ไปเจอบทวิเคราะห์จากมติชนกล่าวถึงละคร "นายฮ้อยทมิฬ" มา ซึ่งวิเคราะห์ได้แบบ
"ตรงจุดและวิเคราะห์ได้ดีแบบตรงไปตรงมามากๆ"
แต่...............................???
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ : นายฮ้อยทมิฬ เมื่ออีสานประกาศอิสรภาพทางวัฒนธรรม
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2560
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
เผยแพร่ วันพฤหัสที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2560
ทุกคนรู้ว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทย แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้ กรุงเทพฯ พยายามกำกับวาระของประเทศทุกเรื่องมาโดยตลอด
ปัญหาแทบทุกมิติของประเทศนี้วนเวียนกับการจรรโลงอำนาจกรุงเทพฯ ท่ามกลางการท้าทายของประเทศส่วนนอกกรุงเทพฯ
การไม่เข้าใจว่าประเทศนี้เปลี่ยนไปคือหนึ่งในต้นตอของความขัดแย้งในประเทศนี้เสมอมา
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีละครสองเรื่องที่ชะตากรรมย้อนแย้งจนชวนให้ใช้สมองคิดอย่างจริงจังมาก
ละครเรื่องหนึ่งถูกพูดถึงเยอะในโซเชียลและคนกรุงเทพฯ แต่เรตติ้งระดับประเทศไม่ได้โดดเด่นเท่าเสียงฮือฮานัก
ขณะที่ละครอีกเรื่องแทบไม่มีโซเชียลกรุงเทพฯ พูดถึงเลย ขณะที่เรตติ้งพุ่งแรงแซงเรื่องแรกไปแบบเกินเท่าตัว
พูดชัดๆ ละครเรื่องแรกคือ “รากนครา” ซึ่งมีเรตติ้งราว 3-4
ส่วนละครเรื่องหลังคือ “นายฮ้อยทมิฬ” ซึ่งเรตติ้งขยับจาก 7 ไป 9 และอาจพุ่งถึง 10 ทั้งที่ในโลกโซเชียลของคนเมือง คนพูดถึงนายฮ้อยน้อยกว่าดราม่าเชียงพระคำแบบไม่ต้องเทียบกัน
พูดสั้นๆ คนกรุงไม่สนนายฮ้อย เลยไม่รู้ต่อไปว่าความสำเร็จของนายฮ้อยสะท้อนการเปลี่ยนไปของประเทศไทย
และเรตติ้งที่สูงขนาดนี้แสดงความแข็งแกร่งของอีสานทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
นายฮ้อยทมิฬเป็นงานเขียนปี 2520 ของนักเขียนที่แม่นยำที่สุดของยุคในเรื่องอีสาน “คำพูน บุญทวี” เคยถีบสามล้อ ขายยาเร่ เป็นกรรมกร คุมคุก ฯลฯ และโด่งดังจาก “ลูกอีสาน” ที่ต่อมาเป็นหนังโกยตุ๊กตาทองของยุคนั้น
ในแง่นี้ ละครเรื่องนี้สร้างจากหนังสือของนักเขียนที่แข็งแกร่งเรื่องอีสานที่สุดคนหนึ่งของประเทศ ชีวิตคนเขียนอยู่ในงานเขียน และเมื่องานเขียนพัฒนาเป็นละครทีวี นี่จึงเป็นหนึ่งในงานที่ประสบความสำเร็จตลอดมา
ในกรณีของนักแสดง นายฮ้อยทมิฬมีจุดเด่นที่นักร้องซึ่งเป็นตัวแทนอีสานรากหญ้า นักแสดงอย่าง ไผ่ พงศธร ทำเพลงบนภาพแทนหนุ่มโรงงานอีสานในเมืองใหญ่มานานแล้ว
ไมค์ ภิรมย์พร รับบทแบบนี้ในละครปี 2544 ช่วงที่เขามีภาพแทนกรรมกรก่อสร้าง เช่นเดียวกับ จินตหรา พูนลาภ ซึ่งมีภาพแทนกรรมกรหญิงในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยมาหลายสิบปี
นายฮ้อยทมิฬเป็นละครที่พระเอกเป็นตัวประกอบในฉากใหญ่ของคนอีสานครับ พระเอกนางเอกปี 2544 คือศรัณยูกับใครอีกคนซึ่งเราจำกันแทบไม่ได้แล้ว แต่ไมค์กับจินตหรา เรายังเห็นหน้าค่าตาเขาเรื่อยจนปัจจุบัน
คนไม่ได้ดูนายฮ้อยทมิฬเพราะพระเอกนางเอก เขาดูเพราะความเป็นอีสานซึ่งบังเอิญมีพระเอกนางเอกคู่นั้นอยู่ตรงกลาง ในอีกสิบปีจะไม่มีใครจำนายฮ้อยเคนหรือฝนปุ๊กลุกได้ แต่ไผ่หรือปอยฝ้ายจะอยู่ในอุตสาหกรรมนี้แน่นอน
ดูวิธีวางตัวนักแสดงก็เห็นแล้วว่าทีมกำกับเห็นพลังมวลชนของแรงงานอีสาน ซึ่งพูดจริงๆ ก็คือคนกลุ่มใหญ่สุดของชนชั้นแรงงานไทยตลอดหลายสิบปี
เรื่องของภาษาที่ใช้ในละครก็น่าสนใจ แน่นอนว่านายฮ้อยทมิฬเป็นเรื่องอีสาน ตัวละครต้องพูดอีสานอยู่แล้ว ประเด็นคือละครฉบับปี 2544 พูดอีสาน แต่ไม่เข้มข้นขนาดต้องมีคำบรรยายประกอบครับ ขณะที่ละครปี 2560 พูดอีสานเข้มข้นมากจนต้องมีคำบรรยายภาษากลางให้คนดูทั่วไปเข้าใจ
ความภูมิใจในภาษาและวัฒนธรรมอีสานเป็นบุคลิกที่เด่นชัดมากของละครเรื่องนี้ในรอบนี้ และความมั่นใจในของพลังอีสานก็มากพอจะทำให้ผู้กำกับทำละครในช่องระดับชาติโดยพูดภาษาอีสานล้วนๆ แบบไม่กลัวมีปัญหาเรื่องคนดู
น่าสังเกตนะครับว่าหนึ่งใน “ดราม่า” ที่เกิดขึ้นตอนละครเรื่องนี้ออกอากาศก็เกี่ยวกับเรื่องภาษาอีสานเหมือนกัน คุณสุรสีห์ ผาธรรม หนึ่งในผู้กำกับฯ ที่ทำเรื่องอีสานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุค “ครูบ้านนอก” จนถึง “ราชินีดอกหญ้า” ทักว่านายฮ้อยทมิฬมีตัวละครหลักที่พูดภาษาอีสานเพี้ยน จากนั้น “โซเชียล” ก็เถียงกันว่าเพี้ยนหรือคุณสุรสีห์คิดมากเกินไป
อย่างไรก็ดี ตำแหน่งแห่งที่ของคุณสุรสีห์ในอุตสาหกรรมหนังไทยคือคนที่ทำหนังเรื่องอีสานมาเกือบหนึ่งทศวรรษในช่วง 2520-2530 “ครูบ้านนอก” คืองานคลาสสิคที่ทำให้เรื่องอีสานมีที่ยืนในระบบหนังของประเทศ มันยิ่งใหญ่จน หม่ำ จ๊กมก หยิบงานนี้มาทำซ้ำในปี 2553 การทักเรื่องภาษาอีสานมาจากผู้กำกับฯ ที่บุกเบิกการทำหนังอีสานของประเทศไทย
ภายใต้ดราม่าเรื่องนายฮ้อยพูดอีสานชัดหรือไม่
สิ่งที่คุณสุรสีห์กำลังทำคือการพูดภาษาอีสานให้ชัดเจนและถูกต้องนั้น
เป็นมาตรฐานที่ต้องเป็นเช่นเดียวกับการพูดภาษาภาคกลาง
ในแง่นี้ แค่ดราม่าที่เกี่ยวกับภาษาในละครเรื่องนี้ก็สะท้อนการต่อสู้ทางวัฒนธรรมที่มีนัยยะสำคัญ
ละครคือการสื่อสารทางสังคม และในฐานะที่เคยเรียนเรื่องวัฒนธรรมศึกษาแบบข้ามชาติมาบ้าง ความสำเร็จของละครเรื่องนี้ชวนสังคมไทยให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงสามเรื่องครับ
เรื่องที่หนึ่ง ความเป็นอีสานคือทุนทางวัฒนธรรมที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ความสำเร็จของละครนายฮ้อยทมิฬเกิดจากความเข้าใจเรื่องนี้และสร้างงานที่ตอบโจทย์นี้อย่างแม่นยำ
เรื่องที่สอง ความรู้สึกแบบท้องถิ่นนิยมเป็นฐานทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งมากของ “ความเป็นอีสาน” ต่อให้คนอีสานจะอพยพไปทำงานหรือตั้งรกรากในพื้นที่ไหนก็ตาม
เรื่องที่สาม การเคารพอัตลักษณ์และวัฒนธรรมอีสานสำคัญต่อการสร้างความเป็นชาติที่แข็งแกร่งในประเทศ และประเทศไทยเลี่ยงไม่ได้ที่จะสร้างชาติบนความเป็นพหุสังคมวัฒนธรรม
ตราบใดที่คนกรุงเทพฯ ยังไม่รู้ว่านายฮ้อยทมิฬดังขนาดไหน
ตราบนั้นคนกรุงเทพฯ จะไม่มีวันเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่อยู่นอกกรุงเทพฯ
และกรุงเทพฯ คือส่วนเล็กของประเทศไทย
เครดิต :
https://www.matichonweekly.com/in-depth/article_61664
เผื่อใครไม่ทราบว่าคุณ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ เค้าใครมาจากไหน เราเลยเอาข้อมูลของเค้าคร่าวๆมาแปะไว้ให้ด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
อาจารย์พิเศษด้านทฤษฎีสังคมศาสตร์และสิทธิมนุษยชนศึกษาจากโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ศิโรตม์ศึกษาด้านรัฐศาสตร์และ International Cultural Studies จากมหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐฮาวายอิ
เป็นบรรณาธิการหนังสือ ทฤษฎีและความรู้ในยุคโลกาภิวัตน์ (2544), จักรวรรดินิยมและการก่อการร้าย (2545)
ผู้เขียน แรงงานวิจารณ์เจ้า (2547), ประชาธิปไตยไม่ใช่ของเรา (2550), ประชาธิปไตยก็เรื่องของเรา (2554)
ผู้แปล Global Nonkilling Political Science ของ Glain Paige (2552) และ Identity and Violence
ของ Amartya Sen (อยู่ระหว่างการจัดพิมพ์)
เครดิต : http://www.jimthompsonhouse.com/thai/events/Primitive-Programs.asp
.................................................................................................................................................
ถือเป็นการวิเคราะห์ที่ค่อนข้างโดนใจคอละครอย่างเรามากๆ แม้จะมีบางส่วนที่เราแอบเห็นขัดแย้งเล็กน้อย
เรื่องที่เหมือนจะมีการโยงการเมืองนิดๆกับที่บอกว่านายฮ้อยไม่มีกระแส เพราะความจริงนายฮ้อยกระแสเค้าแรงมาตั้งแต่
ตอนแรกจนตอนปัจจุบันที่ยังถูกพูดถึงเยอะอยู่ ติดเทรนด์อันดับ1ตั้งแต่ตอนแรกและติดทุกตอนนะมีที่1ที่2บ้าง
หรือที่ลำดับเยอะกว่านั้นบ้างแต่ก็ยังถูกพูดถึงอยู่ตลอดไม่ได้เงียบเลยนะ เพราะละครออนทีไรเราสิงอยู่ในทวิตตลอด
เพราะเม้าท์กันมันส์มาก อิๆๆ ทั้งที่ความจริงละครแนวนี้ไม่น่าจะเจาะกลุ่มโซเชียลด้วยซ้ำแต่ก็ยังมีคนพูดถึงในโซเชียล
มากโขอยู่ทั้งในทวิตเตอร์และไอจีอีกทั้งยังมีเพจต่างๆหรือเพจ/เว็บข่าวเขียนข่าวถึงอยู่บ่อยมากๆ โดยเฉพาะปุ๊กลุ๊ก
กับการหน้าสดและการพูดภาาอีสานในละคร จะพูดถึงเยอะอยู่ดูจากในทวิตจะมีคนเอาลิ้งค์ข่าวจากที่ต่างๆมาแปะอยู่บ่อยๆ
เพียงแต่ละครแนวๆนี้มันไม่ได้จะมีประเด็นแรงๆให้ต้องเอามาเม้าท์หรือถูกพูดถึงข้ามวันข้ามคืนเฉยๆ แต่เวลาละครออนที
ทวิตก็ไหลลื่นมาเยอะพอสมควร แต่จากการวิเคราะห์นี้ ที่โดนใจที่สุดคือประโยคสุดท้ายที่ว่า....
"ตราบใดที่คนกรุงเทพฯ ยังไม่รู้ว่านายฮ้อยทมิฬดังขนาดไหน
ตราบนั้นคนกรุงเทพฯ จะไม่มีวันเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่อยู่นอกกรุงเทพฯ
และกรุงเทพฯ คือส่วนเล็กของประเทศไทย"
อันนี้มันจริงมากๆโดนใจเราสุดๆเลยอ่ะ อิๆๆๆๆๆ
ปล.ขออนุญาติแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลของคุณ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ (ในสปอยล์)
ว่าแต่ว่าจะเพิ่มแท็กบทความด้วยแต่มันเพิ่มไม่ได้แล้วอ่า ทำไงดี แหะๆๆ
ไปเจอบทวิเคราะห์จากมติชนกล่าวถึงละคร "นายฮ้อยทมิฬ" มา ซึ่งวิเคราะห์ได้แบบ............!!!
แต่...............................???
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ : นายฮ้อยทมิฬ เมื่ออีสานประกาศอิสรภาพทางวัฒนธรรม
ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2560
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
เผยแพร่ วันพฤหัสที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2560
ปัญหาแทบทุกมิติของประเทศนี้วนเวียนกับการจรรโลงอำนาจกรุงเทพฯ ท่ามกลางการท้าทายของประเทศส่วนนอกกรุงเทพฯ
การไม่เข้าใจว่าประเทศนี้เปลี่ยนไปคือหนึ่งในต้นตอของความขัดแย้งในประเทศนี้เสมอมา
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีละครสองเรื่องที่ชะตากรรมย้อนแย้งจนชวนให้ใช้สมองคิดอย่างจริงจังมาก
ละครเรื่องหนึ่งถูกพูดถึงเยอะในโซเชียลและคนกรุงเทพฯ แต่เรตติ้งระดับประเทศไม่ได้โดดเด่นเท่าเสียงฮือฮานัก
ขณะที่ละครอีกเรื่องแทบไม่มีโซเชียลกรุงเทพฯ พูดถึงเลย ขณะที่เรตติ้งพุ่งแรงแซงเรื่องแรกไปแบบเกินเท่าตัว
พูดชัดๆ ละครเรื่องแรกคือ “รากนครา” ซึ่งมีเรตติ้งราว 3-4
ส่วนละครเรื่องหลังคือ “นายฮ้อยทมิฬ” ซึ่งเรตติ้งขยับจาก 7 ไป 9 และอาจพุ่งถึง 10 ทั้งที่ในโลกโซเชียลของคนเมือง คนพูดถึงนายฮ้อยน้อยกว่าดราม่าเชียงพระคำแบบไม่ต้องเทียบกัน
พูดสั้นๆ คนกรุงไม่สนนายฮ้อย เลยไม่รู้ต่อไปว่าความสำเร็จของนายฮ้อยสะท้อนการเปลี่ยนไปของประเทศไทย
และเรตติ้งที่สูงขนาดนี้แสดงความแข็งแกร่งของอีสานทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
นายฮ้อยทมิฬเป็นงานเขียนปี 2520 ของนักเขียนที่แม่นยำที่สุดของยุคในเรื่องอีสาน “คำพูน บุญทวี” เคยถีบสามล้อ ขายยาเร่ เป็นกรรมกร คุมคุก ฯลฯ และโด่งดังจาก “ลูกอีสาน” ที่ต่อมาเป็นหนังโกยตุ๊กตาทองของยุคนั้น
ในแง่นี้ ละครเรื่องนี้สร้างจากหนังสือของนักเขียนที่แข็งแกร่งเรื่องอีสานที่สุดคนหนึ่งของประเทศ ชีวิตคนเขียนอยู่ในงานเขียน และเมื่องานเขียนพัฒนาเป็นละครทีวี นี่จึงเป็นหนึ่งในงานที่ประสบความสำเร็จตลอดมา
ในกรณีของนักแสดง นายฮ้อยทมิฬมีจุดเด่นที่นักร้องซึ่งเป็นตัวแทนอีสานรากหญ้า นักแสดงอย่าง ไผ่ พงศธร ทำเพลงบนภาพแทนหนุ่มโรงงานอีสานในเมืองใหญ่มานานแล้ว
ไมค์ ภิรมย์พร รับบทแบบนี้ในละครปี 2544 ช่วงที่เขามีภาพแทนกรรมกรก่อสร้าง เช่นเดียวกับ จินตหรา พูนลาภ ซึ่งมีภาพแทนกรรมกรหญิงในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยมาหลายสิบปี
นายฮ้อยทมิฬเป็นละครที่พระเอกเป็นตัวประกอบในฉากใหญ่ของคนอีสานครับ พระเอกนางเอกปี 2544 คือศรัณยูกับใครอีกคนซึ่งเราจำกันแทบไม่ได้แล้ว แต่ไมค์กับจินตหรา เรายังเห็นหน้าค่าตาเขาเรื่อยจนปัจจุบัน
คนไม่ได้ดูนายฮ้อยทมิฬเพราะพระเอกนางเอก เขาดูเพราะความเป็นอีสานซึ่งบังเอิญมีพระเอกนางเอกคู่นั้นอยู่ตรงกลาง ในอีกสิบปีจะไม่มีใครจำนายฮ้อยเคนหรือฝนปุ๊กลุกได้ แต่ไผ่หรือปอยฝ้ายจะอยู่ในอุตสาหกรรมนี้แน่นอน
ดูวิธีวางตัวนักแสดงก็เห็นแล้วว่าทีมกำกับเห็นพลังมวลชนของแรงงานอีสาน ซึ่งพูดจริงๆ ก็คือคนกลุ่มใหญ่สุดของชนชั้นแรงงานไทยตลอดหลายสิบปี
เรื่องของภาษาที่ใช้ในละครก็น่าสนใจ แน่นอนว่านายฮ้อยทมิฬเป็นเรื่องอีสาน ตัวละครต้องพูดอีสานอยู่แล้ว ประเด็นคือละครฉบับปี 2544 พูดอีสาน แต่ไม่เข้มข้นขนาดต้องมีคำบรรยายประกอบครับ ขณะที่ละครปี 2560 พูดอีสานเข้มข้นมากจนต้องมีคำบรรยายภาษากลางให้คนดูทั่วไปเข้าใจ
ความภูมิใจในภาษาและวัฒนธรรมอีสานเป็นบุคลิกที่เด่นชัดมากของละครเรื่องนี้ในรอบนี้ และความมั่นใจในของพลังอีสานก็มากพอจะทำให้ผู้กำกับทำละครในช่องระดับชาติโดยพูดภาษาอีสานล้วนๆ แบบไม่กลัวมีปัญหาเรื่องคนดู
น่าสังเกตนะครับว่าหนึ่งใน “ดราม่า” ที่เกิดขึ้นตอนละครเรื่องนี้ออกอากาศก็เกี่ยวกับเรื่องภาษาอีสานเหมือนกัน คุณสุรสีห์ ผาธรรม หนึ่งในผู้กำกับฯ ที่ทำเรื่องอีสานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุค “ครูบ้านนอก” จนถึง “ราชินีดอกหญ้า” ทักว่านายฮ้อยทมิฬมีตัวละครหลักที่พูดภาษาอีสานเพี้ยน จากนั้น “โซเชียล” ก็เถียงกันว่าเพี้ยนหรือคุณสุรสีห์คิดมากเกินไป
อย่างไรก็ดี ตำแหน่งแห่งที่ของคุณสุรสีห์ในอุตสาหกรรมหนังไทยคือคนที่ทำหนังเรื่องอีสานมาเกือบหนึ่งทศวรรษในช่วง 2520-2530 “ครูบ้านนอก” คืองานคลาสสิคที่ทำให้เรื่องอีสานมีที่ยืนในระบบหนังของประเทศ มันยิ่งใหญ่จน หม่ำ จ๊กมก หยิบงานนี้มาทำซ้ำในปี 2553 การทักเรื่องภาษาอีสานมาจากผู้กำกับฯ ที่บุกเบิกการทำหนังอีสานของประเทศไทย
สิ่งที่คุณสุรสีห์กำลังทำคือการพูดภาษาอีสานให้ชัดเจนและถูกต้องนั้น
เป็นมาตรฐานที่ต้องเป็นเช่นเดียวกับการพูดภาษาภาคกลาง
ในแง่นี้ แค่ดราม่าที่เกี่ยวกับภาษาในละครเรื่องนี้ก็สะท้อนการต่อสู้ทางวัฒนธรรมที่มีนัยยะสำคัญ
ละครคือการสื่อสารทางสังคม และในฐานะที่เคยเรียนเรื่องวัฒนธรรมศึกษาแบบข้ามชาติมาบ้าง ความสำเร็จของละครเรื่องนี้ชวนสังคมไทยให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงสามเรื่องครับ
เรื่องที่หนึ่ง ความเป็นอีสานคือทุนทางวัฒนธรรมที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ความสำเร็จของละครนายฮ้อยทมิฬเกิดจากความเข้าใจเรื่องนี้และสร้างงานที่ตอบโจทย์นี้อย่างแม่นยำ
เรื่องที่สอง ความรู้สึกแบบท้องถิ่นนิยมเป็นฐานทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งมากของ “ความเป็นอีสาน” ต่อให้คนอีสานจะอพยพไปทำงานหรือตั้งรกรากในพื้นที่ไหนก็ตาม
เรื่องที่สาม การเคารพอัตลักษณ์และวัฒนธรรมอีสานสำคัญต่อการสร้างความเป็นชาติที่แข็งแกร่งในประเทศ และประเทศไทยเลี่ยงไม่ได้ที่จะสร้างชาติบนความเป็นพหุสังคมวัฒนธรรม
ตราบนั้นคนกรุงเทพฯ จะไม่มีวันเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่อยู่นอกกรุงเทพฯ
และกรุงเทพฯ คือส่วนเล็กของประเทศไทย
เครดิต :https://www.matichonweekly.com/in-depth/article_61664
เผื่อใครไม่ทราบว่าคุณ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ เค้าใครมาจากไหน เราเลยเอาข้อมูลของเค้าคร่าวๆมาแปะไว้ให้ด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
.................................................................................................................................................
ถือเป็นการวิเคราะห์ที่ค่อนข้างโดนใจคอละครอย่างเรามากๆ แม้จะมีบางส่วนที่เราแอบเห็นขัดแย้งเล็กน้อย
เรื่องที่เหมือนจะมีการโยงการเมืองนิดๆกับที่บอกว่านายฮ้อยไม่มีกระแส เพราะความจริงนายฮ้อยกระแสเค้าแรงมาตั้งแต่
ตอนแรกจนตอนปัจจุบันที่ยังถูกพูดถึงเยอะอยู่ ติดเทรนด์อันดับ1ตั้งแต่ตอนแรกและติดทุกตอนนะมีที่1ที่2บ้าง
หรือที่ลำดับเยอะกว่านั้นบ้างแต่ก็ยังถูกพูดถึงอยู่ตลอดไม่ได้เงียบเลยนะ เพราะละครออนทีไรเราสิงอยู่ในทวิตตลอด
เพราะเม้าท์กันมันส์มาก อิๆๆ ทั้งที่ความจริงละครแนวนี้ไม่น่าจะเจาะกลุ่มโซเชียลด้วยซ้ำแต่ก็ยังมีคนพูดถึงในโซเชียล
มากโขอยู่ทั้งในทวิตเตอร์และไอจีอีกทั้งยังมีเพจต่างๆหรือเพจ/เว็บข่าวเขียนข่าวถึงอยู่บ่อยมากๆ โดยเฉพาะปุ๊กลุ๊ก
กับการหน้าสดและการพูดภาาอีสานในละคร จะพูดถึงเยอะอยู่ดูจากในทวิตจะมีคนเอาลิ้งค์ข่าวจากที่ต่างๆมาแปะอยู่บ่อยๆ
เพียงแต่ละครแนวๆนี้มันไม่ได้จะมีประเด็นแรงๆให้ต้องเอามาเม้าท์หรือถูกพูดถึงข้ามวันข้ามคืนเฉยๆ แต่เวลาละครออนที
ทวิตก็ไหลลื่นมาเยอะพอสมควร แต่จากการวิเคราะห์นี้ ที่โดนใจที่สุดคือประโยคสุดท้ายที่ว่า....
"ตราบใดที่คนกรุงเทพฯ ยังไม่รู้ว่านายฮ้อยทมิฬดังขนาดไหน
ตราบนั้นคนกรุงเทพฯ จะไม่มีวันเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่อยู่นอกกรุงเทพฯ
และกรุงเทพฯ คือส่วนเล็กของประเทศไทย"
อันนี้มันจริงมากๆโดนใจเราสุดๆเลยอ่ะ อิๆๆๆๆๆ
ปล.ขออนุญาติแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลของคุณ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ (ในสปอยล์)
ว่าแต่ว่าจะเพิ่มแท็กบทความด้วยแต่มันเพิ่มไม่ได้แล้วอ่า ทำไงดี แหะๆๆ