เรื่องที่ 10 มีชื่อว่า "รักต้องเลือก" นี่เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับหลายๆคน..."รักต้องเลือก" ในกรณีนี้ จะเป็นเช่นไร ?
ไปติดตามกันเลยครับ....


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมบังคับพวงมาลัยรถเก๋งสี่ประตูให้เคลื่อนที่ไปตามทาง ถนนทอดยาวจนผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมาย ไม่ใช่ว่าผมจะลืมหรือไม่ทันสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวหรอก แต่นั่นเป็นเพราะผมมัวแต่นึกถึงผู้หญิงที่นั่งบนเบาะหลังต่างหากล่ะ แต่ความรู้สึกนึกคิดของผมในตอนนี้มีทั้งความดีใจและความอึดอัดผสมผสานกันอย่างลงตัวจนผมบอกไม่ถูกว่ามันดีหรือไม่ดี
ถนนทางตรงยาวผ่านป่าสองข้างทางที่เขียวชอุ่ม ผมพยายามทำเป็นหันไปมองกระจกซ้ายขวาสลับกัน และส่องกระจกมองหลังบ้าง ที่ทำไปนั้นไม่ได้เพื่ออยากจะเห็นถนนข้างหลังที่ไม่มีใครตามมาหรอก แต่ผมอยากเห็นใบหน้าของหญิงสาวแววตาดูเศร้า ๆ คนนี้ต่างหากล่ะ จังหวะหนึ่งที่ผมแอบมองเธอและเธอมองตอบกลับมาผ่านกระจกพร้อมรอยยิ้มที่มุมปกทำผมหัวใจเต้นเร็วกว่าเดิม
ภาพนั้นกลับทำให้จิตใจของผมสะท้านไปทั้งตัว ช่วงเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็สามารถทำให้เราทั้งคู่ต่างเข้าใจความปารถนาของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก ทันใดนั้นทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ขึ้นมาทันที
‘เฮ้ยสน กูขออะไรอย่างได้ป่ะ’ ผมนึกถึงคำพูดเพื่อนสนิท
‘ขออะไรวะ’
‘กูขอให้อย่าจีบน้ำ ได้มั้ย คนนี้กูขอว่ะ’
‘อืม... ได้สิ’ ผมตอบโดยไม่ต้องคิดในตอนนั้น
ใช่แล้ว ผู้หญิงที่นั่งบนเบาะหลังรถคือน้ำ และผู้ชายนั่งข้างน้ำก็คือดิน ดินเป็นเพื่อนรักของผมคนหนึ่งเช่นกัน เพื่อนในอุดมคติที่ใครหลายคนอยากจะมีกัน และด้วยความดีที่มันเคยมีให้ผม ผมจึงยอมแลกหัวใจของผมเพื่อตอบแทนความดีของมัน
กว่าปีแล้วที่ดินเอ่ยคำ ๆ นั้นออกมา ซึ่งมันนานพอที่จะทำให้ผมย้อนคิดทบทวนถึงมันว่าถูกต้องหรือไม่ที่ผมตอบมันแบบนั้น อาจจะถูกตรงที่ผมยังมีดินเป็นเพื่อนรักคอยช่วยเหลือพูดคุยกันทุกเรื่อง หรืออาจจะผิดที่ผมยังเฝ้าคิดถึงน้ำอยู่ตลอดเวลาโดยที่ตัวผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“อีกไกลมั้ย” ดินเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์และถามผม
“ขึ้นเขาลูกนี้ก็ถึงแล้ว” ผมตอบ
คงเป็นเพราะพวกเรานั่งรถตากแอร์มายาวนานกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว ความเบื่อหน่ายอาจจะคืบคลานเข้าในหัวของดินก็เป็นได้
“เดี๋ยวก็ถึงแล้วดิน” น้ำเอ่ยปากเพื่อให้อารมณ์ของดินเย็นลง และนั่นก็ทำให้ดินมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้างบนใบหน้า ผมกัดฟันกับภาพนั้น
ความจริงแล้วก่อนที่ดินมันจะห้ามผมจีบน้ำ ผมสัญญากับน้ำแล้วว่าเราจะครองรักกัน แต่เพราะการที่ผมติดหนี้น้ำใจมันหลายเรื่องทำให้ผมมักง่ายตกปากรับคำกับมันไป น้ำรู้ดีว่าผมยอมตามคำร้องขอของเพื่อนเพราะผมรักเพื่อนด้วยเช่นกัน แต่เธอก็ยอมทนอยู่กับดินเพราะว่าที่ไหนมีดิน ที่นั่นก็ต้องมีผมด้วย
ความสัมพันธ์ของเราทั้งสามคนมันมีความสลับซับซ้อนเกินกว่าที่ผมหรือเธอจะเข้าใจและยอมรับมันได้ คงมีแต่ดินเท่านั้นที่มันรู้สึกพึงพอใจที่มีทั้งเพื่อนรักและคนรักอยู่ข้าง ๆ กายไม่ห่าง เราสามคนเรียนจบมาด้วยกัน ทำงานที่เดียวกัน ทั้งกินข้าวไปเที่ยวที่ไหนก็จะมีเราสามคนไปด้วยกันตลอด มันเป็นภาพที่ดูแปลก ๆ ไปสักหน่อยที่มีถึงสาม
ผมแกล้งเอี้ยวตัวเข้าหากระจกส่องหลังเพื่อจะได้เห็นน้ำที่นั่งอยู่หลังเบาะของผม เธอทำสายตาเหม่อลอยไปนอกกระจก สายตาเหม่อลอยจนไม่สามารถเดาได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในหัวกันนะ ผมไม่แน่ใจว่าเธอคิดอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า
ผมไม่รู้ว่าเธออยากจะจบความสัมพันธ์บ้า ๆ แบบนี้หรือไม่ ถ้าเธอเห็นด้วยกับผม แผนการในวันนี้คงจะสำเร็จได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าไม่ล่ะ
เพราะความไม่มั่นใจนี่แหละที่ทำให้ผมลังเลที่จะทำมัน ผมจะทำร้ายเพื่อนรักของผมได้เชียวหรือ เพื่อนที่หวังดีและคอยช่วยเหลือผมทุกเรื่องแม้ตัวมันเองจะลำบากก็ตาม ถ้ามันไม่มาแย่งหัวใจของผมไปมันก็คงเป็นเพื่อนรักตลอดกาลของผมได้อยู่หรอก แต่พอขึ้นชื่อว่ามารหัวใจแล้วนี่สิ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องคนสนิทมิตรสหายที่ไหนก็คงยากที่จะมองหน้ากันโดยไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร
ผมขับรถขึ้นเขาทางชันไปเรื่อย ๆ โดยที่สังเกตดูมันและเธอที่นั่งเงียบ ๆ อยู่เบาะหลัง
“เอาล่ะ เราถึงแล้ว” ผมพูดขึ้น ทำให้ทั้งคู่ลุกนั่งตัวตรง
“ระยะทางเท่าไหร่กว่าจะถึงน้ำตก” ดินพูดขึ้น
“เราต้องเดินไปตามทางนั่นอีกสิบโล” ผมหันหน้าไปทางเดินเท้าขึ้นเนินไปสุดลูกหูลูกตา
ดินลงจากรถแล้วเตรียมผูกเชือกรองเท้าให้แน่น รูดซิบเสื้อให้กระชับ
“ก็น่าสนุกดีนะ” น้ำตอบสั้น ๆ ด้วยสีหน้าเรียบ ๆ ผมหันไปมองเธอที่กำลังเดินลงจากรถ
เมื่อผมเห็นทั้งคู่เดินสำรวจดูเส้นทางรอบ ๆ ผมจึงเดินลงจากรถและไปเปิดท้ายรถเพื่อไปหยิบของ ทั้งกระติกน้ำ กระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้ารวมทั้งขนมขบเคี้ยว และผมไม่ลืมที่จะหยิบเชือกไปด้วย
“เอาของไปเยอะจังสน” น้ำหันมาพูดกับผมโดยซ่อนรอยยิ้มไว้
“ก็มีแต่ขนมและน้ำดื่มไง เราจะได้ไปนั่งเล่นข้างน้ำตกด้วย” ผมตอบ
“เอ้อ แล้วน้ำป่าจะไม่มาเหรอ ฝนเพิ่งตกติดต่อกันหลายวัน” ดินถาม
“สบายใจได้ เจ้าหน้าที่บอกว่าน้ำไหลลงเขาหมดแล้ว และที่เรากำลังจะไปไม่ใช่ทางน้ำไหลด้วย”
ดินยกนาฬิกาข้อมือมาดู “กว่าจะถึงน้ำตกก็เที่ยงคงพอดี”
พวกเราสามคนเริ่มเดิน โดยมีดินน้ำหน้า น้ำเดินตาม และผมอยู่หลังสุด เส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นมีทั้งล้ำห้วยที่ต้องลุยผ่าน มีเนินชันและก้อนหินที่เราต้องปีน และยังมีหน้าผาสูงที่ต้องเดินผ่านทางแคบ ๆ
ซึ่งทางแคบ ๆ นี่แหละคือจุดหมายที่ผมจะไป ผมไม่ได้สนใจจะไปเล่นน้ำตกอะไรนั่นหรอก
ใช่แล้ว! ผมอยากจะจบความสัมพันธ์แบบสามคนด้วยการผลักใครสักคนให้ตกหน้าผาตายไปยังไงล่ะ หากผมทำสำเร็จนี่จะไม่ใช่การฆาตกรรม มันจะเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้นเอง แล้วหลังจากนั้นก็คงจะมีแค่ผมและน้ำเท่านั้น ผมแอบหัวเราะเสียงดังในใจ
“ขอบคุณมากเลยสนที่พามาเดินป่า รู้สึกสดชื่นจัง”
เสียงดินพูดพร้อมทำหน้าซาบซึ้งกับบรรยากาศรอบข้างที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ และด้วยที่ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวด้วยแล้ว ยิ่งทำให้มีทั้งความชื้นจากป่าและอากาศที่เย็นสบาย แต่ดินมาทำเป็นขอบคุณผม
นั่นไม่ทำให้ผมเปลี่ยนใจที่จะฆ่ามันหรอก
ความจริงผมมาสำรวจเส้นทางเดินที่นี่ก่อนหน้านี้แล้ว และยังไปดูตรงหน้าผานั่นอีกด้วยว่าหากมีฝนตกติดต่อกันหลาย ๆ วันเมื่อไหร่ที่นั่นจะลื่นมาก
ผมคิดว่าหากคนที่ไม่ระวังพื้นดินที่ลื่นตรงนั้นก็มีโอกาสถึง 50% ที่จะตกหน้าผาลงไปตายเองได้ แต่ถ้าดินไม่ได้อยู่ใน 50% นั้น ผมก็มีแผนสำรองในห้วยน้ำถัดไปที่ความลึกของห้วยนั้นสูงเกินกว่า 3 เมตร และหากใครไม่รู้ทางเดินบนโขดหินในช่วงนั้น ก็มีความเป็นไปได้ถึง 80% ที่จะตกน้ำและยังจะโดนกระแสน้ำไหลพลัดไปจนตกหน้าผาสูงหลายสิบเมตรตายได้
และก่อนหน้านี้หลายวันผมดูพยากรณ์อากาศมาแล้วว่าที่ป่าแห่งนี้ฝนจะตกชุก ผมจึงทำการนัดแนะกับเพื่อน ๆ ว่าจะมาเดินป่าที่นี่
หลังจากเดินมาได้เกือบครึ่งชั่วโมง ทางข้างหน้าอีกไม่ไกลจะเป็นหน้าผา
“เรานั่งพักกันก่อน” ผมพูดพร้อมชี้ไปทางใต้ร่มไม้
“เหงื่อยังไม่ทันออกเลย เราเดินต่อดีกว่า” ดินยังติดใจในการเดินป่า แต่ผมต้องให้มันพักก่อนเพราะข้างหน้านี้คือทางเดินที่ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูง ผมต้องเดินไปสำรวจความลื่นของพื้นก่อน
และยังต้องไปดูให้แน่ใจว่าผมจะไม่ตกลงไปตายเอง
“ข้างหน้ามันเป็นหน้าผา กูจะไปดูก่อนว่าทางเดินได้มั้ย”
ผมพูดเสร็จก็เดินไปยังหน้าผาทันที หน้าผาแห่งนี้มีลักษณะด้านหนึ่งเป็นถนนเล็กยาวประมาณร้อยเมตร ด้านหนึ่งเป็นกำแพงดิน ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูง มีแต่ชาวเขาแถบนี้ที่ใช้เส้นทางเดินนี้ประจำ แต่ความยากมันอยู่ที่บางช่วงของทางจะเป็นหลุมเป็นบ่อและมีหญ้าขึ้นสูงถึงเข่า และหญ้าบางกอจะขึ้นปิดปากหลุมไว้ หากใครไปเหยียบใส่หญ้ากอนั้นด้วยคิดว่าเป็นพื้นดิน คน ๆ นั้นก็จะลื่นตกหลุมไถลลงหน้าผาไปเลย ผมลองเดินไปกลับด้วยความระมัดระวัง เมื่อแน่ใจแล้วจึงตะโกนเรียกสองคนนั้น
“เดินได้ ปลอดภัย” ผมตะโกนเสียงดัง
“ขอบใจมากนะที่ไปดูให้” ดินพูดขอบคุณผม ส่วนน้ำหันมายิ้มขอบคุณให้ผม
ผมให้ดินเดินนำ ผมอาสาอยู่กลางเดินนำหน้าน้ำ และกำชับให้เธอเดินตามผมทุกฝีก้าว ดินเดินไปตามทางเรื่อย ๆ จนถึงช่วงที่มีหลุมและมีหญ้าขึ้นปิดปากหลุมเอาไว้
ผมจ้องมองดูว่ามันจะเหยียบเท้าลงไปสักหลุมหรือไม่ ถ้าหากมันเหยียบลงไปในหลุมที่อยู่ปากเหวพอดี นั่นก็จะทำให้มันตกเหวตายอย่างแน่นอน
แต่จนแล้วจนรอดมันก็เดินข้ามอุปสรรคเหล่านั้นไปได้อย่างง่ายได้ ผมรู้สึกเสียดายที่มันไม่เป็นไปตามแผน
แต่ไม่เป็นไร ด่านที่สองนี้ยากกว่าด่านแรกเยอะ
สุดทางเดินจะเป็นเนินหินประมาณครึ่งตัวที่ต้องปีนขึ้นไป พอดินไปถึงมันก็ปีนขึ้นไปยืนรอบนนั้นและยื่นมือมาเพื่อรอดึงมือคนข้างล่าง ผมหลีกทางให้น้ำดึงมือของดินขึ้นไปก่อน ผมกำลังจะเตรียมตัวใช้มือปีนเนินหินขึ้นบ้าง
“เอ้า! ส่งมือมาสิ” ดินพูดพร้อมยื่นมือมาให้ผม
ผมลังเลครู่หนึ่ง
นี่หรือคนที่ผมคิดจะลวงมาฆ่า ผมฉุดมือดินเพื่อดึงตัวเองขึ้นไปก่อน พวกเราเดินต่อไปเรื่อย ๆ ผ่านต้นไม้ที่บางต้นเพิ่งแตกใบอ่อนออกมา ความชุ่มชื้นจากผืนดินระเหยขึ้นมาทำให้อากาศเย็นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเราเดินลึกเข้าไปในป่า
เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมง เราสามคนสลับกันจิบน้ำจากกระติกเดียวกัน ความสวยงามของแสงแดดส่องทะลุพุ่มไม้สูงลงมายังพื้นดินเป็นภาพที่สร้างความเพลิดเพลิดให้กับดินและน้ำ มันและเธอเดินตัวลอยซึมซับกับบรรยากาศ คงมีแต่ผมที่ยังคงกังวลกับแผนการที่กำลังจะมาถึงนี้ และห้วยที่ว่านั้นก็อยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว
“เห็นโขดหินตรงนั้นมั้ย เป็นทางเดินผ่านไปได้ แต่ต้องระวังหน่อยนะ” ผมชี้นิ้วให้ทั้งคู่ดู “แต่เพื่อความปลอดภัยเราจะจับเชือกนี้ไปด้วยกัน”
ดินอาสาออกเดินถือเชือกนำ ผมตามและให้น้ำอยู่ท้ายสุด มันเริ่มเดินไปตามโขดหินอย่างคล่องแคล่ว ผมกะว่าหากมันไม่ลื่นตกโขดหินไปเอง ผมจะใช้จังหวะช่วงที่มันก้าวบนหินก้อนนั้นที่ดูท่าทางอันตรายแอบกระชากเชือกให้ดินเสียหลักตกน้ำไป
อีกแค่สามก้าวเท่านั้น ผมค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินบนก้อนหินตามมันไปโดยที่จ้องมองไปที่เท้าของมัน
แต่ว่า อ๊ะ! เพราะมัวแต่มองไปที่อื่น ผมก้าวเท้าไปไม่ถึงหินก้อนถัดไป ทำให้ผมกลิ้งตกน้ำไปทันที
ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกแต่ว่าร่างกายจมดิ่งและถูกสายน้ำพลัดลอยไปตามยถากรรม รอบตัวมีแต่ความมืดมิดที่ผมไม่สามารจับภาพได้เลยว่ามีอะไรบ้าง หรือว่านี่คือผลตอบแทนในความคิดอันชั่วร้ายเลวทรามนี้นะ มันช่างสาสมดีเหลือเกิน
ผมกลืนน้ำไปหลายอึกแล้วนี่ มันเริ่มจะสำลักน้ำและทำให้สมองผมขาดออกซิเจนแล้ว ผมยังพอมีสติอยู่คงจะเพิ่งขาดอากาศไปไม่นาน แต่ถ้าสมองผมขาดออกซิเจนไปสักสองนาทีผมคงหมดสติและตายอยู่ที่นี่
เอ๊ะ! ผมเห็นหน้าใครบางคนลอยเข้ามาหาผม แต่มันไม่ได้ว่ายน้ำมานี่ มันค่อย ๆ พุ่งเข้ามาและจ้องหน้าผมเหมือนคนที่โกรธแค้นปานจะฆ่ากันให้ตาย
(มีต่อครับ)
🌼💖🌼 ถุงมือนักเขียน เรื่องที่ 10 "รักต้องเลือก" โดย "ถุงมือ TRIPLE A (AAA)" ครับ 🌼💖🌼
เรื่องที่ 10 มีชื่อว่า "รักต้องเลือก" นี่เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับหลายๆคน..."รักต้องเลือก" ในกรณีนี้ จะเป็นเช่นไร ?
ไปติดตามกันเลยครับ....
ผมบังคับพวงมาลัยรถเก๋งสี่ประตูให้เคลื่อนที่ไปตามทาง ถนนทอดยาวจนผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมาย ไม่ใช่ว่าผมจะลืมหรือไม่ทันสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวหรอก แต่นั่นเป็นเพราะผมมัวแต่นึกถึงผู้หญิงที่นั่งบนเบาะหลังต่างหากล่ะ แต่ความรู้สึกนึกคิดของผมในตอนนี้มีทั้งความดีใจและความอึดอัดผสมผสานกันอย่างลงตัวจนผมบอกไม่ถูกว่ามันดีหรือไม่ดี
ถนนทางตรงยาวผ่านป่าสองข้างทางที่เขียวชอุ่ม ผมพยายามทำเป็นหันไปมองกระจกซ้ายขวาสลับกัน และส่องกระจกมองหลังบ้าง ที่ทำไปนั้นไม่ได้เพื่ออยากจะเห็นถนนข้างหลังที่ไม่มีใครตามมาหรอก แต่ผมอยากเห็นใบหน้าของหญิงสาวแววตาดูเศร้า ๆ คนนี้ต่างหากล่ะ จังหวะหนึ่งที่ผมแอบมองเธอและเธอมองตอบกลับมาผ่านกระจกพร้อมรอยยิ้มที่มุมปกทำผมหัวใจเต้นเร็วกว่าเดิม
ภาพนั้นกลับทำให้จิตใจของผมสะท้านไปทั้งตัว ช่วงเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็สามารถทำให้เราทั้งคู่ต่างเข้าใจความปารถนาของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก ทันใดนั้นทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ขึ้นมาทันที
‘เฮ้ยสน กูขออะไรอย่างได้ป่ะ’ ผมนึกถึงคำพูดเพื่อนสนิท
‘ขออะไรวะ’
‘กูขอให้อย่าจีบน้ำ ได้มั้ย คนนี้กูขอว่ะ’
‘อืม... ได้สิ’ ผมตอบโดยไม่ต้องคิดในตอนนั้น
ใช่แล้ว ผู้หญิงที่นั่งบนเบาะหลังรถคือน้ำ และผู้ชายนั่งข้างน้ำก็คือดิน ดินเป็นเพื่อนรักของผมคนหนึ่งเช่นกัน เพื่อนในอุดมคติที่ใครหลายคนอยากจะมีกัน และด้วยความดีที่มันเคยมีให้ผม ผมจึงยอมแลกหัวใจของผมเพื่อตอบแทนความดีของมัน
กว่าปีแล้วที่ดินเอ่ยคำ ๆ นั้นออกมา ซึ่งมันนานพอที่จะทำให้ผมย้อนคิดทบทวนถึงมันว่าถูกต้องหรือไม่ที่ผมตอบมันแบบนั้น อาจจะถูกตรงที่ผมยังมีดินเป็นเพื่อนรักคอยช่วยเหลือพูดคุยกันทุกเรื่อง หรืออาจจะผิดที่ผมยังเฝ้าคิดถึงน้ำอยู่ตลอดเวลาโดยที่ตัวผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“อีกไกลมั้ย” ดินเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์และถามผม
“ขึ้นเขาลูกนี้ก็ถึงแล้ว” ผมตอบ
คงเป็นเพราะพวกเรานั่งรถตากแอร์มายาวนานกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว ความเบื่อหน่ายอาจจะคืบคลานเข้าในหัวของดินก็เป็นได้
“เดี๋ยวก็ถึงแล้วดิน” น้ำเอ่ยปากเพื่อให้อารมณ์ของดินเย็นลง และนั่นก็ทำให้ดินมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้างบนใบหน้า ผมกัดฟันกับภาพนั้น
ความจริงแล้วก่อนที่ดินมันจะห้ามผมจีบน้ำ ผมสัญญากับน้ำแล้วว่าเราจะครองรักกัน แต่เพราะการที่ผมติดหนี้น้ำใจมันหลายเรื่องทำให้ผมมักง่ายตกปากรับคำกับมันไป น้ำรู้ดีว่าผมยอมตามคำร้องขอของเพื่อนเพราะผมรักเพื่อนด้วยเช่นกัน แต่เธอก็ยอมทนอยู่กับดินเพราะว่าที่ไหนมีดิน ที่นั่นก็ต้องมีผมด้วย
ความสัมพันธ์ของเราทั้งสามคนมันมีความสลับซับซ้อนเกินกว่าที่ผมหรือเธอจะเข้าใจและยอมรับมันได้ คงมีแต่ดินเท่านั้นที่มันรู้สึกพึงพอใจที่มีทั้งเพื่อนรักและคนรักอยู่ข้าง ๆ กายไม่ห่าง เราสามคนเรียนจบมาด้วยกัน ทำงานที่เดียวกัน ทั้งกินข้าวไปเที่ยวที่ไหนก็จะมีเราสามคนไปด้วยกันตลอด มันเป็นภาพที่ดูแปลก ๆ ไปสักหน่อยที่มีถึงสาม
ผมแกล้งเอี้ยวตัวเข้าหากระจกส่องหลังเพื่อจะได้เห็นน้ำที่นั่งอยู่หลังเบาะของผม เธอทำสายตาเหม่อลอยไปนอกกระจก สายตาเหม่อลอยจนไม่สามารถเดาได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในหัวกันนะ ผมไม่แน่ใจว่าเธอคิดอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า ผมไม่รู้ว่าเธออยากจะจบความสัมพันธ์บ้า ๆ แบบนี้หรือไม่ ถ้าเธอเห็นด้วยกับผม แผนการในวันนี้คงจะสำเร็จได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าไม่ล่ะ
เพราะความไม่มั่นใจนี่แหละที่ทำให้ผมลังเลที่จะทำมัน ผมจะทำร้ายเพื่อนรักของผมได้เชียวหรือ เพื่อนที่หวังดีและคอยช่วยเหลือผมทุกเรื่องแม้ตัวมันเองจะลำบากก็ตาม ถ้ามันไม่มาแย่งหัวใจของผมไปมันก็คงเป็นเพื่อนรักตลอดกาลของผมได้อยู่หรอก แต่พอขึ้นชื่อว่ามารหัวใจแล้วนี่สิ ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องคนสนิทมิตรสหายที่ไหนก็คงยากที่จะมองหน้ากันโดยไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร
ผมขับรถขึ้นเขาทางชันไปเรื่อย ๆ โดยที่สังเกตดูมันและเธอที่นั่งเงียบ ๆ อยู่เบาะหลัง
“เอาล่ะ เราถึงแล้ว” ผมพูดขึ้น ทำให้ทั้งคู่ลุกนั่งตัวตรง
“ระยะทางเท่าไหร่กว่าจะถึงน้ำตก” ดินพูดขึ้น
“เราต้องเดินไปตามทางนั่นอีกสิบโล” ผมหันหน้าไปทางเดินเท้าขึ้นเนินไปสุดลูกหูลูกตา
ดินลงจากรถแล้วเตรียมผูกเชือกรองเท้าให้แน่น รูดซิบเสื้อให้กระชับ
“ก็น่าสนุกดีนะ” น้ำตอบสั้น ๆ ด้วยสีหน้าเรียบ ๆ ผมหันไปมองเธอที่กำลังเดินลงจากรถ
เมื่อผมเห็นทั้งคู่เดินสำรวจดูเส้นทางรอบ ๆ ผมจึงเดินลงจากรถและไปเปิดท้ายรถเพื่อไปหยิบของ ทั้งกระติกน้ำ กระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้ารวมทั้งขนมขบเคี้ยว และผมไม่ลืมที่จะหยิบเชือกไปด้วย
“เอาของไปเยอะจังสน” น้ำหันมาพูดกับผมโดยซ่อนรอยยิ้มไว้
“ก็มีแต่ขนมและน้ำดื่มไง เราจะได้ไปนั่งเล่นข้างน้ำตกด้วย” ผมตอบ
“เอ้อ แล้วน้ำป่าจะไม่มาเหรอ ฝนเพิ่งตกติดต่อกันหลายวัน” ดินถาม
“สบายใจได้ เจ้าหน้าที่บอกว่าน้ำไหลลงเขาหมดแล้ว และที่เรากำลังจะไปไม่ใช่ทางน้ำไหลด้วย”
ดินยกนาฬิกาข้อมือมาดู “กว่าจะถึงน้ำตกก็เที่ยงคงพอดี”
พวกเราสามคนเริ่มเดิน โดยมีดินน้ำหน้า น้ำเดินตาม และผมอยู่หลังสุด เส้นทางที่เรากำลังจะเดินไปนั้นมีทั้งล้ำห้วยที่ต้องลุยผ่าน มีเนินชันและก้อนหินที่เราต้องปีน และยังมีหน้าผาสูงที่ต้องเดินผ่านทางแคบ ๆ
ซึ่งทางแคบ ๆ นี่แหละคือจุดหมายที่ผมจะไป ผมไม่ได้สนใจจะไปเล่นน้ำตกอะไรนั่นหรอก ใช่แล้ว! ผมอยากจะจบความสัมพันธ์แบบสามคนด้วยการผลักใครสักคนให้ตกหน้าผาตายไปยังไงล่ะ หากผมทำสำเร็จนี่จะไม่ใช่การฆาตกรรม มันจะเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้นเอง แล้วหลังจากนั้นก็คงจะมีแค่ผมและน้ำเท่านั้น ผมแอบหัวเราะเสียงดังในใจ
“ขอบคุณมากเลยสนที่พามาเดินป่า รู้สึกสดชื่นจัง”
เสียงดินพูดพร้อมทำหน้าซาบซึ้งกับบรรยากาศรอบข้างที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ และด้วยที่ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวด้วยแล้ว ยิ่งทำให้มีทั้งความชื้นจากป่าและอากาศที่เย็นสบาย แต่ดินมาทำเป็นขอบคุณผม นั่นไม่ทำให้ผมเปลี่ยนใจที่จะฆ่ามันหรอก
ความจริงผมมาสำรวจเส้นทางเดินที่นี่ก่อนหน้านี้แล้ว และยังไปดูตรงหน้าผานั่นอีกด้วยว่าหากมีฝนตกติดต่อกันหลาย ๆ วันเมื่อไหร่ที่นั่นจะลื่นมาก ผมคิดว่าหากคนที่ไม่ระวังพื้นดินที่ลื่นตรงนั้นก็มีโอกาสถึง 50% ที่จะตกหน้าผาลงไปตายเองได้ แต่ถ้าดินไม่ได้อยู่ใน 50% นั้น ผมก็มีแผนสำรองในห้วยน้ำถัดไปที่ความลึกของห้วยนั้นสูงเกินกว่า 3 เมตร และหากใครไม่รู้ทางเดินบนโขดหินในช่วงนั้น ก็มีความเป็นไปได้ถึง 80% ที่จะตกน้ำและยังจะโดนกระแสน้ำไหลพลัดไปจนตกหน้าผาสูงหลายสิบเมตรตายได้
และก่อนหน้านี้หลายวันผมดูพยากรณ์อากาศมาแล้วว่าที่ป่าแห่งนี้ฝนจะตกชุก ผมจึงทำการนัดแนะกับเพื่อน ๆ ว่าจะมาเดินป่าที่นี่
หลังจากเดินมาได้เกือบครึ่งชั่วโมง ทางข้างหน้าอีกไม่ไกลจะเป็นหน้าผา
“เรานั่งพักกันก่อน” ผมพูดพร้อมชี้ไปทางใต้ร่มไม้
“เหงื่อยังไม่ทันออกเลย เราเดินต่อดีกว่า” ดินยังติดใจในการเดินป่า แต่ผมต้องให้มันพักก่อนเพราะข้างหน้านี้คือทางเดินที่ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูง ผมต้องเดินไปสำรวจความลื่นของพื้นก่อน และยังต้องไปดูให้แน่ใจว่าผมจะไม่ตกลงไปตายเอง
“ข้างหน้ามันเป็นหน้าผา กูจะไปดูก่อนว่าทางเดินได้มั้ย”
ผมพูดเสร็จก็เดินไปยังหน้าผาทันที หน้าผาแห่งนี้มีลักษณะด้านหนึ่งเป็นถนนเล็กยาวประมาณร้อยเมตร ด้านหนึ่งเป็นกำแพงดิน ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูง มีแต่ชาวเขาแถบนี้ที่ใช้เส้นทางเดินนี้ประจำ แต่ความยากมันอยู่ที่บางช่วงของทางจะเป็นหลุมเป็นบ่อและมีหญ้าขึ้นสูงถึงเข่า และหญ้าบางกอจะขึ้นปิดปากหลุมไว้ หากใครไปเหยียบใส่หญ้ากอนั้นด้วยคิดว่าเป็นพื้นดิน คน ๆ นั้นก็จะลื่นตกหลุมไถลลงหน้าผาไปเลย ผมลองเดินไปกลับด้วยความระมัดระวัง เมื่อแน่ใจแล้วจึงตะโกนเรียกสองคนนั้น
“เดินได้ ปลอดภัย” ผมตะโกนเสียงดัง
“ขอบใจมากนะที่ไปดูให้” ดินพูดขอบคุณผม ส่วนน้ำหันมายิ้มขอบคุณให้ผม
ผมให้ดินเดินนำ ผมอาสาอยู่กลางเดินนำหน้าน้ำ และกำชับให้เธอเดินตามผมทุกฝีก้าว ดินเดินไปตามทางเรื่อย ๆ จนถึงช่วงที่มีหลุมและมีหญ้าขึ้นปิดปากหลุมเอาไว้ ผมจ้องมองดูว่ามันจะเหยียบเท้าลงไปสักหลุมหรือไม่ ถ้าหากมันเหยียบลงไปในหลุมที่อยู่ปากเหวพอดี นั่นก็จะทำให้มันตกเหวตายอย่างแน่นอน
แต่จนแล้วจนรอดมันก็เดินข้ามอุปสรรคเหล่านั้นไปได้อย่างง่ายได้ ผมรู้สึกเสียดายที่มันไม่เป็นไปตามแผน แต่ไม่เป็นไร ด่านที่สองนี้ยากกว่าด่านแรกเยอะ
สุดทางเดินจะเป็นเนินหินประมาณครึ่งตัวที่ต้องปีนขึ้นไป พอดินไปถึงมันก็ปีนขึ้นไปยืนรอบนนั้นและยื่นมือมาเพื่อรอดึงมือคนข้างล่าง ผมหลีกทางให้น้ำดึงมือของดินขึ้นไปก่อน ผมกำลังจะเตรียมตัวใช้มือปีนเนินหินขึ้นบ้าง
“เอ้า! ส่งมือมาสิ” ดินพูดพร้อมยื่นมือมาให้ผม
ผมลังเลครู่หนึ่ง นี่หรือคนที่ผมคิดจะลวงมาฆ่า ผมฉุดมือดินเพื่อดึงตัวเองขึ้นไปก่อน พวกเราเดินต่อไปเรื่อย ๆ ผ่านต้นไม้ที่บางต้นเพิ่งแตกใบอ่อนออกมา ความชุ่มชื้นจากผืนดินระเหยขึ้นมาทำให้อากาศเย็นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเราเดินลึกเข้าไปในป่า
เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมง เราสามคนสลับกันจิบน้ำจากกระติกเดียวกัน ความสวยงามของแสงแดดส่องทะลุพุ่มไม้สูงลงมายังพื้นดินเป็นภาพที่สร้างความเพลิดเพลิดให้กับดินและน้ำ มันและเธอเดินตัวลอยซึมซับกับบรรยากาศ คงมีแต่ผมที่ยังคงกังวลกับแผนการที่กำลังจะมาถึงนี้ และห้วยที่ว่านั้นก็อยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว
“เห็นโขดหินตรงนั้นมั้ย เป็นทางเดินผ่านไปได้ แต่ต้องระวังหน่อยนะ” ผมชี้นิ้วให้ทั้งคู่ดู “แต่เพื่อความปลอดภัยเราจะจับเชือกนี้ไปด้วยกัน”
ดินอาสาออกเดินถือเชือกนำ ผมตามและให้น้ำอยู่ท้ายสุด มันเริ่มเดินไปตามโขดหินอย่างคล่องแคล่ว ผมกะว่าหากมันไม่ลื่นตกโขดหินไปเอง ผมจะใช้จังหวะช่วงที่มันก้าวบนหินก้อนนั้นที่ดูท่าทางอันตรายแอบกระชากเชือกให้ดินเสียหลักตกน้ำไป
อีกแค่สามก้าวเท่านั้น ผมค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินบนก้อนหินตามมันไปโดยที่จ้องมองไปที่เท้าของมัน แต่ว่า อ๊ะ! เพราะมัวแต่มองไปที่อื่น ผมก้าวเท้าไปไม่ถึงหินก้อนถัดไป ทำให้ผมกลิ้งตกน้ำไปทันที
ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกแต่ว่าร่างกายจมดิ่งและถูกสายน้ำพลัดลอยไปตามยถากรรม รอบตัวมีแต่ความมืดมิดที่ผมไม่สามารจับภาพได้เลยว่ามีอะไรบ้าง หรือว่านี่คือผลตอบแทนในความคิดอันชั่วร้ายเลวทรามนี้นะ มันช่างสาสมดีเหลือเกิน
ผมกลืนน้ำไปหลายอึกแล้วนี่ มันเริ่มจะสำลักน้ำและทำให้สมองผมขาดออกซิเจนแล้ว ผมยังพอมีสติอยู่คงจะเพิ่งขาดอากาศไปไม่นาน แต่ถ้าสมองผมขาดออกซิเจนไปสักสองนาทีผมคงหมดสติและตายอยู่ที่นี่
เอ๊ะ! ผมเห็นหน้าใครบางคนลอยเข้ามาหาผม แต่มันไม่ได้ว่ายน้ำมานี่ มันค่อย ๆ พุ่งเข้ามาและจ้องหน้าผมเหมือนคนที่โกรธแค้นปานจะฆ่ากันให้ตาย
(มีต่อครับ)