(บอกก่อนว่า ก่อนทวดตายหลายปี น่าจะช่วงปี 45 มั้ง แกเล่าเป็นภาษาใต้แบบที่คำแก่ใช้คำน่ะ บางคำต้องเอาไปถามย่า....บวกลบอายุกับปีเกิดเอาเองนะ แอดมินอัดเสียงทวดไว้กับเทปโซนี่อันเล็กที่สมัยก่อนนักข่าวเค้าใช้กัน ที่มันเป็นเทปคาสเส็ตขนาดสองนิ้ว ถอดเทปมาเรียบเรียงไว้ชาตินึงละ เคยตีพิมพ์ไปรอบนึงแบบไม่ได้ตังค์ 55555555+ อยากถอดเทปทั้งหมดนั้นมาให้ฟังนะ แต่ไม่มีปัญญา เครื่องเล่นหายไปไหนไม่รู้ เลยได้เท่าที่จำได้ไม่กี่เรื่อง)
.
เรื่องที่ฉันกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นสมัยทวดของฉันยังเป็นเด็ก ซึ่งท่านได้ประสบด้วยตนเองเมื่อครั้งยังเยาว์ และไม่สามารถลืมเลือนเหตุการณ์นี้ได้เลยกระทั่งสิ้นอายุขัยในวัย ๑๐๖ ปี
.
ทวดเกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๕๐ ในยุคปลายรัชกาลของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพูดง่ายๆว่าทวดมีชีวิตอยู่ถึง ๕ แผ่นดิน ทวดเกิดที่ฝั่ง “เขาแดง” จังหวัดสงขลา ซึ่งปัจจุบันนี้ฝั่ง “เขาแดง” ที่ว่าก็ต้องข้ามแพขนานยนต์หรือขับรถข้ามสะพานติณสูลานนท์ไปยัง อ.สิงหนคร อ.สทิงพระ เนื่องจากมีทะเลสาบขวางไว้อยู่ สงขลาจึงได้ชื่อว่าเป็น “เมืองสองทะเล” คือ มีทะเลอ่าวไทย (หรือชื่อหนึ่งว่า ทะเลหลวง) กับ ทะเลสาบสงขลา ซึ่ง อ.เมืองสงขลา นั้นได้มีส่วนของแผ่นดินที่เรียกว่า “แหลม” ยื่นออกไปในทะเล อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของรูปปั้นนางเงือก ที่บรรดานักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศต้องมาถ่ายรูปด้วย หากไม่ได้ถ่ายรูปแสดงว่ายังมาไม่ถึงสงขลา
.
ในสมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่นั้น ทวดอยู่ที่ “บ้านม่วงงาม” ปัจจุบันอยู่ในเขตรอยต่อระหว่าง อ.สทิงพระ และ อ.สิงหนคร ท่านเป็นลูกผู้หญิงหนึ่งในไม่กี่คนของครอบครัวที่มีฐานะครอบครัวหนึ่งในละแวกนั้น ทวดในสมัยเด็กไว้ผมจุกและนุ่งจูงกระเบนผ้าทอ รูปร่างแบบบางแต่แข็งแรง ผิวท่านขาวผิดไปจากคนในพื้นที่ ใบหน้ารูปไข่และแย้มยิ้มอยู่เสมอ จึงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของคนในแถบนั้น
.
ทวดเล่าให้ฉันฟังว่า ในสมัยเด็กท่านชอบไปเที่ยววิ่งเล่นในบริเวณวัดแห่งหนึ่งใกล้กับบ้าน ทางที่เดินผ่านระหว่างวัดกับบ้านต้องเดินผ่านคันนาของชาวบ้านแถวนั้น ซึ่งมีต้นตะเคียนใหญ่ยืนต้นตระหง่านอยู่ขนาดผู้ใหญ่ห้าคนยืนโอบรอบ ในกลางวันจะเป็นร่มเงาให้แก่ชาวบ้านที่ทำไรไถ่นาได้พักพิงอาศัยร่มเงาหลบแดด กินข้าว นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนตามวิถีชีวิตของคนในสมัยนั้น แต่เมื่อได้ที่ความมืดแห่งรัตติกาลมาเยือน มันจะกลายร่างเป็นอสุรกายยืนตระหง่าน เป็นที่น่าหวาดกลัวยิ่งนักในสายตาของเด็กน้อยอายุ ๘ ขวบ
.
ทวดเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่า “นิทาน” เกี่ยวกับตะเคียนยักษ์เก่าแก่ต้นนั้นให้ฟัง บ้างก็ว่าหัวค่ำวันหนึ่งฟ้าผ่าต้นตะเคียน พอรุ่งเช้ามันกลับไม่ได้หักโค่นลงหรือรับอันตรายให้ถึงแก่อายุขัยของมัน มีเพียงรอยไหม้ดำเป็นทางยาวเท่านั้น บางว่ามีคนเห็นเงาดำตะคุ่มสี่ห้าเงาวิ่งวนรอบต้นตะเคียน นัยว่าพวกผีพวกกุมารมาวิ่งไล่จับรอบต้นไม้ หรือบางทีมีคนเห็นต้นตะเคียนกลับสูงใหญ่กว่าปกติ เป็นรูปร่างเหมือนคนผอมโซท่าทางหิวโหย ว่ากันว่าเป็นเปรต ซึ่งไม่ว่าจะมีคำเล่าลือกันอย่างไรนั้น เป็นที่แน่ชัดว่าชาวบ้านเชื่อกันถึงเรื่องลึกลับอันเกิดขึ้นเนื่องจากอาถรรพ์หรือภูตผีที่สิ่งสู่อยู่ในต้นตะเคียน สิ่งที่ทวดเรียกว่า “นิทาน” นี้ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าลือกันมาปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น จนตะเคียนต้นนี้กลายเป็นที่ยำเกรงของชาวบ้าน หากใครจะไปอาศัยร่มเงาพักหลบร้อนในเวลากลางวัน ก็มีธรรมเนียมที่จะต้องบอกกล่าวขอ หรือใครผ่านไปผ่านมาก็ยกมือไหว้เป็นการแสดงความเคารพเพื่อไม่ให้ผลร้ายตกสู่ตน ทวดฉันเองทุกครั้งที่วิ่งผ่าน (ทวดบอกไม่เดินผ่าน เพราะตอนเด็กๆคิดว่าเดินมันช้า เดี๋ยวโดนผีจับขา) ก็ยกมือไหว้ปะหลกๆ แต่เมื่อพ้นไปจากบริเวณเงาอันเกิดจากการแผ่กิ่งก้านสาขาของไม้ยืนต้นต้นนี้ ทุกครั้งท่านจะหันกลับมามองด้วยความสงสัย กังขา ซึ่งอาจเป็นเพราะไม่เคยเจอกับตัวจึงรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ท่านยังถือคำผู้ใหญ่ที่ว่า “หากไม่เชื่อ จงอย่าลบหลู่” ท่านจึงไม่ทำอะไรล่วงเกินแก่ต้นไม้ และไม่แม้แต่คิดจะย่างกรายเฉียดใกล้โดยไม่จำเป็น
.
วันหนึ่งที่วัดใกล้บ้านมีงานประจำปี ตกกลางคืนจะมีมหรสพต่างๆและมีการออกร้านขายของของชาวบ้านในพื้นที่และละแวกใกล้เคียง ทุกครั้งที่มีงานดังกล่าวก็จะเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งทวดเอง ซึ่งในเย็นวันนั้นท่านได้ยินพี่สาวกับพี่ชายที่แก่กว่าตนเองกระซิบชักชวนกันขออนุญาตพ่อกับแม่ออกไปเที่ยวงานวัด ท่านจึงขอติดสอยห้อยตามไปด้วยและพี่สาวกับพี่ชายยินดีจะให้ไปเพราะนึกเอ็นดูในอาการตื่นเต้นของน้องสาวตัวน้อย ทุกคนจึงเตรียมตัวเพื่อไปงาน คืนนั้นเป็นคืน ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ไม่ต้องถือคบไต้ไปให้ยุ่งยาก เมื่อเตรียมตัวกันพร้อมสรรพ สามพี่น้องจึงจูงมือกันเดินข้ามเถียงนา และเดินผ่านต้นตะเคียนเก่าแก่ต้นนั้นไปด้วยอาการขนลุกกันทั้งสามคนจนบรรลุถึงบริเวณวัด
.
คนมากมายหลั่งไหลกันมาดูมหรสพและปาหี่ รวมทั้งจับจ่ายใช้สอยสิ่งของที่มาขายในงาน ทวดเล่าว่าท่านชอบดูเขาเล่นมายากล จึงไปยืนดูเสียพักใหญ่ ไม่ได้ยินเสียงเรียกของพี่สาวและพี่ชายทั้งคู่ แรกอยู่ก็จูงมือกันดีๆ แต่เมื่อพี่สาวและพี่ชายดูมายากลจนเบื่อจึงกระตุกมือน้องพร้อมทั้งบอกว่าจะไปดูการแสดงชนิดอื่นๆซึ่งน้องสาวไม่ได้ยิน เพียงแต่หันหน้าไปมองตามมือที่จับกระตุกอยู่แต่แล้วก็โดนคนที่เบียดเสียดกันทำให้พรากจากพี่ๆไป ท่านพยายามตะโกนเรียกซึ่งไม่เป็นผล เลยตัดสินใจผละจากมายากลตรงหน้าแล้วเดินหาพี่ๆ เชื่ออยู่ว่าคงอยู่กันรอบนอกของกลุ่มคนดูมายากล ท่านพยายามเดินวนหารอบวง ทักคนผิดนึกว่าเป็นพี่สาวหรือพี่ชายของตนจนเหนื่อย จึงเดินตามหารอบๆบริเวณวัดและวงการแสดงทั้งหมดอีกครั้ง.... ไม่เป็นผล ทั้งคู่อันตรธานหายไปเหมือนอากาศ
สิ่งเดียวที่นึกได้ขณะนั้น ทวดตระหนักเพียงอย่างเดียวว่าตนเองต้องกลับบ้าน และด้วยความที่เดินบ่อยจนชำนาญเส้นทาง ดังนั้นแม้แต่ในเวลากลางคืนท่านก็มั่นใจว่าจะไม่หลงทางแน่นอน พี่ทั้งสองคนอาจเบื่อหน่ายงานจนกลับบ้านไปเสียแล้วก็เป็นได้
.
ทวดในวัย ๘ ขวบจึงผละจากงานวัด เดินเลียบรั้วกำแพงไปจนถึงปากทางบริเวณที่ตัดผ่านนาซึ่งท่านเดินเป็นประจำ แต่ก็นึกครั่นคร้ามอยู่ในใจเสียไม่ได้ตรงที่ทางที่จะผ่านไปบ้านต่อไปนี้ มีต้นตะเคียนยืนต้นตระหง่านอยู่ ใจก็นึกเสียดายอยู่ครามครัน....ทำไมหนอครั้งที่ฟ้าผ่าลงมา ไม่ผ่าให้ตอกุดจะได้ไม่มีผีอยู่
.
เด็กหญิงกลั้นใจวิ่งกะว่าชั่วกลั้นหายใจเดียวจะพ้นไปถึงปากทางอีกฟากหนึ่ง แต่แล้วมาหมดลมกลั้นตรงก่อนถึงต้นตะเคียนเพียง ๔-๕ หลาเท่านั้น ยืนเอามือเท้าเข่าเหนื่อยหอบอยู่พักใหญ่ จึงรวบรวมแรงอีกครั้งเพื่อที่จะวิ่งต่ออีก แต่แล้วก็มีอะไรอย่างหนึ่งหล่นลงมาจากที่สูงกระทบกลางกระหม่อม ทวดฉันยกมือคลำแล้วหันรีหันขวางหาที่มา ขณะที่เหลียวไปมองทางด้านหลัง วัตถุชนิดเดิมก็กระทบศีรษะอีก ทวดฉันจึงเงยหน้าขึ้นไปมองบนต้นตะเคียนเบื้องหน้าแล้วเดินกระเถิบเข้าไปใกล้โคนต้นในระยะหลาเดียว สิ่งที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้าถึงกับทำให้ทวดฉันตกใจ มันเป็นเงาตะคุ่มอยู่บนกิ่งตะเคียนใหญ่ที่อยู่ต่ำที่สุด แต่ก็สูงกว่าทวดฉันถึงสามสี่ช่วงตัวผู้ใหญ่ เงานั้นอยู่ในลักษณะนั่งยอง หันหน้าเข้าประจันกับผู้ที่อยู่โคนต้น
“เล่นกับกูไหม?”
เงานั้นถามมาด้วยอาการเชื้อเชิญเป็นจังหวะคำพูดของคนปกติและน้ำเสียงที่ได้ยินพอจะบอกได้ว่าเป็นเสียงของผู้ชาย ผู้ที่ยืนอยู่โคนต้นขมวดคิ้ว ชั่งใจอยู่พักใหญ่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ความตกใจปลาสนาการไปสิ้น เหลือเพียงความงุนงง
“เล่นอะไร?” ทวดแข็งใจถามต่อไป
“เล่นทอยหัว ฮิ ฮิ”
เสียงนั้นตอบมาแทบจะทันที แล้ววัตถุขนาดลูกมะพร้าวห้าวหล่นลงมาตรงหน้า สิ่งนั้นกลิ้งหลุนๆไปแทบเท้าทวดฉันซึ่งในตอนนี้กระเถิบถอยหลังออกไป แสงยามวิกาลจากพระจันทร์เต็มดวง ส่องให้เห็นถึงรายละเอียดของสิ่งนั้นที่ทำให้เลือดในตัวจับแข็งเป็นก้อน!
มันคือศีรษะที่ตัดเพียงคอ หันมายิ้มยิงฟันลูกในตากลวงโบ๋ลึกเข้าไป ทวดร้องอะไรออกมาคำหนึ่งแล้วยืนหลับตาแน่น พยายามก้าวขาออกไปแต่มันเหมือนกับมีบางอย่างมายึดไม่ให้เคลื่อนย้ายไปจากตำแหน่งเดิม ศีรษะนั้นยังคงยิ้มยิงฟัน
“สูทอยของสูบ้างสิ!”
มันยังชวนเล่น ทวดฉันขนลุกเกรียว นึกสวดอิติปิโสฯ อยู่ในใจ แต่อนิจจาเมื่อเวลาคับขัน อิติปิโส ก็จบเพียงสี่พยางค์ นึกอะไรไม่ออก ใจมันอยากจะวิ่งทั้งๆที่หลับตาปี๋ จึงค่อยๆก้มตัวเอามือทุบน่องทั้งสองข้างให้มีความรู้สึก เมื่อความรู้สึกกลับคืนมาว่าไม่มีอะไรมายึดขาของตน จึงวิ่งรวดเดียวไปถึงบ้าน
เมื่อทวดโดนผีหลอก
เรื่องและภาพ: Demonology - ปีศาจวิทยา
ลิงค์ต้นทาง: https://www.facebook.com/demonologydemonologist/posts/510250282692900:0
(บอกก่อนว่า ก่อนทวดตายหลายปี น่าจะช่วงปี 45 มั้ง แกเล่าเป็นภาษาใต้แบบที่คำแก่ใช้คำน่ะ บางคำต้องเอาไปถามย่า....บวกลบอายุกับปีเกิดเอาเองนะ แอดมินอัดเสียงทวดไว้กับเทปโซนี่อันเล็กที่สมัยก่อนนักข่าวเค้าใช้กัน ที่มันเป็นเทปคาสเส็ตขนาดสองนิ้ว ถอดเทปมาเรียบเรียงไว้ชาตินึงละ เคยตีพิมพ์ไปรอบนึงแบบไม่ได้ตังค์ 55555555+ อยากถอดเทปทั้งหมดนั้นมาให้ฟังนะ แต่ไม่มีปัญญา เครื่องเล่นหายไปไหนไม่รู้ เลยได้เท่าที่จำได้ไม่กี่เรื่อง)
.
เรื่องที่ฉันกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นสมัยทวดของฉันยังเป็นเด็ก ซึ่งท่านได้ประสบด้วยตนเองเมื่อครั้งยังเยาว์ และไม่สามารถลืมเลือนเหตุการณ์นี้ได้เลยกระทั่งสิ้นอายุขัยในวัย ๑๐๖ ปี
.
ทวดเกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๕๐ ในยุคปลายรัชกาลของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพูดง่ายๆว่าทวดมีชีวิตอยู่ถึง ๕ แผ่นดิน ทวดเกิดที่ฝั่ง “เขาแดง” จังหวัดสงขลา ซึ่งปัจจุบันนี้ฝั่ง “เขาแดง” ที่ว่าก็ต้องข้ามแพขนานยนต์หรือขับรถข้ามสะพานติณสูลานนท์ไปยัง อ.สิงหนคร อ.สทิงพระ เนื่องจากมีทะเลสาบขวางไว้อยู่ สงขลาจึงได้ชื่อว่าเป็น “เมืองสองทะเล” คือ มีทะเลอ่าวไทย (หรือชื่อหนึ่งว่า ทะเลหลวง) กับ ทะเลสาบสงขลา ซึ่ง อ.เมืองสงขลา นั้นได้มีส่วนของแผ่นดินที่เรียกว่า “แหลม” ยื่นออกไปในทะเล อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของรูปปั้นนางเงือก ที่บรรดานักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศต้องมาถ่ายรูปด้วย หากไม่ได้ถ่ายรูปแสดงว่ายังมาไม่ถึงสงขลา
.
ในสมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่นั้น ทวดอยู่ที่ “บ้านม่วงงาม” ปัจจุบันอยู่ในเขตรอยต่อระหว่าง อ.สทิงพระ และ อ.สิงหนคร ท่านเป็นลูกผู้หญิงหนึ่งในไม่กี่คนของครอบครัวที่มีฐานะครอบครัวหนึ่งในละแวกนั้น ทวดในสมัยเด็กไว้ผมจุกและนุ่งจูงกระเบนผ้าทอ รูปร่างแบบบางแต่แข็งแรง ผิวท่านขาวผิดไปจากคนในพื้นที่ ใบหน้ารูปไข่และแย้มยิ้มอยู่เสมอ จึงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของคนในแถบนั้น
.
ทวดเล่าให้ฉันฟังว่า ในสมัยเด็กท่านชอบไปเที่ยววิ่งเล่นในบริเวณวัดแห่งหนึ่งใกล้กับบ้าน ทางที่เดินผ่านระหว่างวัดกับบ้านต้องเดินผ่านคันนาของชาวบ้านแถวนั้น ซึ่งมีต้นตะเคียนใหญ่ยืนต้นตระหง่านอยู่ขนาดผู้ใหญ่ห้าคนยืนโอบรอบ ในกลางวันจะเป็นร่มเงาให้แก่ชาวบ้านที่ทำไรไถ่นาได้พักพิงอาศัยร่มเงาหลบแดด กินข้าว นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนตามวิถีชีวิตของคนในสมัยนั้น แต่เมื่อได้ที่ความมืดแห่งรัตติกาลมาเยือน มันจะกลายร่างเป็นอสุรกายยืนตระหง่าน เป็นที่น่าหวาดกลัวยิ่งนักในสายตาของเด็กน้อยอายุ ๘ ขวบ
.
ทวดเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่า “นิทาน” เกี่ยวกับตะเคียนยักษ์เก่าแก่ต้นนั้นให้ฟัง บ้างก็ว่าหัวค่ำวันหนึ่งฟ้าผ่าต้นตะเคียน พอรุ่งเช้ามันกลับไม่ได้หักโค่นลงหรือรับอันตรายให้ถึงแก่อายุขัยของมัน มีเพียงรอยไหม้ดำเป็นทางยาวเท่านั้น บางว่ามีคนเห็นเงาดำตะคุ่มสี่ห้าเงาวิ่งวนรอบต้นตะเคียน นัยว่าพวกผีพวกกุมารมาวิ่งไล่จับรอบต้นไม้ หรือบางทีมีคนเห็นต้นตะเคียนกลับสูงใหญ่กว่าปกติ เป็นรูปร่างเหมือนคนผอมโซท่าทางหิวโหย ว่ากันว่าเป็นเปรต ซึ่งไม่ว่าจะมีคำเล่าลือกันอย่างไรนั้น เป็นที่แน่ชัดว่าชาวบ้านเชื่อกันถึงเรื่องลึกลับอันเกิดขึ้นเนื่องจากอาถรรพ์หรือภูตผีที่สิ่งสู่อยู่ในต้นตะเคียน สิ่งที่ทวดเรียกว่า “นิทาน” นี้ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าลือกันมาปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น จนตะเคียนต้นนี้กลายเป็นที่ยำเกรงของชาวบ้าน หากใครจะไปอาศัยร่มเงาพักหลบร้อนในเวลากลางวัน ก็มีธรรมเนียมที่จะต้องบอกกล่าวขอ หรือใครผ่านไปผ่านมาก็ยกมือไหว้เป็นการแสดงความเคารพเพื่อไม่ให้ผลร้ายตกสู่ตน ทวดฉันเองทุกครั้งที่วิ่งผ่าน (ทวดบอกไม่เดินผ่าน เพราะตอนเด็กๆคิดว่าเดินมันช้า เดี๋ยวโดนผีจับขา) ก็ยกมือไหว้ปะหลกๆ แต่เมื่อพ้นไปจากบริเวณเงาอันเกิดจากการแผ่กิ่งก้านสาขาของไม้ยืนต้นต้นนี้ ทุกครั้งท่านจะหันกลับมามองด้วยความสงสัย กังขา ซึ่งอาจเป็นเพราะไม่เคยเจอกับตัวจึงรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ท่านยังถือคำผู้ใหญ่ที่ว่า “หากไม่เชื่อ จงอย่าลบหลู่” ท่านจึงไม่ทำอะไรล่วงเกินแก่ต้นไม้ และไม่แม้แต่คิดจะย่างกรายเฉียดใกล้โดยไม่จำเป็น
.
วันหนึ่งที่วัดใกล้บ้านมีงานประจำปี ตกกลางคืนจะมีมหรสพต่างๆและมีการออกร้านขายของของชาวบ้านในพื้นที่และละแวกใกล้เคียง ทุกครั้งที่มีงานดังกล่าวก็จะเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งทวดเอง ซึ่งในเย็นวันนั้นท่านได้ยินพี่สาวกับพี่ชายที่แก่กว่าตนเองกระซิบชักชวนกันขออนุญาตพ่อกับแม่ออกไปเที่ยวงานวัด ท่านจึงขอติดสอยห้อยตามไปด้วยและพี่สาวกับพี่ชายยินดีจะให้ไปเพราะนึกเอ็นดูในอาการตื่นเต้นของน้องสาวตัวน้อย ทุกคนจึงเตรียมตัวเพื่อไปงาน คืนนั้นเป็นคืน ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ไม่ต้องถือคบไต้ไปให้ยุ่งยาก เมื่อเตรียมตัวกันพร้อมสรรพ สามพี่น้องจึงจูงมือกันเดินข้ามเถียงนา และเดินผ่านต้นตะเคียนเก่าแก่ต้นนั้นไปด้วยอาการขนลุกกันทั้งสามคนจนบรรลุถึงบริเวณวัด
.
คนมากมายหลั่งไหลกันมาดูมหรสพและปาหี่ รวมทั้งจับจ่ายใช้สอยสิ่งของที่มาขายในงาน ทวดเล่าว่าท่านชอบดูเขาเล่นมายากล จึงไปยืนดูเสียพักใหญ่ ไม่ได้ยินเสียงเรียกของพี่สาวและพี่ชายทั้งคู่ แรกอยู่ก็จูงมือกันดีๆ แต่เมื่อพี่สาวและพี่ชายดูมายากลจนเบื่อจึงกระตุกมือน้องพร้อมทั้งบอกว่าจะไปดูการแสดงชนิดอื่นๆซึ่งน้องสาวไม่ได้ยิน เพียงแต่หันหน้าไปมองตามมือที่จับกระตุกอยู่แต่แล้วก็โดนคนที่เบียดเสียดกันทำให้พรากจากพี่ๆไป ท่านพยายามตะโกนเรียกซึ่งไม่เป็นผล เลยตัดสินใจผละจากมายากลตรงหน้าแล้วเดินหาพี่ๆ เชื่ออยู่ว่าคงอยู่กันรอบนอกของกลุ่มคนดูมายากล ท่านพยายามเดินวนหารอบวง ทักคนผิดนึกว่าเป็นพี่สาวหรือพี่ชายของตนจนเหนื่อย จึงเดินตามหารอบๆบริเวณวัดและวงการแสดงทั้งหมดอีกครั้ง.... ไม่เป็นผล ทั้งคู่อันตรธานหายไปเหมือนอากาศ
สิ่งเดียวที่นึกได้ขณะนั้น ทวดตระหนักเพียงอย่างเดียวว่าตนเองต้องกลับบ้าน และด้วยความที่เดินบ่อยจนชำนาญเส้นทาง ดังนั้นแม้แต่ในเวลากลางคืนท่านก็มั่นใจว่าจะไม่หลงทางแน่นอน พี่ทั้งสองคนอาจเบื่อหน่ายงานจนกลับบ้านไปเสียแล้วก็เป็นได้
.
ทวดในวัย ๘ ขวบจึงผละจากงานวัด เดินเลียบรั้วกำแพงไปจนถึงปากทางบริเวณที่ตัดผ่านนาซึ่งท่านเดินเป็นประจำ แต่ก็นึกครั่นคร้ามอยู่ในใจเสียไม่ได้ตรงที่ทางที่จะผ่านไปบ้านต่อไปนี้ มีต้นตะเคียนยืนต้นตระหง่านอยู่ ใจก็นึกเสียดายอยู่ครามครัน....ทำไมหนอครั้งที่ฟ้าผ่าลงมา ไม่ผ่าให้ตอกุดจะได้ไม่มีผีอยู่
.
เด็กหญิงกลั้นใจวิ่งกะว่าชั่วกลั้นหายใจเดียวจะพ้นไปถึงปากทางอีกฟากหนึ่ง แต่แล้วมาหมดลมกลั้นตรงก่อนถึงต้นตะเคียนเพียง ๔-๕ หลาเท่านั้น ยืนเอามือเท้าเข่าเหนื่อยหอบอยู่พักใหญ่ จึงรวบรวมแรงอีกครั้งเพื่อที่จะวิ่งต่ออีก แต่แล้วก็มีอะไรอย่างหนึ่งหล่นลงมาจากที่สูงกระทบกลางกระหม่อม ทวดฉันยกมือคลำแล้วหันรีหันขวางหาที่มา ขณะที่เหลียวไปมองทางด้านหลัง วัตถุชนิดเดิมก็กระทบศีรษะอีก ทวดฉันจึงเงยหน้าขึ้นไปมองบนต้นตะเคียนเบื้องหน้าแล้วเดินกระเถิบเข้าไปใกล้โคนต้นในระยะหลาเดียว สิ่งที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้าถึงกับทำให้ทวดฉันตกใจ มันเป็นเงาตะคุ่มอยู่บนกิ่งตะเคียนใหญ่ที่อยู่ต่ำที่สุด แต่ก็สูงกว่าทวดฉันถึงสามสี่ช่วงตัวผู้ใหญ่ เงานั้นอยู่ในลักษณะนั่งยอง หันหน้าเข้าประจันกับผู้ที่อยู่โคนต้น
“เล่นกับกูไหม?”
เงานั้นถามมาด้วยอาการเชื้อเชิญเป็นจังหวะคำพูดของคนปกติและน้ำเสียงที่ได้ยินพอจะบอกได้ว่าเป็นเสียงของผู้ชาย ผู้ที่ยืนอยู่โคนต้นขมวดคิ้ว ชั่งใจอยู่พักใหญ่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ความตกใจปลาสนาการไปสิ้น เหลือเพียงความงุนงง
“เล่นอะไร?” ทวดแข็งใจถามต่อไป
“เล่นทอยหัว ฮิ ฮิ”
เสียงนั้นตอบมาแทบจะทันที แล้ววัตถุขนาดลูกมะพร้าวห้าวหล่นลงมาตรงหน้า สิ่งนั้นกลิ้งหลุนๆไปแทบเท้าทวดฉันซึ่งในตอนนี้กระเถิบถอยหลังออกไป แสงยามวิกาลจากพระจันทร์เต็มดวง ส่องให้เห็นถึงรายละเอียดของสิ่งนั้นที่ทำให้เลือดในตัวจับแข็งเป็นก้อน!
มันคือศีรษะที่ตัดเพียงคอ หันมายิ้มยิงฟันลูกในตากลวงโบ๋ลึกเข้าไป ทวดร้องอะไรออกมาคำหนึ่งแล้วยืนหลับตาแน่น พยายามก้าวขาออกไปแต่มันเหมือนกับมีบางอย่างมายึดไม่ให้เคลื่อนย้ายไปจากตำแหน่งเดิม ศีรษะนั้นยังคงยิ้มยิงฟัน
“สูทอยของสูบ้างสิ!”
มันยังชวนเล่น ทวดฉันขนลุกเกรียว นึกสวดอิติปิโสฯ อยู่ในใจ แต่อนิจจาเมื่อเวลาคับขัน อิติปิโส ก็จบเพียงสี่พยางค์ นึกอะไรไม่ออก ใจมันอยากจะวิ่งทั้งๆที่หลับตาปี๋ จึงค่อยๆก้มตัวเอามือทุบน่องทั้งสองข้างให้มีความรู้สึก เมื่อความรู้สึกกลับคืนมาว่าไม่มีอะไรมายึดขาของตน จึงวิ่งรวดเดียวไปถึงบ้าน