INDIAlicious Trip | เที่ยวอินเดียแคว้นราชสถาน (Jodhpur,Jaipur,etc.)+ทัชมาฮาล+พาราณสี |11 วัน 8 เมือง 2 แคว้น

สวัสดีครับ!... ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่ประสบการณ์อันแสนไม่รู้ลืมกับการมาเยือน "อินเดีย" ครั้งแรกของผมและเพื่อนๆ เยี่ยม

Introduction:
พอเราเอ่ยถึงคำว่า"อินเดีย"ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงจะมีคำจำกัดความหรือสิ่งที่เรานึกถึงประเทศอินเดียที่แตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะนึกถึงคนอินเดีย(ที่มักพูดเล่นๆกันว่าถ้าเจอแขกพร้อมกับงู เราต้องตีอะไรก่อน) หรือ อาจจะเป็น บ้านเมืองที่วุ่นวาย, เสียงแตร, วัว หรือแม้กระทั่งอาวุธชีวภาพทำลายล้างสูงบนท้องถนน ผมเองก็เช่นกันครับทั้งหมดนี้ก็เป็สิ่งที่ผมคิดกันต่างๆนานา ก่อนที่เราจะเริ่มทริปนี้กัน หรือแม้กระทั้งระหว่างทริปนี้ก็ตาม แต่เดี๋ยวตอนจบของการเเชร์ประสบการณ์ครั้งที่ผมจะขออนุญาติแชร์ คำว่า"อินเดีย" ในนิยามของผมครับ...ติดตามกันได้เลยครับ

The Beginning of the Trip
เพื่อนของผมคนนึงมันอยากไปอินเดียมาก อยากไปดูนู้นนั่นนี่ของอินเดีย แม่น้ำคงคาน่าสนใจมาก อะไรของมันก็ว่าไป ผมก็ฟังผ่านๆ มีอยู่วันนึงที่ผมนัดเพื่อนๆมานั่งกินเนื้อย่างกัน พอพวกผมเริ่มอิ่มท้องฝนก็เริ่มตกหนักพวกเราเลยยังกลับบ้านกันไม่ได้ เพื่อนผมคนนนี้เลยได้จังหวะเปิดบทสทนาเรื่องทริปอินเดียขึ้นอีกครั้ง เหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมาครับมันเริ่มต้นเล่าถึงplanของทริปคร่าวๆ เมืองที่จะได้ไปเที่ยวกัน แต่คราวนี้เพื่อนผมจริงจังขึ้นครับ มันเล่าถึงรายละเอียดของแต่ละเมือง จุดเด่นของแต่ละเมืองที่วางแผนว่าจะไปกัน มันเล่าถึงเมือง Jodhpur (จ๊อดปูร์) ว่าเป็นเมืองที่บ้านเรือนทาสีฟ้ากันทั้งเมือง ยังไม่พอยังมี เมือง Jaisalmer เมืองสีทอง แล้วยังไม่พออีกมีเมือง Jaipur สีชมพู ผมเริ่มมีความสนใจขึ้นละครับเพราะผมไม่เคยรู้จักเมืองต่างๆเหล่านี้ของอินเดียแม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำ หลังจากวันนั้นผมก็ลองหาข้อมูลต่างๆของแต่ละเมืองมากขึ้น แล้วพบว่าแต่ละเมืองมันสวยมากและมีเอกลักษณ์มากๆ จนสุดท้ายผมก็ตอบตกลงไปปปปป!

Indialicious | Journey to the West
มาเริ่มต้นทริปของพวกผมกันดีกว่าครับ
Brief Information
Travel Period: 12-24 October 2017
Visit: Jodhpur (1 Night), Jaisalmer(1 Night), Udaipur(1 Night), Pushkar(1 Night), Jaipur(2 Nights), Delhi(1 Night), Agra(Day Trip) and Varanasi (2 Nights)
Transportation: Flight, Taxi, TukTuk, Overnight Bus, Train  
Costs: 3x,xxx THB

Day 1: Jodhpur
เมือง Jodhpur (จ๊อดปูร์) หรือเมืองที่ทุกคนเรียกว่า Blue City เมืองสีฟ้านั่นเอง เมืองนี้นับได้ว่าเป็นเมืองแรกในอินเดียของผม และถือว่าเป็นเมืองที่ผมชอบมากที่สุดเมืองนึงเลยก็ว่าได้ครับ ด้วยลักษณะที่มีความเป็นเอกลักษณ์สุดๆของเมือง รวมถึงความเป็นมิตรของคนอินเดีย ยิ่งทำให้เมืองนี้เป็นเมืองที่เหมาะกับการถ่ายรูปstreet photo ,บ้านเมือง และผู้คนมากเลยครับ

เนื่องจากพวกผมมีเวลาที่เมืองสีฟ้าแห่งนี้เพียงแค่ 1 คืนเพียงเท่านั้น ผมจึงเลือกที่จะไป Mehrangarh Fort เพื่อชมความสวยงามของป้อมปราการโบราณ,พระราชวัง และที่สำคัญคือจุดชมวิวเมืองสีฟ้า ที่เรียกได้ว่าถ้าใครไม่ได้มาถือว่ามาไม่ถึงเมืองนี้กันเลยทีเดียว!

ระหว่างเดินชมความยิ่งใหญ่ของป้อม เราก็ได้เจอคนอินเดียทั้งเด็กนักเรียน(ที่มาทัศนะศึกษากับโรงเรียน) และ คนอินเดียที่มาขอถ่ายรูปselfieกับเราและที่ผมขอถ่ายรูปหลายคนเลยทีเดียวครับ...คนอินเดียค่อนข้างชอบให้เราถ่ายรูปเเล้วก็ยังชอบถ่ายselfieกับนักท่องเที่ยวมากครับ ขอยืนยัน
มาดูเด็กนักเรียนกันบ้างครับ ขนาดเสื้อยังเป็นสีฟ้าเรียกได้ว่าคุมโทนได้ดีทีเดียวเลยครับหัวเราะ
หลังจากที่เราเดินดูป้อมและปราสาทจนครบเเล้ว ผมก็เดินขึ้นมาบนทางเดิน(ให้อารมณ์เหมือนกำแพงเมืองจีน)เพื่อมาดูวิวของเมืองสีฟ้าครับ ต้องขอบอกว่าพอเจอลมเย็นๆ ได้พักให้หายเหนื่อยแล้วมองลงไปดูเมืองข้างล่าง มันสวยมากๆๆครับ เราจะเห็นวิวบ้านเมืองสีฟ้าทั้งเมือง สะท้อนกับแสงพระอาทิตย์ตอนใกล้ตกดิน

หลังจากที่พวกผมซึมซับบรรยากาสกันจนอิ่มแล้วก็เดินลงออกจากป้อมเพื่อไปกินอาหารเย็นกันที่ร้านอาหารRoof Top กันครับ ระหว่างทางก็เจอลุงคนนึง นั่งชิวอยู่บนก้อนหินอยู่หน้าป้อม ก็เลยถือโอกาสขอแกถ่ายรูปมาด้วย
ตกดึกเราออกไปเดินกันที่ ตลาด Sandar Market อยู่ติดกับ Clock Tower ตลาดนี้ก็จะมีของทุกอย่างขายเลยครับไม่ว่าจะเป็นอาหาร,ผักผลไม้, เสื้อผ้า,etc. ต้องบอกว่าบรรยากาสการเดินถนนในอินเดียครั้งแรกไม่มีวันลืมเลยครับ สิ่งต่างๆที่เราเคยจินตนาการไว้ก่อนจะมา..มันมาครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสียงแตรแบบ360องศา ฝุ่นควันแบบเขาชนไก่ รถมอเตอร์ไซด์กับตุ๊กๆที่อยู่ข้างหลังที่พร้อมจะเฉี่ยวเราได้ตลอดเวลา แล้วก็มีระเบิดชีวภาพตามท้องถนนซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของทั้งวัวและก็คน!


พอเดินตลาดเสร็จเราก็กลับมาพักผ่อนกันที่โรงเเรมและเตรียมพร้อมตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้กัน โรงแรมที่เราพักจะมีRoof Top ซึ่งจะเห็นวิวกันแบบ360องศาเลยครับ เรียกได้ว่าได้เห็นทั้งพระอาทิตย์ขึ้นเเละตกเลย
อันนี้จะเป็นวิวของบ้านเมืองสีฟ้าที่ติดกับโรงแรมครับ

เรื่องราวของเมืองนี้ก็จบลงครับ เราเตรียมตัวขึ้นtaxiไปเมืองต่อไปซึ่งก็คือJaisalmer หรือ Golden City ครับ
To be Continued.....

Day 2-3: Jaisalmer
พอตกสายพวกผมก็เริ่มออกเดินทางไปเมืองJaisalmerโดยใช้บริการtaxiจากบริษัทagencyแถวที่พักครับ ราคาจะอยู่ประมาณตั้งแต่1,800-3,000 rupeeเลยครับแล้วแต่ว่าเราจะจองtaxiได้เร็วแค่ไหน โดยระยะเวลาเดินทางจะอยู่ที่ประมาณ4-5 ชั่วโมง
คนขับtaxiที่เจอส่วนมากจะค่อนข้างfriendly พยายามจะชวนคุยครับอย่างพี่taxiคนนี้พยายามช่วยเพื่อนผมให้เปิดใช้sim caardจนสำเร็จ แต่ส่วนมากจะพูดภาษอังกฤษกันไม่ค่อยได้ครับ แต่มีความมั่นใจและพยายามพูดมาก ส่วนนายหน้าagencyจะเป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ พอรับงานมาแล้วหักค่านายหน้าเล็กน้อย แล้วส่วนที่เหลือก็ค่อยจ่ายเงินให้กับคนขับครับ แต่เวลาเรียกtaxiที่นี่ควรจะต้องเน้นย้ำนิดนึงว่าราคานี้รวมทุกอย่างแล้วจริงๆนะ!
ระหว่างทางผมก็เกิดหิวขึ้นมา อยากเข้าห้องน้ำสักหน่อยก็เลยขอคนขับให้ช่วยแวะร้านอาหารข้างทางครับ ตอนแรกพวกผมกะจะสั่งอะไรกินเป็นเรื่องเป็นราวสักหน่อย แต่..คิดดูอีกที อยากรีบไปให้ถึงเมืองJaisalmerมากกว่าก็เลยเปลี่ยนใจ สั่งแค่ชาและขนมขบเขี้ยว แต่!!พอหันกลับไปพี่คนขับของเรากำลังทานอาหารเช้าอย่างมีความสุขอยู่ครับ55 สุดท้ายก็เลยต้องรออยู่ดี55..

และแล้วเราก็มาถึงเมืองJaisalmerแล้วครับ โดยแพลนๆหลักๆของพวกผมที่เมืองนี้ก็คือ Desert Trip ขี่อูฐบนทะเลทราย ดูพระอาทิตย์ตกสวยๆ นอนดูดาวตอนกลางคืน ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นฟินๆ แต่เดี๊ยวก่อนครับ!พวกผมยังไม่ได้จองโปรแกรมทัวร์อะไรทั้งสิ้นมาเลย ก็เลยมาเดินหากันเอาหน้างานครับ เข้าไปถามหลายบริษัททัวร์แล้วก็ยังไม่เจอโรงแรมกับราคาที่เราสนใจสักที อากาศช่วงเที่ยงๆบ่ายๆของเมืองนี้ก็แสนจะร้อน ก็มีเพื่อนผมคนนึงครับชี้ว่า เอ้ย!ลองไปดูอีกที่นึงฝั่งตรงข้ามกัน พอไปถึงเราจะเห็นagencyชื่อ Real Desert Man Safari ในซอยแล้วเดินลงไปใต้ดินประมาณ4ขั้นบันได ก็จะเจอลุงชาวอินเดียเจ้าของร้านกับลูกน้องประมาณ2คนให้การต้อนรับอยู่ครับ เราก็ทักทายกันอยู่พักนึงแล้วลุงเจ้าของร้าน(ชื่อ Sawai ไสว)ก็เริ่มขายโปรแกรมการท่องเที่ยวให้เราบอกว่าแกเปิดที่นี่มาเกือบ20ปีแล้วจัดทริปแบบ real authentic desertเท่านั้น โดยจะมี2แพลนให้เลือกครับว่าจะนอนเต๊นท์หรือนอนกลางทะเลทรายกันเลยแบบธรรมชาติดิบๆ แล้วจะมีให้เลือกอีกว่าจะนั่งอูฐเข้าทะเลทราย(ประมาณ1.5ชม) หรือ จะนั่งรถจี๊บ เอ้า!ไหนๆมาถึงที่นี่เเล้วพวกเราเลยเลือกขี่อูฐและจะนอนกลางทะเลทรายกันเลยครับ หลังจากตกลงราคากันเรียบร้อย ลุงSawaiก็เปิดห้องให้ห้องนึงเลยเพื่อไปเตรียมเฉพาะของที่จำเป็น แล้วก็ไปอาบน้ำ(ก่อนที่จะได้อาบอีกทีวันพรุ่งนี้เที่ยง)ที่โรงแรมของลุงแกครับ เพราะทะเลจะไม่มีน้ำไม่มีไฟฟ้าให้ใช้เลยร้องไห้
เริ่มเข้าเขตทะเลทราย รถจี๊บก็จะพาเรามาส่งที่จุดขึ้นอูฐครับ ลืมเล่าไปว่าทริปนึงจะมี8คนครับ ซึ่งหมายความว่าจะมีเพื่อนต่างชาติอีก4คนไปกับเราด้วย พอลงรถมาก็จะเจอcamel man มายืนรอต้อนรับครับ
พวกเราก็ทยอยกันขึ้นอูฐแล้วก็เริ่มการเดินทางในทะเลทรายสักที ต้องบอกว่าเป็นการขี่อูฐครั้งแรกของผมเลย เสียวตกครับ555ตั้งแต่จังหวะตอนอูฐกำลังลุกแล้วตอนที่อูฐกำลังเดิน แต่พอสักพักก็เริ่มชินครับเพราะมองไปเห็นบรรยากาสรอบข้างแล้วสวยมากกกกครับ โดยเฉพาะตอนที่พาอาทิตย์กำลังจะตกดิน
พอถึงจุดพักเราก็ลงจากอูฐเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกกันครับ ต้องบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ชิวมากและแฮปปี้มากๆ นั้งจิบเบียร์เย็นๆดูพระอาทิตย์ตก ลมพัดเย็นๆ
พอพระอาทิตย์ตก ผู้ติดตามก็ทำอาหารมาให้เราทานกันครับ แล้วผมก็ใช้ชีวิตอยู่บนทะเลทรายนอนดูดาว ฟังเพลงชิวๆ ลมพัดเย็นสบายตลอดทั้งคืน ที่นี่เห็นดาวชัดมากกครับ เห็นทั้งดาวตก ทั้งพระจันทร์......ZzzzZZZz
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราก็ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกันครับ พระอาทิตย์จะขึ้นตรงหน้าเราเลย พอสายๆเราก็กลับไปยังที่โรงแรมเพื่อไปอาบน้ำแล้วไปเดินเล่นรอบป้อมของเมืองJaisalmerกันนิดหน่อย ก่อนที่จะนั่งOvernight Bus เพื่อไปเมืองUdaipur | City of Lake ในวันพรุ่งนี้เช้าครับ

เรื่องราวของเมืองนี้ก็จบลงครับ ติดตามตอนต่อไปในเมือง Udaipur (City of Lake)
To be Continued.....
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่