แผนลงทุน EEC หนุน SMEs เติบโตอย่างยั่งยืน

โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี เป็นโครงการอภิมหาการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต โดยจะมีการใช้เม็ดเงินลงทุนสูงจากนักลงทุนหรือบริษัทรายใหญ่ ๆ ซึ่งหากรัฐอัดฉีดเม็ดเงิน เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเร็ว ก็จะยิ่งส่งผลให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเติบโตเพิ่มได้อีก (คาดว่าร้อยละ 1.7 ต่อปี)

นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสทองของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ที่จะพาตัวเองเข้าอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อผลิตชิ้นส่วนป้อนผู้ผลิตรายใหญ่ หรือทำกิจกรรมสนับสนุนที่ช่วยให้อุตสาหกรรมดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะทำให้ SMEs มีรายได้เพิ่มขึ้นถึงปีละ 6 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ประกอบการ SMEs จะต้องหมั่นปรับปรุงการผลิตให้ทันสมัย ก้าวทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงและการแข่งขันที่สูงขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ธุรกิจจึงจะสามารถเติบโตอยู่ได้ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมในระยะยาว

ยิ่งหากพัฒนาความร่วมมือกับสถาบันวิจัยใน EECi ในการทำ R&D เพื่อพัฒนาสินค้าก็จะยิ่งช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และทำให้สินค้าสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

ในด้านของรายได้ที่ SMEs จะได้รับนั้น ทางศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ได้ประเมินว่า หาก SMEs สามารถผลักตนเองเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิต และเติบโตตามอุตสาหกรรมเป้าหมายขนาดใหญ่ที่เข้ามาลงทุนได้สำเร็จ จะดันให้รายได้ของ SMEs ซึ่งคาดว่าปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 1.02 ล้านล้านบาทต่อปี เติบโตขึ้นเป็น 1.08 ล้านล้านบาทในปี 2561

โดยธุรกิจ SMEs ที่จะได้รับอานิสงค์สูงสุด มีส่วนแบ่งรายได้ส่วนเพิ่ม รวมกันกว่าร้อยละ 70 ได้แก่

-    ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ (ร้อยละ 11)
-    ธุรกิจค้าปลีกเครื่องอุปโภค/บริโภค (ร้อยละ 9)
-    ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเหล็ก ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหรือติดตั้งงานระบบ และธุรกิจจำหน่ายเครื่องจักรกล (ร้อยละ 8 เท่า ๆ กัน)
-    ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง (ร้อยละ 7)
-    ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (ร้อยละ 6)
-    งานบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ และอสังหาริมทรัพย์ (ร้อยละ 4 เท่า ๆ กัน)


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เรียกได้ว่าตอนนี้โอกาสทองมากองอยู่ตรงหน้า เพราะการเข้ามาลงทุนของบริษัทรายใหญ่ จะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเชื่อมโยงการผลิตให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน ก็ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการ SME เองว่าจะปรับตัวอย่างไร เพราะการรอความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่สามารถแก้ปัญหาในเรื่องความสามารถทางการแข่งขันได้ แต่ผู้ประกอบการเองต้องไม่นิ่งนอนใจ พยายามปรับตัวสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงใจ รวดเร็ว จะมีผลสัมฤทธิ์กว่าและเป็นเครื่องมือที่ดีที่จะช่วยให้ SMEs รอดพ้นวิกฤติได้อย่างถาวร ซึ่งในที่สุดจะส่งผลให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้สำเร็จ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่