันจนเครียด  เพราะเราคือหนึ่งเดียวที่ถูกเจ้าหน้าที่สายการบิน 2 คนรุมสัมภาษณ์นานถึง 40 นาทีกว่าจะยอมให้ไปเช็คอิน ซึ่งการสัมภาษณ์แบบนี้ถือเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดของสายการบินนี้ที่ต้องการประเมินความเสี่ยงผู้โดยสารทุกคนก่อนขึ้นเครื่องและเดินทางเข้าอิสราเอล  จึงไม่แปลกใจเลยที่ทีมงานขอร้องให้ทุกคนมาเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิก่อนเวลา 3 ชั่วโมง

    คิดแง่ดีว่าอย่างน้อยครั้งนึงได้ใช้บริการสายการบินที่ปลอดภัยที่สุดในโลก เพราะแอบรู้มาว่าทุกเที่ยวบินเค้าจะมีสายลับนอกเครื่องแบบซ่อนอาวุธแฝงตัวอยู่บนเครื่องด้วย แต่ก็แอบเซ็งนิดนึงที่รู้ว่าต้องนั่งเครื่องนานถึง11 ชั่วโมงเท่ากับบินไปยุโรป ทั้งๆ ที่จริงแล้วใช้เวลาแค่ 6-7 ชม. เนื่องจากต้องบินเลี่ยงน่านฟ้าชาติอาหรับอย่างเลบานอน ซีเรีย จอร์แดน และอียิตป์ที่อยู่รายรอบ คงไม่ต้องบอกเหตุผลนะว่าเพราะอะไร แต่ก็ยังดีที่ฤทธิ์ยาแก้หวัดทำให้หลับยาว ตกใจตื่นอีกทีตอนเครื่องแลนดิ้งที่สนามบินเบนกูรเรียนที่ตั้งตามชื่อของนายกรัฐมนตรีคนแรกของที่นี่

สนามบินนี้อยู่ห่างจาก เมืองเทลอาวีฟ จุดหมายแรกของเราประมาณ 19 กม. เราใช้เวลานั่งรถไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงเมืองท่าริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอันแสนสวยที่ดูทันสมัย ศูนย์กลางการค้า อุตสาหกรรม การเงินของประเทศที่ดันให้ค่าครองชีพแพงหูฉี่เท่ากับยุโรป  โดยเฉพาะในย่านเฮอร์เซอลียา Herzliya เมืองชายฝั่งทะเลที่มหาเศรษฐีจากทั่วโลกนิยมมาขับเรือยอร์ชส่วนตัวล่องทะเลกินลม เห็นได้จากเรือหลายร้อยลำที่จอดทอดสมออยู่ที่ Herzliya ท่าจอดเรือส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในแถบทะเลเมดิเตอรเรเนียน  แห่งนี้
ถัดออกไปแถมยังมีชายหาดกว้างๆรอให้นัก วินเซิร์ฟ ได้ออกไปโต้คลื่นกันอย่างสนุกสนานอีกด้วย แต่เราไม่ได้ไปแจม เพราะมีเวลาน้อยมากต้องรับไปอีกจุดหมาย แค่เดินไปเอาลมปะทะหน้าก็กลับ แต่ขอบอกทะเลไทยสวยกว่ามากๆ5555จากทะเลเรานั่งรถมุ่งตรงเข้าใจกลางเมืองเทลอาวีฟ ย่านถนน Rothschild   เพื่อชมวิถีชีวิตสุดชิคของยิวสายฮิปที่นิยมมาเดินเล่น ปล่อยอารมณ์ ชมบ้านเมืองที่มีความผสมผสาน ระหว่างตึกเก่ากับตึกใหม่ได้อย่างลงตัว รูปปั้นสีทึมๆของ Meir Dizengoff  นายกเทศมนตรีคนแรกของกรุงเทล อาวีฟ ที่บริเวณพิพิธภัณฑ์หอแห่งเสรีภาพ( Independence Hall )   ทำให้ถนนดูมีอะไรทันที   แต่ที่กิ๊บเก๋ยูเรก้า ทำให้น้องหมาสุขได้แบบสุดๆ คือเมืองนี้ทำเลนส่วนตัวไว้ให้น้องหมาไว้เดินชิลๆ ด้วยนะ  เดินเที่ยวสักพัก คณะเราแอบไปกินข้าวที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งไม่ใช่แนวเรา เพราะที่อยากไปนั่งคือ บาร์แสนสวยสุดชิคในตึกโบราณคลาสิคอย่าง Rothschild 12 ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม มองไปดูมีสีสันมากๆ เหล่านักท่องเที่ยวนั่งดื่มกินกันอย่างสนุกสนาม    ใช่ว่ามาที่นี่เราจะไม่ได้ลิ้มลองอาหารพื้นเมือง เรากินเกือบทุกมื้อ ที่ลองมาแล้วชอบก็คือ ออเดิร์ฟ อร่อยถูกปากทุกเมนู เพราะเคนที่นี่กินคลีน เน้นผัก และผลไม้ เป็นส่วนใหญ่   เมนูที่ถ้าไม่กินเหมือนมาไม่ถึงคือ   ฮุมมุส Hummus    ทำมาจากถั่วบดจนกลายเป็นครีมข้น ที่ปรุงรสด้วยซอสงา น้ำมะนาว จากนั้นเพิ่มรสชาติด้วยการนำเครื่องเทศต่างๆมาโรยหน้า เช่น พริกปาปริก้า และ เครื่องเทศท้องถิ่น  เวลาจะกินต้องใช้แผ่นแป้งคล้ายๆโรตี หรือผักจิ้ม จิ้มกน คล้ายบ้านเรากินผักจิ้มน้ำพริกนั่นแหละ  รสชาติอร่อย แบบเบาๆ        ส่วนอาหารมื้อหลักของคนที่นี่ ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยแตกต่างจากฝั่งยุโรปมากนัก  เน้นกินเนื้อ มีวัว เนื้อแกะ ทอดๆ ย่างๆ  โดยเฉพาะสเต็กแกะของโปรดได้มีโอกาสชิมเกือบทุกมื้ออร่อยละลายในปากเลย    
ส่วนเมนูปลา ก็มีเยอะ และที่เห็นบ่อยที่สุดคือไก่ย่าง   มีวันหนึ่งได้ไปกินอาหารที่ร้านหรูของเมืองเยรูซาเล็มที่ The Eucalyptus Restaurant ซึ่งตั้งอยู่แถวย่านเมืองเก่า(The old city of Jerusalem)ย่านท่องเที่ยวชื่อดัง  ร้านนี้เป็รร้านเล็กๆ น่ารักๆ แต่อาหารเลิศรส  ที่กินแล้วฟินสุดขีดคือ เป็ดอบยัดไส้ลูกฟิกส์(มะเดื่อ)ยักษ์ กัดเข้าไปแล้วรู้สึกว่าเป็ดหอม หวานถูกใจมาก  เนื้อเป็ดแน่นเต็มลูกฟิกส์  กลมกล่อมลงตัว กินครั้งแรกไม่ผิดหวังจริงๆ   อีกเมนูที่อร่อยไม่แพ้กันคือสลัดอาโวกาโดที่มีส่วนผสมของซอสอะไรไม่รู้สีส้มๆ   ส่วนผลไม้ที่มาแล้วต้องกินคืออินทผาลัมลูกใหญ่ยักษ์ ลูกยาว เนื้อนุ่มหอม และหวานกำลังดี   ส่วนน้ำที่ทางร้านเสิร์ฟล้างปากทีแรกเห็นคิดว่าเป็นน้ำซุป เพราะเห็นมีผักคล้ายๆผักชีลอยอยู่ข้างบน แต่คิดในใจทำไมเค้าใส่มาในเหยือกน้ำ ที่สำคัญน้ำสีออกแดงๆ ไม่รู้น้ำอะไร ใช้กินแทนน้ำเหล่าแต่กินเข้าไปแล้วรู้สึกสดชื่น เพราะไม่หวานมาก
วันนี้เราได้เข้าไปเที่ยวที่ย่านเมืองเก่า  Jerusalem   เมืองโบราณ 3,000 ปี อันศักดิ์สิทธิ์ของ 4 ศาสนา คือยูดาห์ คริสต์ อาร์เมเนียน และมุสลิม ซึ่งที่นี่มักจะมีข่าวการกระทบกระทั่งเกิดขึ้นบ่อยๆ   ทำให้เมืองนี้ถูกแบ่งโซนออกเป็น 4 ชุมชนโดยชัดเจนตามศาสนา คือชุมชนชาวคริสต์ มุสลิม ยิวและอาร์มาเนีย  สิ่งที่ที่ให้เราสะดุดตาที่นี่คือเมืองเก่านี้ตั้งอยู่ด้านในกำแพงเมืองโบราณที่สร้างขึ้นจากหินสีขาวขนาดใหญ่ที่ทอดยาว4กิโลเมตรโอบล้อมชุมชนเมืองที่มีความแตกต่างเข้าไว้ด้วยกัน      โดยมีประตูทางเข้าออกอยู่ 8 ประตู  ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวโดยผ่านเข้ามาทางเยรูซาเร็มส่วนใหญ่จะต้องผ่านเข้าเมืองเก่าทางประตู ประตูจัฟฟา ด้านฝั่งตะวันตกของเมืองซึ่งอยู่ในเขตชุมชนชาวยิว   พอเข้าสู่ย่านเมืองเก่าจะเห็นว่ามีชาวยิวนิกาย Orthodox ที่สวมเสื้อคลุมและหมวกสีดำเดินกันขวักไขว่   ขณะที่ 2 ข้างทางก็เป็นถนนสายชอปปิ้งสินค้าท้องถิ่น ทั้งเสื้อผ้า อาหาร ของที่ระลึก ถ้วยโถ โอชามกระเบื้องลายเปอร์เซียสวยๆทั้งนั้น
ที่แตะจมูกจนต้องหันไปมองคือ ร้านขายเครื่องเทศสารพัดชนิดที่กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล    ส่วนของกินตาม2ข้างทางส่วนใหญ่จะเป็น แผงขายขนมปัง และร้านขายน้ำผลไม้คั้นสดมีให้เห็นตลอดทาง   

ที่ขาดไม่ได้เปรียบเสมือนลมหายใจของถนนย่านเมืองเก่าคือ ทหารอิสราเอลสะพายปืนยืนหน้าเข้มรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวตลอดเส้นทาง เพราะก็รู้ๆกันอยู่ว่าย่านนี้เป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวสูง 4 ศาสนาอยู่ร่วมกัน เรียกว่าถ้าจะมาเที่ยวก็ต้อง เที่ยวไปลุ้นไปเลยทีเดียว ซึ่งการมาเที่ยวของเราครั้งนี้ก็ไม่เสียเที่ยว  มีโอกาสได้เสียวสมใจ เพราะวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เรามาเที่ยว มีข่าวเหตุจราจลครั้งใหญ่ ม็อบหลายพันคน ระหว่างทหารอิสราต่อสู้กับชาวมุสลิม ทำให้ชาวมุสลิมเสียชีวิตจากเหตุนี้หลายรายจากเหตุความขัดแย้งทางศาสนา เรียกว่าเรารอดมาได้อย่างหวุดหวิด  ดีที่แวะไปเที่ยวก่อนวันเกิดเหตุ ข่าวนี้ดังมาก ถูกตีแผ่ดังไปทั่วโลก ทำเอาญาติพี่น้องที่ประเทศไทย ต้องต่อสายด่วนมาหาว่าปลอดภัยดีอยู่หรือเปล่า

เมื่อเดินเข้าไปถึงชั้นในของเมืองเก่าจะมีบันใดให้เราได้เดินขึ้นไปดูวิวรอบๆ เขตเมืองเก่า พอเดินขึ้นถึงชั้น 2 ก็ได้ตกตะลึงกับความงามของ ของ  Dome of the Rock  อาคารโดมสีทองอร่ามเรื่องที่ทำจากทำคำแท้ ขนาดใหญ่ ที่ตั้งตระหง่านงามอยู่บนจุดที่สูงสุดของใจกลางกรุงเยรูซาเล็ม ศาสนาสถานสำคัญเก่าแก่ ของชาวมุสลิม เป็นอาคารที่สร้างขึ้นมาครอบแผ่นหินศักดิ์สิทธิ์ ที่มุสลิมเชื่อว่าเป็นหินที่ท่านศาสดานบีมูฮำหมัดทรงขึ้นไปสู่ชั้นฟ้าเข้าเฝ้าอัลเลาะห์เพื่อรับโองการเรื่องการละหมาดมาให้พี่น้องมุสสลิมได้ปฏิบัติกันมาจนทุกวันนี้ ซึ่งอาคารนี้ตั้งอยู่ภายในมัสยิดอัล-อัคซา (Al Aqsa Mosque)มัสยิดศักดิ์สิทธิ์ที่มุสลิมทั่วโลกหลั่งไหลเดินทางมาเยือนเพราะเป็นสถานที่ท่านนบีมุฮำมัด ได้ทำการละหมาดก่อนที่จะถูกนำตัวขึ้นสู่ชั้นฟ้าอีกด้วย
ส่วนสถานที่ศํกดิ์สิทธิ์ของชาวยิวที่อยู่ถัดออกไปคือ กำแพงร้องไห้  หรือกำแพงตะวันตก(Wailing Wall หรือ Western Wall) ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของเนินพระวิหาร หรือภูเขาโมรียาห์ สร้างจากหินอายุกว่าสองพันกว่าปี สีขาวขนาดใหญ่ กำแพงแห่งนี้สามารถดึงดูดชาวยิวผู้ศรัทธาจากทั่วทุกมุมโลกให้มาเยือน เพราะมีความศัรทธาว่าเป็นสถานที่ที่ทุกคนจะได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุดในโลก  ทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้าสวดมนต์ ร่ำไห้และวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าที่กำแพงแห่งนี้ เพราะเชื่อว่าพระองค์จะคอยฟังคำขอของพวกเค้า  ขณะที่ชาวยิวจำนวนมากนิยมเขียนคำอธิษฐานหรือระบายความทุกข์ใส่แผ่นกระดาษ และสอดทิ้งไว้ตามรูของกำแพง เพื่อส่งสาสน์ให้พระเจ้าได้รับรู้อีกด้วย

                ภายในเมืองเก่ายังมีศาสนาสถานที่สำคัญของศาสนาคริสต์อยู่ด้วย แต่เราพลาดไม่ได้ไป เพราะมัวถ่ายรูป ทำให้เราหลงกับเพื่อนแต่แอบขอรูปเพื่อมาดู ที่เพื่อนๆได้เข้าไปชมคือคือ Church of The Holy Sepulchre โบสถ์แห่งสุสานศักดิ์สิทธิ์ ของพระเยซูคริสต์   พร้อมเล่าให้ฟังว่าเป็นโบสถ์ที่สำคัญของชาวคริสต์ เพราะเป็นที่ที่พระเยซูถูกตรึงพระองค์ไว้บนไม้กางเขน ซึ่งสันนิฐานว่าอยู่บริเวณชั้นที่ 2 ของโบสถ์ ส่วนบริเวณชั้น 1 มีแท่นหินรองพระศพของเยซูตั้งอยู่ภายใน ซึ่งชาวคริสต์จากทั่วโลกจะเดินทางเข้ามาสักการะ ลูบไล้และจูบลงบนแท่นหินแห่งนี
ชื่อสินค้า:   เที่ยว
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่