🌟💦⚡️ ถุงมือนักเขียน เรื่องที่ 13 "เส้นทางสู่อิสรภาพ" โดย "ถุงมือเทพทิพยวิช" จบแล้ว =ให้ส่งคำตอบ ชุดที่ 1= ครับ⚡️💦

กระทู้คำถาม


มาถึงครึ่งทางแล้วครับสำหรับรายการ "ถุงมือนักเขียน" และเข้าสู่ครึ่งหลังแล้ว...

และเนื่องจาก จำนวนนักเขียนและเรื่องมีจำนวนมาก กรรมการพิจารณาแล้ว เห็นว่า สมควร แบ่งการตอบ เป็น 2 ส่วน เพื่อมิให้ "กระดาษคำตอบ" ยาวมากเกินไป ^^ จบเรื่องนี้แล้ว ขอให้ท่านนักอ่าน ตอบรวมในแบบฟอร์มคำตอบชุดที่ 1 ซึ่งจะจัดให้ในตอนท้ายของเรื่องนี้นะครับ...

เรื่องที่ 13 ลักกี้นัมเบอร์นี้ ว่าด้วย "เส้นทางสู่อิสรภาพ"

มันเป็นเส้นทางของใคร ? อิสรภาพที่ว่านั้น จากอะไร ??? ไปค้นหาคำตอบกันเลยครับ อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้






    ‘ปัง!’

    เสียงมัจจุราชความเร็วสูงพุ่งเข้าเจาะที่กลางหน้าผากทะลุออกท้ายทอยของนักการเมืองชื่อดัง ร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ทรุดฮวบลงกองกับพื้นเวทีปราศรัยทันทีที่สิ้นเสียงปืน เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลอย่างน่าสยดสยอง เหล่าบอดี้การ์ดที่แฝงตัวอยู่โดยรอบพากันวิ่งวุ่นมองหาทิศทางของวิถีกระสุน ที่คาดว่าน่าจะมาจากตึกใดตึกหนึ่งที่อยู่โดยรอบบริเวณ ขณะเดียวกันก็คอยคุ้มกันคนใหญ่คนโตที่ยังอยู่บนเวที ซึ่งตอนนี้พากันหมอบหลบตามสัญชาตญาณการระวังภัย ด้วยกลัวว่ากระสุนปริศนาจะไม่หมดเพียงเท่านี้

ประชาชนนับร้อยที่มาฟังปราศัยต่างตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น พากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทางอย่างโกลาหล ด้วยกลัวว่าจะมีนัดสองนัดสามตามมาอีกระลอก ด้านมือสังหารเมื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วง ก็เก็บอุปกรณ์อย่างใจเย็น ก่อนพาตัวเองหลบออกไปจากจุดซุ่มยิงโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ให้ตามสืบได้เลย

***************


    “ดีมากลูกพ่อ ลูกคนนี้ไม่เคยทำให้พ่อผิดหวังเลยจริงๆ”

         ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจกับรายงานที่ได้รับ มืออวบอูมหยิบมวนบุหรี่จากกล่องโลหะมาคาบไว้ที่ปากแล้วจุดไฟ จากนั้นก็อัดควันเข้าไปเต็มปอดก่อนจะค่อยๆ พ่นมันออกมาทางปากให้ลอยคละคลุ้งอย่างอ้อยอิ่งไปในอากาศ

          คนที่ได้รับคำชื่นชมไม่ได้ยินดียินร้ายกับน้ำคำนั้นสักนิด เธอไม่ได้เต็มใจที่จะทำ เธอไม่ได้อยากเป็นมือปืน แต่เธอไม่มีทางเลือก เธอเป็นเด็กกำพร้าที่คนตรงหน้าเก็บมาชุบเลี้ยง แล้วฝึกให้เป็นนักฆ่าตั้งแต่จำความได้ และไม่ได้มีแค่เธอคนเดียว ยังมีพี่น้องอีกหลายคนที่ตกอยู่ในชะตาเดียวกันกับเธอ แต่พวกเขาเหล่านั้นยินดีและเต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของ ‘คุณพ่อ’ อย่างไม่บิดพลิ้ว ต่างจากเธอ ที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนทำไปด้วยความลำบากใจ

“คุณพ่อคะ ถ้าลินอยากวางมือ คุณพ่อจะว่าอะไรไหมคะ”

นลิน บอกความประสงค์ของตัวเองออกไปด้วยใจกล้าๆ กลัวๆ หลังคิดทบทวนมาแล้วหลายต่อหลายคืน เธอไม่อาจทนอยู่ในวังวนอุบาทว์นี้ได้อีกต่อไปแล้ว เธอไม่อยากอยู่อย่างหวาดระแวง เธออยากมีอิสรภาพ อยากใช้ชีวิตปกติเหมือนดั่งคนทั่วๆ ไป

สิ้นคำพูดของหญิงสาว คนที่ถูกเรียกว่าพ่อก็หมุนเก้าอี้กลับมาประจันหน้ากับลูกนอกไส้  ตาคมดุจพญาเหยี่ยวตวัดมองคนในปกครองอย่างไม่ชอบใจนัก ก่อนรีบปรับให้ดูอ่อนโยนลง เมื่อยังมองเห็นประโยชน์ในตัวหญิงสาวอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความหมดจดในฝีมือที่ไม่มีใครในซุ้มเทียบได้ หรือสมองอันชาญฉลาดที่คิดวางแผนได้อย่างแยบยลสำหรับการออกปฏิบัติงานแต่ละครั้ง และอีกหลายๆ อย่างในตัวเธอที่หลายคนไม่อาจทำได้อย่างเธอคนนี้

“ทำไมล่ะ”

เผด็จทอดเสียงอ่อนถามราวกับผู้ใหญ่ใจดี ทั้งที่เนื้อแท้นั้นสุดแสนจะเหี้ยมโหด ฉากหน้าเขาคือนักการเมืองชื่อดัง ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี และชอบช่วยเหลือสังคม น้อยคนนักที่จะรู้ว่าฉากหลังของเขานั้นคือผู้อยู่เบื้องหลังธุรกิจผิดกฎหมายหลายต่อหลายอย่าง  

“คือลิน...” หญิงสาวก้มหน้างุด ไม่กล้าแม้จะสบตาอีกฝ่าย เมื่อตระหนักได้ว่าขึ้นหลังเสือมาแล้วมันลงกันได้ง่ายๆ เสียเมื่อไร

“เอาละ พ่อเข้าใจ”

เผด็จยกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้หญิงสาวพูดต่อ คนฟังเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความหวัง เมื่อคิดว่าอิสรภาพที่ฝันหามานานอยู่แค่เอื้อมมือ

“แต่ก่อนไป ทำงานให้พ่ออีกชิ้นได้ไหม งานนี้งานสุดท้าย ถ้าลินทำสำเร็จลินก็จะได้อิสรภาพตามที่ต้องการ แต่ถ้าไม่ ลินก็ต้องอยู่กับพวกเราต่อไป”

“ได้ค่ะพ่อ ลินตกลง”

นลินรีบตอบตกลงทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่างานสุดท้ายที่ว่าคืองานอะไร ตอนนี้เธอคิดแค่เพียงว่าสิ่งที่ฝันหามานานอยู่แค่เอื้อมมือ หากไม่รีบคว้าไว้มันอาจจะหลุดลอยไป และอาจจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันอีกเลย

ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกยื่นมาตรงหน้า นลินรีบยื่นมือไปรับมาและแกะออกดูอย่างไม่รอช้า แต่แล้วข้อมูลของเป้าหมายสุดท้ายที่อยู่ในมือกลับทำให้เธอตะลึงงัน ตัวเธอแข็งทื่อราวถูกสาปให้กลายเป็นหิน อนาคตแสนหวานที่วาดฝันไว้หายวับไปกับตา

เธอคงจะรีบวางแผนและปฏิบัติภารกิจสุดท้ายให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว หากเป้าหมายสุดท้ายเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่ ‘เขา’ คนนี้



5 เดือนที่แล้ว

“นึกว่าวันนี้จะมาเก้อเหมือนเมื่อวานซะแล้ว” ลูกค้าขาประจำของฉันถามขึ้นหลังสั่งขนมเรียบร้อยแล้ว

“พอดีเมื่อวานไปทำธุระให้คุณพ่อนิดหน่อยน่ะค่ะ เลยปิดร้าน”

ฉันเงยหน้าขึ้นตอบพร้อมส่งรอยยิ้มเป็นมิตรไปให้ ก่อนก้มลงจัดขนมใส่กล่องให้เขาต่อ ในใจก็ประหวัดคิดไปถึงธุระที่ว่า จังหวะนั้นเองทีวีที่เปิดทิ้งไว้ก็นำเสนอข่าวนักธุรกิจชื่อดังถูกลอบยิงอย่างอุกอาจขณะเดินทางไปเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าคนสำคัญ

“คนสมัยนี้ไม่รู้จิตใจทำด้วยอะไรนะครับ เอะอะก็ฆ่าก็แกงกัน ราวกับชีวิตคนเป็นผักเป็นปลา คนที่รับจ้างฆ่าก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าต้องเลือดเย็นขนาดไหน ถึงได้ฆ่าคนได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย”

เขาเปรยขึ้นหลังการนำเสนอข่าวจบลง ซึ่งคำพูดของเขากระทบใจฉันเข้าอย่างจัง ฉันได้แต่ยืนก้มหน้านิ่งจัดขนมต่อไปอย่างเงียบๆ ด้วยรู้สึกระอาอยู่ในใจ เพราะบุคคลที่เสียชีวิตในข่าวเมื่อสักครู่เป็นฝีมือของฉันเอง ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าเจ้าของร้านขนมไทยผู้แสนอ่อนหวานและแสนอ่อนโยนอย่างฉันคือนักฆ่ามือฉกาจ ในซุ้มของเผด็จ ภาพที่คนทั่วไปรู้จักฉันคือนลิน เจ้าของร้านหอมหวาน

“อันนี้ฉันก็ไม่ทราบนะคะ” ฉันตอบออกไปในที่สุด เพื่อไม่ให้เขาผิดสังเกต

“นั่นสินะครับ คุณจะไปรู้ได้ยังไง ผมนี่ก็แปลกคน ชวนคุณคุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้” เขาต่อว่าตัวเอง ก่อนชวนฉันคุยเรื่องอื่นต่อ “ว่าแต่ขนมนี่คุณทำเองหรือเปล่าครับ หรือไปรับมาจากที่ไหน”  

“ฉันทำเองค่ะ”

“จริงเหรอครับ” เขาทำตาโตอย่างเหลือเชื่อ ส่วนฉันได้แอบยิ้มกับท่าทางของเขา

“ไม่เชื่อเหรอคะ”

“ไม่เชิงครับ ผมแค่แปลกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่าผู้หญิงวัยเท่าคุณจะชอบทำขนมไทย ส่วนมากที่ผมเห็นมีแต่ป้าแก่ๆ ทั้งนั้นที่ทำขาย ถ้าเป็นวัยอย่างเราๆ ไม่เปิดร้านกาแฟก็ร้านเบเกอรี่”

ฉันหัวเราะกับคำตอบของเขา ก่อนถามเขากลับ

“แล้วคุณไม่น่าแปลกยิ่งกว่าฉันอีกเหรอคะ ผู้ชายสมัยนี้จะมีสักกี่คนที่จะชอบทานขนมไทยแบบคุณ แถมยังทานได้ทุกวันอีกต่างหาก”

“ใครว่าผมชอบขนมล่ะครับ ผมชอบคนขายต่างหาก

เขาพูดทีเล่นทีจริง แต่มันก็สามารถทำให้ใจของฉันกระตุกวูบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันได้ฟังถ้อยคำประมาณนี้จากผู้ชาย กลับกันฉันได้ยินคำเหล่านี้แทบทุกวันจากบรรดาลูกค้าทั้งหนุ่มทั้งแก่ที่แวะเวียนมาซื้อขนมที่ร้านของฉัน ซึ่งจุดประสงค์จริงๆ ของพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้อยู่ที่ขนมเลย แต่คำพูดของพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถสั่นคลอนความรู้สึกในจิตใจของฉันได้เลยสักนิด ต่างจากเขาคนนี้

“ผมล้อเล่นครับ ผมซื้อขนมไปให้คุณแม่ต่างหาก พอดีท่านชอบทาน และติดใจรสมือคุณ ผมเลยต้องแวะมาซื้อให้ท่านทุกวัน” เขาอธิบาย เมื่อเห็นฉันยืนนิ่ง คงกลัวว่าฉันจะคิดอย่างที่เขาพูดจริงๆ

“อ๋อค่ะ” ฉันพยักหน้าเข้าใจ ก่อนยื่นขนมที่จัดใส่กล่องเรียบร้อยให้เขา


หลังจากวันนั้นเขาก็ชวนฉันคุยมากขึ้น แม้ฉันจะพยายามเลี่ยงแค่ไหนก็ตาม เพราะฉันไม่อยากสร้างความผูกพันกับใคร ซึ่งมันอาจนำพาซึ่งความยุ่งยากในภายหลัง แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม เขาแสดงความจริงใจให้ฉันเห็นว่าเขาอยากเป็นเพื่อนกับฉันจริงๆ แล้วฉันเองก็ใจอ่อนในที่สุด ยอมรับมิตรภาพอันดีงามจากเขา

ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขาพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จากแม่ค้ากับลูกค้า กลายมาเป็นเพื่อน ช่วงเวลาไม่นานที่ได้รู้จักเขา และมันทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจของฉัน เขาเข้ามาทำให้หัวใจที่ด้านชาของฉันมีความรู้สึก เข้ามาทำให้ชีวิตที่ไร้จุดหมายและดูไร้ค่าของฉันมีความหมายขึ้นมา

แม้ว่าฉันจะมีความรู้สึกดีๆ ให้เขามากแค่ไหน แต่ฉันก็ต้องพยายามเก็บความรู้สึกตัวเองไว้ ไม่แสดงอะไรออกมาให้เขาเห็น เพราะเส้นทางของเราสองคนมันเหมือนเส้นขนาน ที่ไม่มีทางที่จะมาบรรจบกันได้ ทางเดินของเขาขาวสะอาด มีครอบครัวที่แสนอบอุ่น ในขณะที่ทางเดินของฉันเต็มไปด้วยคราบเลือดและสิ่งโสมม ฉันไม่อยากให้คนดีๆ แบบเขาต้องมาแปดเปื้อนเพราะคนอย่างฉัน

********************

“ผมรักคุณนะลิน”

เขาสารภาพกับฉันในเย็นวันหนึ่ง หากตอนนี้ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ฉันคงจะดีใจจนตัวลอย ที่ได้ยินคำคำนี้จากคนที่ฉันก็รักเขาเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงฉันกลับรู้สึกหนักใจ ทั้งยังรู้สึกหดหู่ เมื่อคิดถึงความเป็นจริงที่ว่าฉันเป็นนักฆ่า ที่มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย จะถูกสั่งเก็บเมื่อไรยังไม่รู้เลย และหากเขาได้รู้ความจริงเขาจะรับได้ไหม เขาจะยังพูดคำคำนี้ออกมาไหม

“คุณนี่ชอบพูดเล่นอยู่เรื่อยเลย” ฉันเฉไฉ แม้รู้ทั้งรู้ว่าเขาพูดออกมาจากใจจริง แต่ฉันก็พยายามจะปฏิเสธความรู้สึกของเขา เมื่อตระหนักได้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

“คราวนี้ผมพูดจริง” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ไม่มีแววหยอกเย้าเหมือนทุกครั้ง

“คนอย่างฉันไม่คู่ควรกับคนอย่างคุณหรอกค่ะ” พูดไปแล้วใจฉันก็รู้สึกปวดหนึบๆ ขึ้นมาเสียดื้อๆ  

“คุณใช้อะไรวัดว่าใครคู่ควรหรือไม่คู่ควรกับใคร”  

“คุณยังไม่รู้จักฉันดีพอ บางทีถ้าคุณรู้อะไรดีกว่านี้คุณอาจจะเกลียดฉันก็ได้นะคะ ทางที่ดีเราอย่ารู้สึกต่อกันมากกว่าคำว่าเพื่อนเลย”  

“ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมเกลียดคุณได้หรอกครับลิน” เขายื่นมือมากุมมือฉันไว้

“แม้ว่าฉันจะเคยฆ่าคนมาเป็นร้อยก็ตามงั้นเหรอคะ” ฉันดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา

ฉันตัดสินใจพูดออกไปแล้วก็ลอบสังเกตปฏิกิริยาของเขาไปด้วย เขามองฉันอย่างไม่อยากจะเชื่อ แน่ละ ถ้าเกิดวันดีคืนดีมีใครไปพูดว่าคนอย่างฉันคือมือปืนที่ฆ่าคนมานักต่อนักแล้ว คงไม่มีใครเชื่อ เพราะภายนอกฉันดูไม่มีพิษมีภัยอะไรเลย เป็นเพียงแม่ค้าขายขนมไทยธรรมดาๆ คนหนึ่ง ลักษณะท่าทางก็ดูอ่อนโยน ไม่มีเค้าของนักฆ่าเลยสักนิด

“ไม่ว่าอดีตคุณจะเป็นยังไง จะเคยทำอะไรเลวร้ายมาแค่ไหนผมก็ไม่สน ผมรู้แต่วันนี้ผมรักคุณ รักที่คุณเป็นคุณอยู่ตอนนี้” เขาพูดอย่างหนักแน่น ทั้งยังจ้องตาฉันไม่กะพริบ ฉันรีบเสมองไปทางอื่น ไม่กล้าแม้จะสบตาเขา เพราะกลัวใจตัวเองจะยอมศิโรราบให้กับเขา

“คุณรู้ไหมก่อนที่ผมจะตัดสินใจสารภาพกับคุณ ผมรวบรวมความกล้าอยู่ตั้งนานสองนาน แล้วผมก็คิดว่าคุณคงจะใจตรงกับผม ผมถึงได้กล้าพูดมันออกมา แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมคงคิดไปเองคนเดียว”  สีหน้าเขาปรากฏแววผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

“ฉัน...” ใจหนึ่งฉันอยากจะเล่าความจริงออกไปให้มันรู้แล้วรู้รอด เพื่อที่เขาจะได้ไม่มายุ่งวุ่นวายกับฉันอีก ใจหนึ่งฉันก็กลัวว่าถ้าเขารู้ความจริงแล้วเขาจะเกลียดฉัน คิดถึงตรงนี้ใจฉันมันก็ปวดแปลบ ราวกับโดนของแหลมคมกรีดลงมาซ้ำๆ ตอนนี้ฉันเริ่มสับสนในตัวเอง ไม่รู้จะจัดการกับปัญหานี้ยังไงดี

“ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับที่ผมรู้สึก คุณช่วยพูดออกมาชัดๆ หน่อยได้ไหมลิน เพื่อผมจะได้ตัดใจจากคุณได้ง่ายขึ้น แล้วผมก็ออกไปจากชีวิตคุณทันที จะไม่มาวุ่นวายให้คุณต้องลำบากใจอีก”

เธอควรจะดีใจไม่ใช่เหรอที่เขาจะออกไปจากชีวิตเธอ เขาจะได้ไม่แปดเปื้อนไปกับเธอ แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกรวดร้าว ใจมันเหมือนจะขาดรอนๆ เมื่อคิดว่าชีวิตนี้จะไม่ได้เจอเขาอีกต่อไปแล้ว ความรักมันช่างมีอนุภาพร้ายแรงเสียเหลือเกิน

(มีต่ออีกนิดครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่