Thor: Ragnarok คืออีกหนึ่งการสานต่อความสำเร็จอันยาวนานเกือบ10ปี ของมาเวลซินีมาติกยูนิเวิร์ส (กับหนังทั้ง17เรื่องที่ประสบความสำเร็จ100% อย่างไม่น่าเชื่อ) ภายใต้การกำกับของไทก้า ไวติติ ผู้กำกับสายเลือดนิวซีแลนด์ ซึ่งในครั้งนี้มาพร้อมเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าThor ทั้ง2ภาคก่อนหน้า แต่กลับนำเสนอด้วยอารมณ์ขันและความผ่อนคลายกว่าเดิม ซึ่งก็สร้างความบันเทิงได้ถึงใจแต่ก็เสียโอกาสดีๆที่จะกลายเป็นความอีพิกในแบบที่Civil War เคยทำได้ไปด้วยเช่นกัน ทั้งๆที่พล็อตเรื่องเอื้อให้ไปสู่จุดนั้นได้แบบสบายๆ
ในภาคนี้เรื่องราวเริ่มต้นด้วยการปรากฎตัวของเทพีแห่งความตายนามว่าเฮล่า(รับบทโดย เคท แบลนเชตต์ที่สะกดผู้ชมในทุกฉากที่ออกมา) ซึ่งมาประกาศตัวต่อธอร์และโลกิว่าเธอคือผู้มีสิทธ์โดยชอบธรรมที่จะปกครองแอสการ์ด พร้อมทั้งจัดการธอร์และทำลายฆ้อนโยเนียร์คู่ใจ ก่อนที่จะเดินทางไปยึดครองแอสการ์ดในฐานะราชินี เดือดร้อนถึงบุตรแห่งโอดินอย่างธอร์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยึดบัลลังค์คืนมา พร้อมทั้งยับยั้งคำทำนายที่บอกว่าแอสการ์ดจะล่มสลายในเหตุการณ์ Ragnarok
บทภาพยนตร์ในภาคนี้ถูกเขียนออกมาได้อย่างดี โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ค่อยๆปูพื้นหยอดปมต่างๆที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม หนังรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ควรและไม่ควรจะเล่า ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งคนดูที่ไม่ใช่แฟนมาเวลให้งงงวยกับอะไรต่ออะไรที่ไม่คุ้นเคย แต่น่าเสียดายที่พอเข้าช่วงกลางเรื่อง หนังกลับเดินเรื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ทดแทนด้วยฉากแอ๊คชั่นมันส์ๆและการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างธอร์กับตัวละครต่างๆ ซึ่งทำได้อย่างดีในส่วนของโลกิ และแบรนเนอร์ แต่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างธอร์และวัลคีรีกลับไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่แถมเคมีระหว่างนักแสดงก็ช่างไม่เข้ากันซะเลย
อย่างไรก็ตามหนังกลับมาเดินเรื่องอย่างเข้มข้นและเมามันส์อีกครั้งในองค์ที่3 พร้อมทั้งการใส่ประเด็นที่จริงจังและหนักแน่น ทิ้งแง่มุมอันดีงามให้ธอร์ได้เรียนรู้ทั้งความหมายที่แท้จริงของแอสการ์ดและตัวตนที่แท้จริงของเทพแห่งสายฟ้า ซึ่งหนังค่อยๆไต่ระดับความเข้มข้นมากขึ้นและสามารถเดินไปถึงจุดพีคทางอารมณ์ได้ระดับขีดสุดแต่อยู่ๆหนังกลับทำตัวเหมือนเด็กที่เล่นไม่รู้จักเวลา กระชากคนดูออกมาจากอารมณ์พีคด้วยฉากแอ๊คชั่นที่ไร้อารมณ์ร่วมกลายเป็นภาพวิดีโอประกอบเพลงร็อคที่ใส่เข้ามาแบบไม่ถูกจังหวะ ลดความหนักแน่นอย่างที่หนังควรจะเป็นไปอย่างน่าเสียดาย โชคยังดีที่ผู้กำกับยังคงเลือกที่จะให้ฉากไคลแม็กซ์กลับมาอยู่ในโหมดที่หนักแน่นอีกครั้ง ช่วยดึงอารมณ์ร่วมที่หายไปให้กลับมาได้อย่างหวุดหวิด
งานอาร์ทของเรื่องมาพร้อมความสร้างสรรค์ และฉูดฉาดให้บรรยากาศในแบบหนังยุค80 ทั้งงานโปรดักชั่น อุปกรณ์ประกอบฉาก และโดยเฉพาะคอสตูมของสาวๆทุกคนในเรื่อง ในขณะที่งานดนตรีประกอบก็สอดรับกับองค์รวมของหนังได้อย่างดี มีกลิ่นของสกอร์หนังยุค80อย่างชัดเจน แถมแอบแทรกเพลงธีมของหนังวิลลี่ วองก้า กับโรงงานช็อคโกแลต ฉบับปี1971 อย่างPure Imagination ในฉากเปิดตัวเดอะแกรนด์มาสเตอร์ ที่ชวนให้อมยิ้มกับความอารมณ์ขันของผู้กำกับ ไทก้า ไวติติ อยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกับมุขตลกทั้งหลายที่แม้ไม่ได้ฮาก๊ากแต่ใส่ลงไปได้อย่างฉลาดและถูกจังหวะ แต่ก็มีมุขแป๊กและผิดที่ผิดทางอยู่ไม่น้อยด้วยเช่นเดียวกัน
https://www.facebook.com/MoveMent-533004630238333/
Thor: Ragnarok เทพเจ้าแห่งสายฟ้า ในสไตล์ชิลๆ(ไม่สปอย)
ในภาคนี้เรื่องราวเริ่มต้นด้วยการปรากฎตัวของเทพีแห่งความตายนามว่าเฮล่า(รับบทโดย เคท แบลนเชตต์ที่สะกดผู้ชมในทุกฉากที่ออกมา) ซึ่งมาประกาศตัวต่อธอร์และโลกิว่าเธอคือผู้มีสิทธ์โดยชอบธรรมที่จะปกครองแอสการ์ด พร้อมทั้งจัดการธอร์และทำลายฆ้อนโยเนียร์คู่ใจ ก่อนที่จะเดินทางไปยึดครองแอสการ์ดในฐานะราชินี เดือดร้อนถึงบุตรแห่งโอดินอย่างธอร์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อยึดบัลลังค์คืนมา พร้อมทั้งยับยั้งคำทำนายที่บอกว่าแอสการ์ดจะล่มสลายในเหตุการณ์ Ragnarok
บทภาพยนตร์ในภาคนี้ถูกเขียนออกมาได้อย่างดี โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ค่อยๆปูพื้นหยอดปมต่างๆที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม หนังรู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ควรและไม่ควรจะเล่า ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งคนดูที่ไม่ใช่แฟนมาเวลให้งงงวยกับอะไรต่ออะไรที่ไม่คุ้นเคย แต่น่าเสียดายที่พอเข้าช่วงกลางเรื่อง หนังกลับเดินเรื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ทดแทนด้วยฉากแอ๊คชั่นมันส์ๆและการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างธอร์กับตัวละครต่างๆ ซึ่งทำได้อย่างดีในส่วนของโลกิ และแบรนเนอร์ แต่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างธอร์และวัลคีรีกลับไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่แถมเคมีระหว่างนักแสดงก็ช่างไม่เข้ากันซะเลย
อย่างไรก็ตามหนังกลับมาเดินเรื่องอย่างเข้มข้นและเมามันส์อีกครั้งในองค์ที่3 พร้อมทั้งการใส่ประเด็นที่จริงจังและหนักแน่น ทิ้งแง่มุมอันดีงามให้ธอร์ได้เรียนรู้ทั้งความหมายที่แท้จริงของแอสการ์ดและตัวตนที่แท้จริงของเทพแห่งสายฟ้า ซึ่งหนังค่อยๆไต่ระดับความเข้มข้นมากขึ้นและสามารถเดินไปถึงจุดพีคทางอารมณ์ได้ระดับขีดสุดแต่อยู่ๆหนังกลับทำตัวเหมือนเด็กที่เล่นไม่รู้จักเวลา กระชากคนดูออกมาจากอารมณ์พีคด้วยฉากแอ๊คชั่นที่ไร้อารมณ์ร่วมกลายเป็นภาพวิดีโอประกอบเพลงร็อคที่ใส่เข้ามาแบบไม่ถูกจังหวะ ลดความหนักแน่นอย่างที่หนังควรจะเป็นไปอย่างน่าเสียดาย โชคยังดีที่ผู้กำกับยังคงเลือกที่จะให้ฉากไคลแม็กซ์กลับมาอยู่ในโหมดที่หนักแน่นอีกครั้ง ช่วยดึงอารมณ์ร่วมที่หายไปให้กลับมาได้อย่างหวุดหวิด
งานอาร์ทของเรื่องมาพร้อมความสร้างสรรค์ และฉูดฉาดให้บรรยากาศในแบบหนังยุค80 ทั้งงานโปรดักชั่น อุปกรณ์ประกอบฉาก และโดยเฉพาะคอสตูมของสาวๆทุกคนในเรื่อง ในขณะที่งานดนตรีประกอบก็สอดรับกับองค์รวมของหนังได้อย่างดี มีกลิ่นของสกอร์หนังยุค80อย่างชัดเจน แถมแอบแทรกเพลงธีมของหนังวิลลี่ วองก้า กับโรงงานช็อคโกแลต ฉบับปี1971 อย่างPure Imagination ในฉากเปิดตัวเดอะแกรนด์มาสเตอร์ ที่ชวนให้อมยิ้มกับความอารมณ์ขันของผู้กำกับ ไทก้า ไวติติ อยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกับมุขตลกทั้งหลายที่แม้ไม่ได้ฮาก๊ากแต่ใส่ลงไปได้อย่างฉลาดและถูกจังหวะ แต่ก็มีมุขแป๊กและผิดที่ผิดทางอยู่ไม่น้อยด้วยเช่นเดียวกัน
https://www.facebook.com/MoveMent-533004630238333/