รบกวนผู้รู้ เรื่องการขอเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมป์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ต้องทำยังงัยค่ะ

สวัสดีค่ะ เราเป็นพี่สาวของคนป่วยค่ะ ตอนนี้เราหมดหนทางแล้วจริง ๆ ค่ะ เลยอยากทราบถึงเรื่องการขอเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมป์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ว่าต้องทำยังงัยบ้าง
ก่อนอื่น เราขอเล่าเรื่องตั้งแต่อาการก่อนพบมะเร็งจนถึงการรักษาในปัจจุบันนะค่ะ
          เรื่องเริ่มมาจากน้องสาวของเรามีประจำเดือนมาตั้งแต่ต้นปี2560 อาจจะมีมามากบ้างน้อยบ้าง แต่ไม่หยุดเกิน 1 วัน จนมาช่วงกลางเดือนมิถุนายน 60 ประจำเดือนมามากจนน้องสาวเราเป็นลม เลยไปตรวจที่คลินิกนารีเวชแห่งหนึ่ง ผลการตรวจพบก้อนเนื้ออยู่ในมดลูกประมาณ 5 เซนติเมตร คุณหมอเลยนัดทำการรักษาโดยการขูดมดลูก เพื่อเป็นการรักษาเรื่องเลือดออกแล้วค่อยทำการรักษาก้อนเนื้อต่อไป
          ถัดมาประมาณ 1 อาทิตย์ น้องเราก็ได้รับการขูดมดลูกพร้อมกับตัดชิ้นเนื้อไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แต่หลังจากขูดมดลูกแล้วประมาณ 2 อาทิตย์คุณหมอที่ทำการรักษาได้แจ้งว่า ก้อนเนื้อที่พบเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็ง และได้ทำการส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ จากการตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ คุณหมอแจ้งว่าน้องเราเป็นมะเร็งระยะที่ 2 จะทำการรักษาโดยการผ่าตัดมดลูกออกทั้งหมด ซึ่งเรากับน้องสาวคิดว่ามันไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะตรวจพบในระยะต้น ๆ น่าจะมีทางรักษาให้หายได้ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว น้องสาวเราได้คิวผ่าตัดวันที่ 8 สิงหาคม 2560 เราดีใจกันมาก เพราะจะได้ผ่าเอาเนื้อร้ายออกไปเสียที เพราะในระหว่างที่รอวันผ่าตัด น้องเราเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมาก ๆ ต้องให้เลือดตลอด เพราะค่าเลือกต่ำมาก เนื่องจากประจำเดือนยังไม่หยุดและมาเยอะมาก ถ้าเทียบคือผ้าอนามัยสำหรับกลางคืน น้องเราใช้วันหนึ่งประมาณ เกือบ 10 แผ่นต่อวัน เวลานั่งรถไปหาหมอ ต้องเอาที่พักเท้ารองนั่งเพราะเลือดจะเปื้อนตลอด  ถึงวันที 4 สิงหาคม 2560 คุณหมอให้แอดมิดเพื่อนเตรียมตัวสำหรับการผ่าตัด เราและน้องสาว ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว เพราะบ้านเราไม่เคยมีใครผ่าตัดใหญ่เลย (พ่อกับแม่เราเสียหมดแล้ว เราอยู่กับน้องสาว 2 คน ถึงน้องสาวเราจะแต่งงานแล้ว แต่ก็ยังอยู่บ้านเดียวกันและไปไหนมาไหนกับเราตลอด) แต่เราก็พยายามบอกน้องให้คลายกังวลเพราะหลังจากผ่าตัดน้องเราก็จะหายแล้ว
          จนถึงที่ 8 น้องเราเข้าผ่าตัด แต่เรามาตอนเช้าไม่ทัน พอมาถึงน้องเราเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว เรารออยู่หน้าห้องผ่าตัดตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนเที่ยง น้องเรายังไม่ออกมาสักที เราเริ่มใจไม่ดี ผุดลุกผุดนั่งตลอดเวลา จนเวลาเกือบบ่าย 3 มีเตียงเข็นออกมาก น้องเราตะโกนเรียกชื่อเราพร้อมกับชู 2 นิ้ว เราโล่งใจมาก ที่การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี เราเดินตามมาจนถึงห้องพักฟื้น น้องเรายังมีอารมณ์ขันพูดเล่นกับพยาบาลว่าถ้าได้มาม่าคัพสักถ้วยนะดีมาก เพราะอดข้าวมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว พยาบาลฮาครืนกันเลยทีเดียว (ลืมบอก น้องเราน้ำหนัก 130 กิโลกรัมในวันที่ผ่า ตอนกลับมาพักฟื้นเลยต้องให้พยาบาลมาช่วย 6-7 คน) หลังจากพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 5 วัน น้องเราก็กลับบ้านได้ กลับมาพักฟื้นที่บ้านจนถึงวันที่คุณหมอนัดตรวจแผล คุณหมอชมน้องเราว่าดูแลตัวเองดีมาก แผลแห้งสนิทไม่มีการอักเสบ และแจ้งว่าตอนผ่าตัด คุณหมอได้ตัดชิ้นเนื้อช่วงต่อมน้ำเหลืองไปตรวจ ผลการตรวจไม่พบเชื้อมะเร็ง สำหรับเรา  2 คน นี่คือข่าวดีมากที่สุดในรอบปี แต่คุณหมอแจ้งว่า อยากให้น้องเราฉายแสง เพื่อให้ฆ่ามะเร็งที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่ น้องเราตัดสินใจฉายแสงเลยค่ะ เพราะอยากหายขาด เราเข้าพบคุณหมอด้านรังสีวิทยา ทำการนัดฉายแสงวันจันทร์-ศุกร์ ยกเว้นวันหยุด ทั้งหมด 25 ครั้ง ตอนแรกได้คิวเริ่มทำวันที่ 30 ตุลาคม แต่เนื่องจากมีคนยกเลิกคิว น้องเราเลยได้เลื่อนขึ้นมาทำการวางแผนการฉายแสงวันที 18 และเริ่มทำการฉายแสงวันที่ 25 ตุลาคม
          ปัญหาเริ่มเกิดขึ้น น้องเราทำการฉายแสงวันแรก พอกลับมาที่พัก น้องเรามีอาการอ่านเพลียอย่างมาก เหนื่อย แต่เราก็เข้าใจว่ามันเป็นผลจากการฉายแสงตามที่คุณหมอได้ชี้แจ้งไว้ตั้งแต่วันที่ทำการวางแผนฉายแสงแล้ว แต่พอวันที่ 26 น้องเราไปฉายแสงอีก แต่ครั้งนี้ฉายแสงไม่ได้ เพราะผลเลือดที่ตรวจเมื่อวานออกมาแล้วว่าเลือดน้องเราต่ำ ไม่สามารถทำการฉายแสงได้น้องเราก็กลับมาพัก พอวันที่ 27 ไปอีก ก็ฉายไม่ได้ เพราะอ่อนเพลียมาก หมอเลยตรวจเลือก ผลก็ออกมาว่าค่าเลือดไม่ผ่าน เราเลยพาน้องกลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อไปให้เลือด พอเช้าวันที่ 2 เราส่งน้องเราขึ้นรถตู้เพื่อมาฉายแสง เพราะเราเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ไม่สามารถไปส่งได้ แต่เราให้หลานไปเป็นเพื่อนเพราะกลัวน้องจะเป็นลม ช่วงบ่ายน้องเราโทรมาบอกว่าคุณหมอให้แอดมิด เพราะฉายแสงแล้วค่าเลือดตกมาก เราก็กลับบ้านไปเอาของใช้เอาไปให้น้องที่โรงพยาบาล แล้วเรากลับมานอนที่บ้าน เพราะที่โรงพยาบาลไม่ให้นอนเฝ้า อยู่เป็นอาทิตย์ก็ยังไม่สามารถฉายแสงได้เพราะค่าเลือดไม่ได้ เลยขอคุณหมอกลับไปให้เลือดที่บ้านต่างจังหวัด แล้วก็กลับมาฉายแสงใหม่ แล้วค่าเลือดก็ตกอีก ครั้งนี้อยู่โรงพยาบาลให้เลือด 9 ถุง แต่ค่าเลือกก็ยังไม่ขึ้นนอนอยู่เป็นอาทิตย์ก็ยังฉายแสงต่อไม่ได้ เลยขอคุณหมอกลับบ้านอีก แต่ครั้งนี้คุณหมอแจ้งว่าจะไม่ให้กลับ เพราะการฉายแสงควรฉายให้ครบ 25 ครั้ง ภายใน 50 วัน แต่นี้ จะหมดเดือนตุลาคมแล้วเพิ่งฉายได้แค่ 3 ครั้ง แต่น้องเราแย้งว่าอยู่มาเป็นอาทิตย์แล้วก็ยังฉายไม่ได้ ขอกลับไปให้เลือดต่อที่บ้านต่างจังหวัด สุดท้ายคุณหมอยอมให้กลับ แต่นัดมาทำการฉายแสงต่อเมื่อค่าเลือดได้ น้องเรากลับมาบ้าน ก็ไปให้เลือด จนค่าเลือดได้ แต่ติดเสาร์อาทิตย์ เลยเตรียมตัวจะมาฉายแสงในวันจันทร์ แต่คืนวันเสาร์น้องเรามีอาการแน่นท้องหายใจไม่สะดวก เลยเข้าตรวจที่โรงพยาบาลประจำอำเภอที่ต่างจังหวัด คุณหมอแจ้งว่ามีน้ำในช่องท้อง จะทำการเจาะน้ำออกให้ในวันรุ่งขึ้น ช่วงสาย ๆ ของวันถัดมาก คุณหมอก็ทำการเจาะช่องท้องให้ แต่ว่าเป็นเลือดออกมาก คุณหมอเลยส่งตัวเข้าไปตรวจช่องท้องอีกทีว่าที่ออกมาเป็นเลือดเพราะอะไร รุ่งขึ้นผลการตรวจออกมาว่าพบก้อนเนื้อในช่องท้อง ขนาด 11 เซนติเมตร พอเราทราบเลยรีบทำการติดต่อไปที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ ว่าตรวจพบก้อนเนื้อในช่องท้อง คุณหมอที่กรุงเทพให้รีบมาตรวจอย่างละเอียดที่กรุงเทพในวันอังคารที่ 24 ตุลาคม เราขับรถไปส่งน้องกับพี่ข้างบ้านแล้วกลับไปทำงานต่อ ช่วงเที่ยง ๆ เราโทรถามอาการกับพี่ที่ไปกับน้องเรา พี่เราบอกว่า คุณหมอแจ้งว่า ตอนนี้มะเร็งได้ลามไปที่ปอด เกาะลำไส้ และกระดูก อยู่ในระยะที่ 4 ขั้นวิกฤติ เราสติแตกมากตอนรู้ผล เพราะจากตอนแรกเหมือนจะหายแล้ว แต่กลายเป็นมะเร็งระยะที่ 4 ได้ยังงัย เรานั่งร้องไห้ในห้องทำงาน จนเพื่อนที่ทำงานพาไปลางานกับเจ้านาย เราพูดอะไรไม่ได้เลย ได้แต่ร้องไห้ เจ้านายอนุญาตให้มาหาน้อง แต่ให้เรานั่งสงบสติอารมณ์ก่อน เพราะเราจะขับรถไปหาน้องเอง (ต้องขอบคุณเจ้านายทั้ง 2 ท่านมากค่ะ) เรามาถึงก็พยายามทำตัวเหมือนปกติ บอกน้องว่าไม่เป็นไร คนที่เขาอาการแย่กว่าเราเขายังหายกันเยอะแยะไป น้องเราบอกว่าเขาจะสู้ ไม่ต้องห่วง เราต้องกลั้นน้ำตาอย่างมาก เพราะเขาได้ยินทุกอย่างที่หมอพูด แต่เขายังพยายามปลอบใจทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยการบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร เขาจะสู้ วันนั้นน้องเราก็แอดมิดเลย เราพยายามไปหาให้ได้บ่อยที่สุด แต่ก็ไม่ทุกวัน เพราะมันไกลกันมากแต่ก็ให้หลานสาวมาอยู่เป็นเพื่อนน้อง เพราะไม่อยากให้เขาเหงาและคิดมาก ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล คุณหมอก็จะเดินมาคุยเรื่องอาการป่วยกับน้องเราทุกวัน คุณหมอแจ้งกับน้องเราว่าอาการเอาหนักมาก และอัตราการรักษาหายขาดไม่มีเลย ได้แค่ประคับประคองกันไป แล้วมีโอกาสแค่ 20-30 เปอร์เซ็นที่เชื้อมะเร็งจะตอบสนองในการรักษา เอาตรง ๆ น้องเราก็ใจเสียไปเยอะมาก จากที่เคยเข้มแข็ง เราอาจจะผิดด้วยไม่สามารถลางานทำให้คุณหมอต้องบอกเรื่องอาการกับคนไข้โดยตรง เราสงสารน้องเรามาก ๆ รู้ว่าเขาอยากหายอยากสู้ แต่พอฟังคุณหมอแล้วเขาก็เศร้างลงทุกครั้ง
         วันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมาคุณหมอนัดเราให้ไปคุยกับทีมแพทย์ ครั้งนี้เราขอเข้าไปฟังคนเดียว เพราะเราไม่อยากให้น้องเรามารับฟังเรื่องราวอะไรอีกแล้ว คุณหมอสรุปให้ฟังว่า น้องสาวเป็นมะเร็งระยะที่ 4 ขั้นวิกฤติ จากในมดลูกตอนนี้มะเร็งได้ลามไปที่ปอด ลำไส้ และกระดูกเชิงกราน แล้วมะเร็งตัวนี้คุณหมอบอกว่าเป็นเชื้อดุ ไม่ค่อยตอบสนองกับการรักษา บางคนเป็นมะเร็งขั้นที่ 4 แต่เขาหาได้ เพราะเชื้อมะเร็งไม่ใช่เชื้อแรง แต่ในกรณีของน้องเรามีโอกาสน้อยมาก ให้เราทำใจแล้วให้ถามน้องว่าอยากกลับบ้านไหม เพราะหมอไม่แน่ใจว่าน้องเราจะได้กลับอีกไหม เราบอกคุณหมอไปว่า เรายังมั่นใจว่าอาการน้องเราน่าจะดีขึ้นได้ เพราะตอนนี้ถ้าไม่นับเรื่องมีน้ำในท้อง น้องเราแทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่เพราะน้ำในท้อง 6 ลิตรนี้ ทำให้น้องเราหายใจไม่ค่อยได้และไปกดกระเพาะอาหารกับระบบขับถ่าย เราขอให้หมอเจาะเอาน้ำออกเพื่อที่น้องเราจะได้หายใจได้สะดวกขึ้น แล้วอาจจะมีผลดีในเรื่องอื่น ๆ ตามมาก็ได้ แล้วเรื่องของค่าเลือดที่ยังไม่ได้สักทีเพราะมีเลือดไหลออกในช่องท้องด้วย น้ำ 6 ลิตรที่อยู่ในท้องเรามีเลือดปนอยู่ด้วย ทำให้เวลาเจาะน้ำออกน้ำที่ออกมาจะเป็นสีเลือด เราก็ถามคุณหมอว่าสามารถทำให้เลือดตัวนี้หยุดไหลได้ไหม จะได้ช่วยเรื่องค่าเลือด เพราะถึงให้เลือดไปค่าเลือดก็ไม่ขึ้น เพราะมันไปออกในช่องท้องหมด คุณหมอบอกว่าไม่ได้ จนกว่าก้อนมะเร็งจะฟ่อลง ถึงจะดีขึ้น
         ตอนนี้น้องสาวเราอยู่โรงพยาบาลในกรุงเทพมาแล้ว 2 อาทิตย์โดยไม่ได้ให้คีโม เพราะค่าเลือดยังไม่ได้และก็มีอาการติดเชื้อแทรกซ้อนตลอดเวลา เมื่อวานนี้คุณหมอได้เจาะเอาน้ำในช่องท้องออก ได้แค่ 1 ลิตรแล้วมันหยุดไหล วันนี้คุณหมอจะเจาะออกให้อีก 2 ลิตร
        ***ที่เราอยากจะให้น้องเราเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมป์เพราะเรามองว่าถ้าเป็นเชื้อมะเร็งร้ายแรงอย่างที่คุณหมอบอก ที่สถาบันมะเร็งของพระองค์ท่านนะจะมีการทำวิจัยอยู่บ้างแล้ว และเคสของน้องเราน่าจะเป็นเคสกรณีศึกษาได้ และประเด็นสำคัญคือทางครอบครัวเราไม่ได้มีเงินมากพอที่จะไปน้องไปโรงพยาบาลเอกชนคะ เพราะเรากับน้องเพิ่งผ่านวิกฤติโดนโกงที่ดินไป (อันนี้ขอไม่เล่ารายละเอียดนะค่ะ) พอเริ่มฟื้นตัวได้ น้องสาวก็มาป่วย ทำให้การเงินสะดุดมาก เรามีกันอยู่แค่ 2 คนพี่น้อง ถ้ามีอะไรที่เราทำให้น้องได้ หรือรักษาชีวิตของน้องเราได้เราก็อยากจะทำให้ดีที่สุด ในเมื่อเรื่องเงินเราช่วยไม่ได้ เราก็ขอช่วยหาทางในเรื่องการรักษาแทนค่ะ อย่าด่าเราเลยนะค่ะ เราไม่รู้จะทำยังงัยแล้วจริง ๆ ขอรบกวนผู้รู้ ช่วยแนะนำให้ทีค่ะ ว่าขั้นตอนการยืนเรื่องหรือฏีกาขอเป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมป์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่