(Review+No Spoiled) Thor: Ragnarok ลาก่อน ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้าที่เราเคยรู้จัก และการข้ามพ้นวัยอีกขั้นของธอร์

ธอร์ที่เรารู้จัก คือเทพเจ้าสายฟ้า ผมทอง ท่าทางซื่อบื้อไม่รู้เหนือรู้ใต้ (จริงๆ นะ) แต่เป็นคนอารมณ์ดี มีเกราะและเสื้อผ้า (ที่ถูกโทนี่แซวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าชุดลิเก...) ประจำตัว พร้อมค้อนมโยลเนียร์ อาวุธคู่ใจ

และธอร์ในภาคนี้ ปราศจากสิ่งที่เรารู้จักทั้งหมด

และนี่เอง คือการข้ามพ้นวัย coming-of-age ครั้งใหญ่ของเขา


ในอาณาจักรแอสการ์ด โอดินสละบัลลังก์ไปเป็นลุงย้วยๆ ในยุโรป ทำให้ เฮลา (เคต บลานเชตต์-ซึ่งสวยและคุกคามสุดขีด!) พี่สาวของธอร์ที่หลุดจากการคุมขังกลับมาทวงบัลลังก์คืนอีกครั้ง กลายเป็นการเปลี่ยนแผ่นดินนองเลือดไปในทันที

*มาร์คไว้นิด อันที่จริงหลายคนกลัวว่าบลานเชตต์จะไม่เข้ากันกับหนัง ด้วยความเป็นนักแสดงสายรางวัลและความสวยสง่าประจำตัว ซึ่งบอกเลยว่า ความบลานเชตต์ที่แท้จริงนั้นคือ 'เด็จแม่อยู่ในหนังเรื่องไหนก็ยัดตัวเองลงในนั้นได้อย่างเหมาะสมเหมาะควรสุดๆ ต่างหากล่ะ! ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เราเห็นความอนาจของนักแสดง A+ ที่เล่นหนังไม่เข้าฟอร์มตัวเองแล้วพังเพราะ 'หรี่' ความเป็นสตาร์ (หรือก็คือความเป็นตัวเองตัวเอง) ของพวกเขาลงไม่ได้ไปไม่รู้ตั้งกี่คนต่อกี่คน แต่บลานเชตต์นี่ไม่มีอะไรแบบนั้น คือไม่รู้ทำยังไงอะ ไม่รู้ผกก.ไปบรีฟอีท่าไหน เด็จแม่ตีบทยังไง แต่ผลออกมาคือ มันไม่ประดักประเดิด บลานเชตต์ก็อยู่ในหนังแฟนตาซีแอ็กชั่นเรื่องนี้อย่างสวยงาม นักแสดงอาชีพจริงๆ


ข้อดี

-สิ่งที่เราสังเกตได้ชัดคือหนังผลัดเปลี่ยนธอร์จากตัวละครฮีโร่ธรรมดาไปสู่ฮีโร่ที่มัน coming-of-age ตัวเองไปอีกขั้นแล้วน่ะ ธอร์ในนี้ไม่ใช่ธอร์ที่เราคุ้นเคยแล้วเพราะไม่มีเสื้อเกราะของตัวเอง ผมถูกหั่นสั้น ไหนจะค้อนประจำตัวแหลกสลาย แต่มันไม่ได้เล่าผ่านการเติบโตด้วยท่าทีเจ็บปวดเหลือแสนเท่านั้นเอง

-คือเราต้องบอกอย่างหนึ่งว่า ธอร์มันเป็นตัวละครที่ถูกเขียนขึ้นมาให้มีความเป็น "ตลก" อยู่สูงมาก แต่ตลกคนละแบบกะอีลุงโทนี่ สตาร์คนะ สังเกตได้เลยว่ามุกที่ธอร์เล่นมักเป็นมุกหน้าตาย แถมเป็นมุกที่ตลกเพราะความไม่รู้เหนือรู้ใต้ของพี่แกนี่แหละ (เฮ้อ...)

-นักแสดงไม่ผิดที่ผิดทาง ขนาดว่าได้บลานเชตต์มายังเข้ากับหนังมากๆ ส่วนพี่ทอม ฮิดฯ ที่เล่นหนังสารพัดฟอร์ม ก็น่ารักน่าชังเหลือเกินในภาคนี้ ทีมงานแข็งแกร่งมากๆ ในบทของโลกิ คือตั้งใจเขียนให้มันเป็นตัวละครที่เรารักไม่ได้ เกลียดก็ไม่ลงในทุกภาคจริงๆ คือกวนตีนขนาดนั้น เรายังเกลียดมันไม่ได้เลยอะ มีแต่หมั่นไส้หรืออยากเดินไปหยิกแรงๆ สักที (ขณะที่ธอร์ พรี่ชัยย์ ก็เป็นตัวละครบื้อๆ ที่ถูกสร้างมาให้ไล่ไม่ทันเล่ห์ของน็องชัยย์)

-มุกตลกเพียบ คือไทกา ไวตีติ เป็นผกก.ที่กำกับจังหวะตลกดีมาก (ไปหาหนังเรื่องเก่าๆ ของแกมาดูได้เลย What We Do in the Shadows เป็นหนังตลกโปกฮาที่ประสาทมาก กำกับหนังเซอร์เหลือเกินนังนี่) แต่ที่ชอบที่สุดคือการตบมุกกันระหว่างพี่ชายน้องชายชาวแอสการ์ด (โดยเฉพาะมุก "NEED HELP" นี่สิบดาวเลย เกลียดการมองค้อนของน้องชายมาก) หรือมุกแบบ ไม่มีค้อนไว้เหวี่ยงเหรอ เหวี่ยงน้องชายแทนสิ (ได้เหรอวะ) และมันเป็นมุกตลกแบบที่ต่อให้ไม่ใช่แฟนมาร์เวลก็ขำอะ

-สำคัญที่สุดคือ ท่าทีของหนังต่อตัวละคร คือเห็นได้ชัดแล้วว่าหนังมาร์เวลที่ถูกมองเป็นลูกกวาดใสๆ มาตลอด มันกล้าที่จะทำให้ตัวละครเจ็บปวดและเปลี่ยนผ่าน มีการเติบโตของตัวละคร จากนี้ไปจะไม่มีธอร์ที่ผมยาวสลวยเหมือนใช้ลอริอัลลลลลลลแล้วนะ ไม่มีความเป็นเจ้าชายที่ติดจะล่องลอยอีกแล้ว มันเป็นตัวละครที่เจ็บปวดและก้าวผ่านความเจ็บปวดนั้นมาด้วยการประคับประคองของคนรอบข้าง (ตัวละครที่เรารู้สึกว่าผ่านควมเฮิร์ตแบบนี้มาแล้วคือ กัปตันอเมริกาและตัวโทนี่เอง)

-และที่ชอบมากสุดคือเพลงงงงง  Immigrant Song ของ Led Zeppelin โอ้ยยยย อยู่ในหนังอย่างถูกจังหวะมาก ตอนเพลงขึ้นนี่แทบจะโดดโยกในโรงแล้ว อีไทกา ผกก. เซ้นส์ดนตรีดีมากเลยไอ้บ้าเอ๊ยยยย (ชม)

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ที่ไม่ชอบ

-เราเบื่อความน้ำเน่าและฉากอี๋ๆ บางฉากของมันมากเลยอะ แบบ โหยหาคุณพ่อ หรือไอ้ความเป็นตัวร้ายผู้ดุดัน อะไรแบบนี้ คือรู้แหละว่าเป็นปกติของหนังซูเปอร์ฮีโร่ มันต้องว่าด้วยการแบ่งฝั่งธรรมะอธรรม แต่ช่วยทำให้ฝั่งอธรรมดูเป็นมนุษย์กว่านี้หน่อยได้ไหมนะ สงสัยจริงๆ

ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันเรื่องภาพยนตร์กันนะคะ

Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่