สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ที่ใช้กองกำลังเฉพาะของมณฑลหยุนหนานแค่ครั้งที่ 1 กับ 2 ครับ
ครั้งที่ 3 กับ 4 เห็นชัดเจนแล้วว่าไม่สามารถใช้กำลังเฉพาะกองธงเขียวในหยุนหนานได้ จึงต้องให้กองธงของแมนจูยกมาจากปักกิ่งโดยตรง ผสานกับกองกำลังจากมณฑลอื่น และแม่ทัพก็เป็นขุนนางระดับสูงของต้าชิงทั้งนั้น
แม่ทัพใหญ่ของต้าชิงในครั้งที่ 3 คือ หมิงรุ่ย (明瑞) เกิดในตระกูลฟู่ฉ่า (富察) ซึ่งเป็นตระกูลแมนจูสำคัญเพราะรับราชการมาหลายรุ่นและเกี่ยวดองกับจักรพรรดิเฉียนหลง สังกัดกองธงเหลืองขลิบซึ่งเป็นกองธงสำคัญที่สุดในแปดกองธงเพราะอยู่ใต้บังคับบัญชาของฮ่องเต้โดยตรง ตัวหมิงรุ่ยเคยดำรงตำแหน่งเป็นขุนพลแห่งอีหลี (伊犁將軍) ออกศึกทำสงครามกับจุ่นก๋าเอ่อร์ในซินเจียงจนได้ชัยชนะมาแล้ว ในเวลานั้นก็มีตำแหน่งเป็นซ่างซู (尚書) หรือเสนาบดีกรมกลาโหมอยู่อีกตำแหน่งหนึ่ง จึงถูกย้ายมาเป็นอุปราชมณฑลหยุนหนานและกุ้ยโจว (雲貴總督) เพื่อรับศึกพม่าโดยเฉพาะ (พงศาวดารพม่าระบุว่าแม่ทัพใหญ่ครั้งที่ 3 เป็นลูกเขยเฉียนหลง แต่ตามหลักฐานจีนไม่พบว่าหมิงรุ่ยเป็นราชบุตรเขย)
ส่วนครั้งที่ 4 แม่ทัพใหญ่คือ ฟู่เหิง (傅恆) จากตระกูลฟู่ฉ่าสังกัดกองธงเหลืองขลิบ เป็นอาของหมิงรุ่ย เป็นน้องชายของจักรพรรดินีเสี้ยวเสียนฉุน (孝賢純皇后) ฮองเฮาองค์แรกของเฉียนหลงซึ่งทรงเสน่หามาก และเฉียนหลงทรงรักและสนิทสนมกับฟู่เหิงเสมือนน้องชายแท้ๆ ลูกชายฟู่เหิงต่างก็ได้รับราชการในตำแหน่งสูงโดยเฉพาะฝูคังอาน (福康安) ที่เป็นคนโปรดของเฉียนหลงจนเฉียนหลงทรงตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นกู้ซานเป้ยจื่อ (固山貝子) เสมอด้วยโอรสบุญธรรม
ตลอดรัชกาลเฉียนหลง ฟู่เหิงได้รับความไว้วางพระทัยให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง โดยได้เป็นราชองครักษ์ของรัชทายาท (太子太保) สมุหราชเลขาธิการ (大学士) และอยู่ในเสนาบดีสภา (軍機大臣) นอกจากนี้ก็เคยผ่านสงครามกับจินฉวนซึ่งเป็นหนึ่งในสิบมหายุทธการในรัชสมัยเฉียนหลงมาแล้ว
รองแม่ทัพในสงครามครั้งที่ 4 ก็เป็นขุนพลแมนจูเจนศึกอย่าง อากุ้ย (阿桂) และ อาหลีกุน (阿里袞) ซึ่งมีประสบการณ์ภาคสนามสูงกว่าฟู่เหิงที่เป็นแม่ทัพใหญ่เสียอีก โดยครั้งนี้จักรพรรดิเฉียนหลงทรงทำพิธีแต่งตั้งฟู่เหิงเป็นแม่ทัพใหญ่ในพิธีการแบบเดียวกับที่จักรพรรดิคังซีทรงสถาปนาองค์ชายสิบสี่เป็นจอมพลไปรบกับจุ่นก๋าเอ่อร์ในธิเบต โดยทรงมุ่งหวังว่าฟู่เหิงจะนำชัยชนะเป็นเกียรติยศมาสู่พระองค์ แต่การไม่ได้เป็นตามที่คาด
ถ้าพิจารณาจากตัวแม่ทัพนายกองแต่ละคนแล้ว จะเห็นว่าในสงครามครั้งที่ 3 และ 4 ต้าชิงไม่ได้ทำศึกแบบเล่นๆ เลย แต่เอาจริงโดยมุ่งหวังจะปราบปรามพม่าให้ได้
แต่ถึงขนาดต้าชิงทุ่มกำลังมหาศาลจากส่วนกลางก็ยังแพ้ มีปัจจัยสำคัญคือความไม่คุ้นเคยกับสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดโรคระบาดในกองทัพต้าชิงจนสูญเสียกำลังไปอย่างมหาศาล นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีความชำนาญในภูมิประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นป่าทึบมากเพียงพอ เป็นเหตุให้พม่าที่มีความชำนาญกว่าสามารถดักซุ่มโจมตีและตัดกำลังไม่ให้ต้าชิงสามารถประสานกำลังกันได้โดยใช้กำลังน้อยกว่า
นอกจากนี้ต้าชิงก็มีความประมาทในการเคลื่อนทัพหลายครั้ง โดยครั้งที่ 3 หมิงรุ่ยเคลื่อนทัพลึกมาในแผ่นดินพม่าห่างไกลจากเมืองกองตุงที่เป็นฐานเสบียงมากเกินไป เป็นเหตุให้ถูกตัดจากเส้นทางลำเลียงเสบียงจนแพ้ ส่วนครั้งที่ 4 ฟู่เหิงเองรีบร้อนอยากเอาชนะและพยายามรุกคืบเข้ามาแม้จะเสียกำลังไปมากและภูมิอากาศก็เป็นฤดูร้อนซึ่งโรคระบาดรุนแรงโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของแม่ทัพคนอื่นอย่างรองแม่ทัพอากุ้ยที่อยากให้ถอยทัพ (ซึ่งจริงๆ ก็มีแม่ทัพแมนจูระดับสูงบางคนที่ไม่สนับสนุนการทำศึกตั้งแต่แรกแล้ว อย่างเอ้อร์หนิง (鄂寧) อุปราชมณฑลหยุนหนานและกุ้ยโจว แต่ไม่เป็นผล) ก็เป็นเหตุหนึ่งของความพ่ายแพ้ของต้าชิงครับ (แต่เฉียนหลงไม่เอาโทษฟู่เหิงซึ่งล้มป่วยจากพม่าและเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นานเลยนอกจากริบขนนกยูงติดหมวกประจำตำแหน่ง แต่โยนบาปให้อากุ้ยกับแม่ทัพอื่นรับไปหมด ในข้อหาไม่ห้ามปรามฟู่เหิง)
ภาพเหมือนของฟู่เหิง
ครั้งที่ 3 กับ 4 เห็นชัดเจนแล้วว่าไม่สามารถใช้กำลังเฉพาะกองธงเขียวในหยุนหนานได้ จึงต้องให้กองธงของแมนจูยกมาจากปักกิ่งโดยตรง ผสานกับกองกำลังจากมณฑลอื่น และแม่ทัพก็เป็นขุนนางระดับสูงของต้าชิงทั้งนั้น
แม่ทัพใหญ่ของต้าชิงในครั้งที่ 3 คือ หมิงรุ่ย (明瑞) เกิดในตระกูลฟู่ฉ่า (富察) ซึ่งเป็นตระกูลแมนจูสำคัญเพราะรับราชการมาหลายรุ่นและเกี่ยวดองกับจักรพรรดิเฉียนหลง สังกัดกองธงเหลืองขลิบซึ่งเป็นกองธงสำคัญที่สุดในแปดกองธงเพราะอยู่ใต้บังคับบัญชาของฮ่องเต้โดยตรง ตัวหมิงรุ่ยเคยดำรงตำแหน่งเป็นขุนพลแห่งอีหลี (伊犁將軍) ออกศึกทำสงครามกับจุ่นก๋าเอ่อร์ในซินเจียงจนได้ชัยชนะมาแล้ว ในเวลานั้นก็มีตำแหน่งเป็นซ่างซู (尚書) หรือเสนาบดีกรมกลาโหมอยู่อีกตำแหน่งหนึ่ง จึงถูกย้ายมาเป็นอุปราชมณฑลหยุนหนานและกุ้ยโจว (雲貴總督) เพื่อรับศึกพม่าโดยเฉพาะ (พงศาวดารพม่าระบุว่าแม่ทัพใหญ่ครั้งที่ 3 เป็นลูกเขยเฉียนหลง แต่ตามหลักฐานจีนไม่พบว่าหมิงรุ่ยเป็นราชบุตรเขย)
ส่วนครั้งที่ 4 แม่ทัพใหญ่คือ ฟู่เหิง (傅恆) จากตระกูลฟู่ฉ่าสังกัดกองธงเหลืองขลิบ เป็นอาของหมิงรุ่ย เป็นน้องชายของจักรพรรดินีเสี้ยวเสียนฉุน (孝賢純皇后) ฮองเฮาองค์แรกของเฉียนหลงซึ่งทรงเสน่หามาก และเฉียนหลงทรงรักและสนิทสนมกับฟู่เหิงเสมือนน้องชายแท้ๆ ลูกชายฟู่เหิงต่างก็ได้รับราชการในตำแหน่งสูงโดยเฉพาะฝูคังอาน (福康安) ที่เป็นคนโปรดของเฉียนหลงจนเฉียนหลงทรงตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นกู้ซานเป้ยจื่อ (固山貝子) เสมอด้วยโอรสบุญธรรม
ตลอดรัชกาลเฉียนหลง ฟู่เหิงได้รับความไว้วางพระทัยให้ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง โดยได้เป็นราชองครักษ์ของรัชทายาท (太子太保) สมุหราชเลขาธิการ (大学士) และอยู่ในเสนาบดีสภา (軍機大臣) นอกจากนี้ก็เคยผ่านสงครามกับจินฉวนซึ่งเป็นหนึ่งในสิบมหายุทธการในรัชสมัยเฉียนหลงมาแล้ว
รองแม่ทัพในสงครามครั้งที่ 4 ก็เป็นขุนพลแมนจูเจนศึกอย่าง อากุ้ย (阿桂) และ อาหลีกุน (阿里袞) ซึ่งมีประสบการณ์ภาคสนามสูงกว่าฟู่เหิงที่เป็นแม่ทัพใหญ่เสียอีก โดยครั้งนี้จักรพรรดิเฉียนหลงทรงทำพิธีแต่งตั้งฟู่เหิงเป็นแม่ทัพใหญ่ในพิธีการแบบเดียวกับที่จักรพรรดิคังซีทรงสถาปนาองค์ชายสิบสี่เป็นจอมพลไปรบกับจุ่นก๋าเอ่อร์ในธิเบต โดยทรงมุ่งหวังว่าฟู่เหิงจะนำชัยชนะเป็นเกียรติยศมาสู่พระองค์ แต่การไม่ได้เป็นตามที่คาด
ถ้าพิจารณาจากตัวแม่ทัพนายกองแต่ละคนแล้ว จะเห็นว่าในสงครามครั้งที่ 3 และ 4 ต้าชิงไม่ได้ทำศึกแบบเล่นๆ เลย แต่เอาจริงโดยมุ่งหวังจะปราบปรามพม่าให้ได้
แต่ถึงขนาดต้าชิงทุ่มกำลังมหาศาลจากส่วนกลางก็ยังแพ้ มีปัจจัยสำคัญคือความไม่คุ้นเคยกับสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดโรคระบาดในกองทัพต้าชิงจนสูญเสียกำลังไปอย่างมหาศาล นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีความชำนาญในภูมิประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นป่าทึบมากเพียงพอ เป็นเหตุให้พม่าที่มีความชำนาญกว่าสามารถดักซุ่มโจมตีและตัดกำลังไม่ให้ต้าชิงสามารถประสานกำลังกันได้โดยใช้กำลังน้อยกว่า
นอกจากนี้ต้าชิงก็มีความประมาทในการเคลื่อนทัพหลายครั้ง โดยครั้งที่ 3 หมิงรุ่ยเคลื่อนทัพลึกมาในแผ่นดินพม่าห่างไกลจากเมืองกองตุงที่เป็นฐานเสบียงมากเกินไป เป็นเหตุให้ถูกตัดจากเส้นทางลำเลียงเสบียงจนแพ้ ส่วนครั้งที่ 4 ฟู่เหิงเองรีบร้อนอยากเอาชนะและพยายามรุกคืบเข้ามาแม้จะเสียกำลังไปมากและภูมิอากาศก็เป็นฤดูร้อนซึ่งโรคระบาดรุนแรงโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของแม่ทัพคนอื่นอย่างรองแม่ทัพอากุ้ยที่อยากให้ถอยทัพ (ซึ่งจริงๆ ก็มีแม่ทัพแมนจูระดับสูงบางคนที่ไม่สนับสนุนการทำศึกตั้งแต่แรกแล้ว อย่างเอ้อร์หนิง (鄂寧) อุปราชมณฑลหยุนหนานและกุ้ยโจว แต่ไม่เป็นผล) ก็เป็นเหตุหนึ่งของความพ่ายแพ้ของต้าชิงครับ (แต่เฉียนหลงไม่เอาโทษฟู่เหิงซึ่งล้มป่วยจากพม่าและเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นานเลยนอกจากริบขนนกยูงติดหมวกประจำตำแหน่ง แต่โยนบาปให้อากุ้ยกับแม่ทัพอื่นรับไปหมด ในข้อหาไม่ห้ามปรามฟู่เหิง)
ภาพเหมือนของฟู่เหิง

แสดงความคิดเห็น
ช่วงที่ต้าชิงกรีฑาทัพบุกอังวะ ถ้าเกิดต้าชิงทุ่มกำลังจริงๆจังๆ อังวะจะรับมือได้ไหมครับ