ไปเจอบทวิเคราะห์จากมติชนกล่าวถึงละคร "นายฮ้อยทมิฬ" มา ซึ่งวิเคราะห์ได้แบบ............!!!

กระทู้สนทนา
ไปเจอบทวิเคราะห์จากมติชนกล่าวถึงละคร "นายฮ้อยทมิฬ" มา ซึ่งวิเคราะห์ได้แบบ "ตรงจุดและวิเคราะห์ได้ดีแบบตรงไปตรงมามากๆ"
แต่...............................???



ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ : นายฮ้อยทมิฬ เมื่ออีสานประกาศอิสรภาพทางวัฒนธรรม






ที่มา            มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2560
คอลัมน์       รายงานพิเศษ
เผยแพร่     วันพฤหัสที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2560



   ทุกคนรู้ว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทย แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้ กรุงเทพฯ พยายามกำกับวาระของประเทศทุกเรื่องมาโดยตลอด

    ปัญหาแทบทุกมิติของประเทศนี้วนเวียนกับการจรรโลงอำนาจกรุงเทพฯ ท่ามกลางการท้าทายของประเทศส่วนนอกกรุงเทพฯ

    การไม่เข้าใจว่าประเทศนี้เปลี่ยนไปคือหนึ่งในต้นตอของความขัดแย้งในประเทศนี้เสมอมา



ในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีละครสองเรื่องที่ชะตากรรมย้อนแย้งจนชวนให้ใช้สมองคิดอย่างจริงจังมาก

ละครเรื่องหนึ่งถูกพูดถึงเยอะในโซเชียลและคนกรุงเทพฯ แต่เรตติ้งระดับประเทศไม่ได้โดดเด่นเท่าเสียงฮือฮานัก

ขณะที่ละครอีกเรื่องแทบไม่มีโซเชียลกรุงเทพฯ พูดถึงเลย ขณะที่เรตติ้งพุ่งแรงแซงเรื่องแรกไปแบบเกินเท่าตัว

พูดชัดๆ ละครเรื่องแรกคือ “รากนครา” ซึ่งมีเรตติ้งราว 3-4

ส่วนละครเรื่องหลังคือ “นายฮ้อยทมิฬ” ซึ่งเรตติ้งขยับจาก 7 ไป 9 และอาจพุ่งถึง 10 ทั้งที่ในโลกโซเชียลของคนเมือง คนพูดถึงนายฮ้อยน้อยกว่าดราม่าเชียงพระคำแบบไม่ต้องเทียบกัน

พูดสั้นๆ คนกรุงไม่สนนายฮ้อย เลยไม่รู้ต่อไปว่าความสำเร็จของนายฮ้อยสะท้อนการเปลี่ยนไปของประเทศไทย

และเรตติ้งที่สูงขนาดนี้แสดงความแข็งแกร่งของอีสานทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

นายฮ้อยทมิฬเป็นงานเขียนปี 2520 ของนักเขียนที่แม่นยำที่สุดของยุคในเรื่องอีสาน “คำพูน บุญทวี” เคยถีบสามล้อ ขายยาเร่ เป็นกรรมกร คุมคุก ฯลฯ และโด่งดังจาก “ลูกอีสาน” ที่ต่อมาเป็นหนังโกยตุ๊กตาทองของยุคนั้น

ในแง่นี้ ละครเรื่องนี้สร้างจากหนังสือของนักเขียนที่แข็งแกร่งเรื่องอีสานที่สุดคนหนึ่งของประเทศ ชีวิตคนเขียนอยู่ในงานเขียน และเมื่องานเขียนพัฒนาเป็นละครทีวี นี่จึงเป็นหนึ่งในงานที่ประสบความสำเร็จตลอดมา

ในกรณีของนักแสดง นายฮ้อยทมิฬมีจุดเด่นที่นักร้องซึ่งเป็นตัวแทนอีสานรากหญ้า นักแสดงอย่าง ไผ่ พงศธร ทำเพลงบนภาพแทนหนุ่มโรงงานอีสานในเมืองใหญ่มานานแล้ว

ไมค์ ภิรมย์พร รับบทแบบนี้ในละครปี 2544 ช่วงที่เขามีภาพแทนกรรมกรก่อสร้าง เช่นเดียวกับ จินตหรา พูนลาภ ซึ่งมีภาพแทนกรรมกรหญิงในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยมาหลายสิบปี

นายฮ้อยทมิฬเป็นละครที่พระเอกเป็นตัวประกอบในฉากใหญ่ของคนอีสานครับ พระเอกนางเอกปี 2544 คือศรัณยูกับใครอีกคนซึ่งเราจำกันแทบไม่ได้แล้ว แต่ไมค์กับจินตหรา เรายังเห็นหน้าค่าตาเขาเรื่อยจนปัจจุบัน






คนไม่ได้ดูนายฮ้อยทมิฬเพราะพระเอกนางเอก เขาดูเพราะความเป็นอีสานซึ่งบังเอิญมีพระเอกนางเอกคู่นั้นอยู่ตรงกลาง ในอีกสิบปีจะไม่มีใครจำนายฮ้อยเคนหรือฝนปุ๊กลุกได้ แต่ไผ่หรือปอยฝ้ายจะอยู่ในอุตสาหกรรมนี้แน่นอน

ดูวิธีวางตัวนักแสดงก็เห็นแล้วว่าทีมกำกับเห็นพลังมวลชนของแรงงานอีสาน ซึ่งพูดจริงๆ ก็คือคนกลุ่มใหญ่สุดของชนชั้นแรงงานไทยตลอดหลายสิบปี

เรื่องของภาษาที่ใช้ในละครก็น่าสนใจ แน่นอนว่านายฮ้อยทมิฬเป็นเรื่องอีสาน ตัวละครต้องพูดอีสานอยู่แล้ว ประเด็นคือละครฉบับปี 2544 พูดอีสาน แต่ไม่เข้มข้นขนาดต้องมีคำบรรยายประกอบครับ ขณะที่ละครปี 2560 พูดอีสานเข้มข้นมากจนต้องมีคำบรรยายภาษากลางให้คนดูทั่วไปเข้าใจ

ความภูมิใจในภาษาและวัฒนธรรมอีสานเป็นบุคลิกที่เด่นชัดมากของละครเรื่องนี้ในรอบนี้ และความมั่นใจในของพลังอีสานก็มากพอจะทำให้ผู้กำกับทำละครในช่องระดับชาติโดยพูดภาษาอีสานล้วนๆ แบบไม่กลัวมีปัญหาเรื่องคนดู

น่าสังเกตนะครับว่าหนึ่งใน “ดราม่า” ที่เกิดขึ้นตอนละครเรื่องนี้ออกอากาศก็เกี่ยวกับเรื่องภาษาอีสานเหมือนกัน คุณสุรสีห์ ผาธรรม หนึ่งในผู้กำกับฯ ที่ทำเรื่องอีสานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุค “ครูบ้านนอก” จนถึง “ราชินีดอกหญ้า” ทักว่านายฮ้อยทมิฬมีตัวละครหลักที่พูดภาษาอีสานเพี้ยน จากนั้น “โซเชียล” ก็เถียงกันว่าเพี้ยนหรือคุณสุรสีห์คิดมากเกินไป

อย่างไรก็ดี ตำแหน่งแห่งที่ของคุณสุรสีห์ในอุตสาหกรรมหนังไทยคือคนที่ทำหนังเรื่องอีสานมาเกือบหนึ่งทศวรรษในช่วง 2520-2530 “ครูบ้านนอก” คืองานคลาสสิคที่ทำให้เรื่องอีสานมีที่ยืนในระบบหนังของประเทศ มันยิ่งใหญ่จน หม่ำ จ๊กมก หยิบงานนี้มาทำซ้ำในปี 2553 การทักเรื่องภาษาอีสานมาจากผู้กำกับฯ ที่บุกเบิกการทำหนังอีสานของประเทศไทย







ภายใต้ดราม่าเรื่องนายฮ้อยพูดอีสานชัดหรือไม่

สิ่งที่คุณสุรสีห์กำลังทำคือการพูดภาษาอีสานให้ชัดเจนและถูกต้องนั้น

เป็นมาตรฐานที่ต้องเป็นเช่นเดียวกับการพูดภาษาภาคกลาง





ในแง่นี้ แค่ดราม่าที่เกี่ยวกับภาษาในละครเรื่องนี้ก็สะท้อนการต่อสู้ทางวัฒนธรรมที่มีนัยยะสำคัญ

ละครคือการสื่อสารทางสังคม และในฐานะที่เคยเรียนเรื่องวัฒนธรรมศึกษาแบบข้ามชาติมาบ้าง ความสำเร็จของละครเรื่องนี้ชวนสังคมไทยให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงสามเรื่องครับ

เรื่องที่หนึ่ง ความเป็นอีสานคือทุนทางวัฒนธรรมที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ความสำเร็จของละครนายฮ้อยทมิฬเกิดจากความเข้าใจเรื่องนี้และสร้างงานที่ตอบโจทย์นี้อย่างแม่นยำ

เรื่องที่สอง ความรู้สึกแบบท้องถิ่นนิยมเป็นฐานทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งมากของ “ความเป็นอีสาน” ต่อให้คนอีสานจะอพยพไปทำงานหรือตั้งรกรากในพื้นที่ไหนก็ตาม

เรื่องที่สาม การเคารพอัตลักษณ์และวัฒนธรรมอีสานสำคัญต่อการสร้างความเป็นชาติที่แข็งแกร่งในประเทศ และประเทศไทยเลี่ยงไม่ได้ที่จะสร้างชาติบนความเป็นพหุสังคมวัฒนธรรม



ตราบใดที่คนกรุงเทพฯ ยังไม่รู้ว่านายฮ้อยทมิฬดังขนาดไหน

ตราบนั้นคนกรุงเทพฯ จะไม่มีวันเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่อยู่นอกกรุงเทพฯ

และกรุงเทพฯ คือส่วนเล็กของประเทศไทย



เครดิต :https://www.matichonweekly.com/in-depth/article_61664

เผื่อใครไม่ทราบว่าคุณ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ เค้าใครมาจากไหน เราเลยเอาข้อมูลของเค้าคร่าวๆมาแปะไว้ให้ด้วย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



.................................................................................................................................................


ถือเป็นการวิเคราะห์ที่ค่อนข้างโดนใจคอละครอย่างเรามากๆ แม้จะมีบางส่วนที่เราแอบเห็นขัดแย้งเล็กน้อย
เรื่องที่เหมือนจะมีการโยงการเมืองนิดๆกับที่บอกว่านายฮ้อยไม่มีกระแส เพราะความจริงนายฮ้อยกระแสเค้าแรงมาตั้งแต่
ตอนแรกจนตอนปัจจุบันที่ยังถูกพูดถึงเยอะอยู่ ติดเทรนด์อันดับ1ตั้งแต่ตอนแรกและติดทุกตอนนะมีที่1ที่2บ้าง
หรือที่ลำดับเยอะกว่านั้นบ้างแต่ก็ยังถูกพูดถึงอยู่ตลอดไม่ได้เงียบเลยนะ  เพราะละครออนทีไรเราสิงอยู่ในทวิตตลอด
เพราะเม้าท์กันมันส์มาก อิๆๆ ทั้งที่ความจริงละครแนวนี้ไม่น่าจะเจาะกลุ่มโซเชียลด้วยซ้ำแต่ก็ยังมีคนพูดถึงในโซเชียล
มากโขอยู่ทั้งในทวิตเตอร์และไอจีอีกทั้งยังมีเพจต่างๆหรือเพจ/เว็บข่าวเขียนข่าวถึงอยู่บ่อยมากๆ โดยเฉพาะปุ๊กลุ๊ก
กับการหน้าสดและการพูดภาาอีสานในละคร จะพูดถึงเยอะอยู่ดูจากในทวิตจะมีคนเอาลิ้งค์ข่าวจากที่ต่างๆมาแปะอยู่บ่อยๆ
เพียงแต่ละครแนวๆนี้มันไม่ได้จะมีประเด็นแรงๆให้ต้องเอามาเม้าท์หรือถูกพูดถึงข้ามวันข้ามคืนเฉยๆ แต่เวลาละครออนที
ทวิตก็ไหลลื่นมาเยอะพอสมควร แต่จากการวิเคราะห์นี้ ที่โดนใจที่สุดคือประโยคสุดท้ายที่ว่า....

"ตราบใดที่คนกรุงเทพฯ ยังไม่รู้ว่านายฮ้อยทมิฬดังขนาดไหน
ตราบนั้นคนกรุงเทพฯ จะไม่มีวันเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่อยู่นอกกรุงเทพฯ
และกรุงเทพฯ คือส่วนเล็กของประเทศไทย"


อันนี้มันจริงมากๆโดนใจเราสุดๆเลยอ่ะ  อิๆๆๆๆๆ

ปล.ขออนุญาติแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลของคุณ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ (ในสปอยล์)
ว่าแต่ว่าจะเพิ่มแท็กบทความด้วยแต่มันเพิ่มไม่ได้แล้วอ่า ทำไงดี แหะๆๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่