จากการวิจัยพบว่า การเชื่อในอนาคตอาจเป็นอุปสรรคที่ทำให้ขาดความกระตือรือร้น



ผู้คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเชื่อในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งก็สอดคล้องกับงานวิจัยที่ได้มีการตีพิมพ์ในนิตยสาร Psychological Science ที่เผยให้เห็นว่า “การเชื่อในอนาคต” นี้เป็นเรื่องของบริบทสภาพแวดล้อมกับประเพณีวัฒนธรรมหลากหลายรูปแบบด้วยกัน เหมือนกับเป็นการฉายแสงให้เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นและภายหลังต่อมาก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจนถึงทุกวันนี้

“บ่อยครั้งดูเหมือนว่า กลุ่มหัวรุนแรงมักจะมีความเชื่อว่าพวกเขาเป็นฝ่ายถูกเสมอ สุดท้ายก็ทำให้พวกเขาเริ่มกระทำสิ่งที่ผิดๆตามมา” กล่าวโดยนักวิทยาศาสตร์พฤติกรรมอย่าง Todd Rogers จากโรงเรียน Harvard Kennedy ซึ่งเป็นหัวหน้าทำงานวิจัยนี้ “เป็นเรื่องแปลกที่พวกเราพบว่า การเชื่อในอนาคตอาจมีความเป็นไปได้ที่ผู้คนจะขาดความกระตือรือร้นจากการคิดว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกำลังจะเป็นจริงขึ้นมา”

มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกันถึง 6 ชิ้น โดยทางด้าน Rogers กับคณะของเขา Don A.Moore กับ Michael I.Norton ก็ได้เปิดเผยว่า ทำไมผู้คนถึงเชื่อในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างกว้างขวาง เพราะอะไรผู้คนถึงได้เชื่อเช่นนั้น และผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไรหลังจากนั้น

งานวิจัยออนไลน์ชิ้นหนึ่งนั้น นักวิจัยหลายคนได้ทำการสอบถามผู้เข้าร่วม 254 คน เกี่ยวกับมุมมองอนาคต  9 ข้อด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำแท้ง,การแต่งงานเพศเดียวกัน,พยากรณ์อากาศ,อุดมการณ์,ความผูกพันกับพรรคการเมือง,ประธานาธิบดีทรัมป์,โซดา,สมาคมบาสเก็ตบอลแห่งชาติ,และการใช้โทรศัพท์ เช่นกันผู้เข้าร่วมก็ได้รายงานด้วยว่า พวกเขาคิดว่า คนอื่นๆที่ตอบหัวข้อเดียวกันนี้จะเปลี่ยนความคิดใหม่ระหว่างในช่วงเวลานี้กับอนาคตที่เกิดขึ้นยังไงบ้าง สำหรับหัวข้อทั้ง 9 ผู้เข้าร่วมก็มีความเชื่อว่า พวกเขาสามารถประเมินสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตของคนอื่นว่าจะทำการเปลี่ยนแปลงอนาคตได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น ผู้เข้าร่วม 91 % ที่สนับสนุนการทำแท้งก็คาดการณ์ได้ว่า จะต้องยิ่งมีผู้คนสนับสนุนการทำแท้งเพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคตเมื่อเทียบกับผู้เข้าร่วม 47 % ที่ไม่ให้การสนับสนุนการทำแท้ง

ข้อมูลจากผู้คน 800 คนทั้งในประเทศจีน,ญี่ปุ่น,เนเธอร์แลนด์ ,และสหราชอาณาจักรนั้น ก็ชี้ให้เห็นว่า การเชื่อในอนาคตถือเป็นปรากฎการณ์ที่ขัดแย้งทางด้านวัฒนธรรม และมีการพบข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ความเชื่อที่เต็มไปด้วยอคติจะต่างไปจากปรากฎการณ์อื่นๆอย่างเช่น การมองโลกในแง่ดีและผลกระทบที่ได้รับจากความคิดเห็นผิดๆของคนส่วนใหญ่ นอกจากนั้นแล้วผู้คนจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้คาดการณ์ได้อย่างแม่นยำเกี่ยวกับความเชื่อของผู้คนที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงระหว่างตอนนี้กับอนาคตที่เกิดขึ้น พวกเขามีแนวโน้มที่จะเชื่อว่า ทัศนคติของคนอื่นๆจะต้องเปลี่ยนไปในช่วงที่มาถึงจุดต่ำสุดของความเชื่อที่พวกเขามีอยู่ในปัจจุบัน

ที่สำคัญก็คือ มีการทดลองข้อมูลภาคสนามที่ชี้ให้เห็นว่า การเชื่อในอนาคตมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้คนเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จากการให้ความร่วมมือกับองค์กรการเมืองทางด้านประชาธิปไตย ทางด้าน Rogers กับคณะก็ได้ส่งอีเมล์การระดมทุน 2 แบบให้กับผู้สนับสนุน 660,000 คน โดยผู้รับอีเมล์น้อยคนมากที่จะเปิดอีเมล์อ่านหากพรรคเดโมแครตมีคะแนนนำคู่แข่งเมื่อเทียบกับข้อความที่บอกว่า เขากำลังตามหลังคู่แข่งอยู่ คนที่เปิดอีเมล์อ่านนั้น น้อยคนมากที่จะทำการคลิกข้อความลิ้งค์บริจาคและน้อยมากที่จะทำการบริจาคหากพรรคเดโมแครตกำลังมีคะแนนนำเมื่อเทียบกับพรรคเดโมแครตที่กำลังตามหลังอยู่

“สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้สำหรับผมแล้วก็คือ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะต้องใช้ความจริงจังมาก” กล่าวโดย Roger “วิธีการนี้ทำให้ค้นพบสิ่งที่คาดไม่ถึงหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่สนใจ,มุมมองต่างๆ,ความเชื่อต่างๆ,และวัฒนธรรมหลากหลาย ผู้คนที่มีอคติจะเชื่อว่า คนอื่นสามารถเปลี่ยนความคิดให้มาอยู่ฝั่งของตัวเองได้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่สนใจ,มุมมอง,และความเชื่อ

สอดคล้องกับนักวิจัยหลายคนที่ชี้ว่า อคตินี้จะช่วยให้อธิบายได้ถึงปรากฎการณ์ทางด้านพฤติกรรมต่างๆโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับอาชีพที่ตัวเองไม่ชอบหรือความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นไปจนถึงการคาดการณ์อนาคตตามมุมมองทางด้านการเมืองของแต่ละคน

ผู้แปล : Mr.lawrence10

ที่มา : sciencedaily.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่