เรื่องเกิดเมื่อกว่า 30 ปีมาแล้ว สมัยที่ผมยังเป็นเด็กอายุราวๆ 6-4 ขวบ ปกติผมเล่นกับเด็กผู้ชายละแวกบ้านเป็นหลัก แต่มีช่วงหนึ่งที่เกิดอะไรขึ้นไม่ทราบได้ ทำให้ไม่ได้เล่นกับเพื่อนร่วมแก็งค์ตามปกติ ต้องอยู่บ้านอ่านหนังสือ เล่นคนเดียวจนเบื่อ ต่อมา มีพี่แถวบ้านเป็นเด็กผู้หญฺงอายุโตกว่าซัก 2 ปี ชวนไปเล่นด้วยเพราะเห็นผมอยู่บ้านคนเดียว ปกติไม่เล่นกันมากนักแค่เห็นหน้ากัน เพราะผมเบื่อเล่นแบบเด็กผู้หญิง แต่หนนี้จากความที่เบื่อเลยไปเล่นบ้านเขาแบบยอมๆ
สิ่งที่จูงใจให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งยอมไปเล่นอะไรเรียบร้อยๆคือ ที่บ้านเค้าให้ไปเล่นในห้องนอน เปิดแอร์เย็นฉ่ำเลย บ้านผมจะไม่ให้เปิดแอร์ช่วงกลางวันครับ เพราะเปลืองไฟ เวลาอยู่บ้านจึงร้อนใช้ได้เลย การได้ไปเล่นในห้องแอร์จึงเป็นทางเลือกที่ ok พอสมควรแม้สิ่งที่ตะเล่นคือการเล่น "พ่อแม่ลูก" ที่สุดจะน่าเบื่อก็ตาม สำหรับผมวัยนั้นผมอยากเล่น จับผู้ร้าย ต่อสู้ นินจา มากกว่า การเล่นหน่อมแน๊มๆแบบนั้น ไม่สนุกเอาซะเลย แต่ผมก็พยายามเล่นให้สนุกให้ได้ เพราะดีกว่าอยู่คนเดียวแบบไม่มีเพื่อนเล่น
พี่สาวมีน้อง(ไม่แท้)มาเล่นด้วยอีกคนนึง ดังนั้นผมจึงรับบทเป็นพ่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย พี่เค้ามาเป็นแม่ น้องอีกคนมาเป็นลูก ซึ่งสำหรับผมนี่คือโลกที่ใหม่และรี้ลับบมาก เพราะสิ่งที่เล่นคือการจำลองกิจวัตรของพ่อ แม่ ลูก มาเล่นกันเอาไว้ เช้ามาแม่ทำกับข้าวให้พ่อและลูกกิน พ่อพาลูกนั่งพาหนะไปส่งโรงเรียยนแล้วไปทำงาน จากนั้นกลับมารับลูกกลับบ้าน พร้อมหน้าพร้อมตา สิ่งที่ผมพยายามทำคือ การสมมุติตัวเองว่าขับยานอวกาศไปส่งลูกเรียนหนังสือและทำงานเป็นนักบินอวกาศ ขับหุ่นรบปกป้องโลก แต่แม่ (พี่บ้านตรงข้าม) เป็นคนกำกับเวลาจำลองว่าผ่านไปเท่าไหร่แล้ว และต้องกลับมาบ้าน ตอนนั้นก็คิดได้แค่ว่า เล่นๆไป ก็สนุกพอได้ (ผมเป็นเด็กหัวอ่อน ปรับตัวง่าย)
แต่สิ่งที่พีคและเข้าเนื้อหาคือ การจำลองเหตุการณ์ยามค่ำคืนของพ่อและแม่ เมื่อลูกต้องไปนอนอีกห้อง ที่สมมุติเป็นข้างเตียงของพี่เค้า ส่วนเด็กชายต้องรับบทพ่อและทำหน้าที่เป็นสามี นอนทำท่าเป็นหลับเพื่อให้ถึงวันใหม่ที่ได้ออกไปขับหุ่นยนต์เร็วๆ แต่สิ่งที่เกินคาดคือกิจกรรม "จู๋จิ๋ม" ที่ฝ่ายพี่สาวบ้านตรงข้ามบอกว่าต้องเล่น ถ้าเป็นพ่อแม่ลูกต้องเล่นจู๋จิ๋ม มันคือการที่ทั้งสองฝ่ายต้องถอดเสื้อผ้าเปลือยเปล่า ให้เด็กผู้ชายขึ้นไปนอนทับข้างบน ให้เจ้าตัวน้อยสัมผัสกันไปมา ซึ่งมันไม่ได้เหมือนการร่วมเพศแต่อย่างไร ฝ่ายเด็กหญิงก็ไม่ได้อ้าขา นอนหนีบขาแน่นปกติ แต่มันพิสดารตรงที่ทำไมต้องเล่นแบบนั้น และต้องให้เจ้าจู๋กับเจาจิ๋็มไปจิ้มกันอยู่
พี่สาวตรงข้ามบ้าน กำกับบอกว่าให้ขึ้นมานอนทับ ให้ขยับจิ้มๆไปมา แล้วก็ให้ลงนอนใส่เสื้อผ้า ดับไฟ นอน ถือว่าจบขั้นตอนค่ำคืน แล้วก็ไก่ขัน เช้าเริ่มวันใหม่ เล่นกันแบบนี้วนไปวนมาครึ่งค่อนวัน และยังคงเล่นเช่นนี้อยู่ต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง ก่อนที่ผมจะกลับไปเล่นกับเพื่อนร่วมซอยอีกครั้ง เพราะอะไรจำไม่ได้ แต่ผมก็ผละออกจากการเล่นพ่อแม่ลูกอย่างถาวร และกลับไปเล่นอะไรๆแบบเด็กผู้ชายอีกโดยไม่สนใจสิ่งต่างๆที่เล่ามาอีกเลย
จากนั้นไม่นาน บ้านตรงข้ามก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศเพราะเดิมทีทางพ่อแม่เค้าก็มีความเป็นลูกครึ่งอยู่แล้วเดาว่าคงมีภูมิลำเนาที่ต่างประเทศอยู่แล้ว มาอยู่เมืองไทยด้วยเหตุผลทางธุรกิจมากกว่า แล้วก็ไม่ได้พบอีกเลยเกือบๆสิบปี ได้เจอกันอีกทีสิบปีหลังจากนั้น เมื่อผมซึ่งย้ายบ้านไปอยู่กลางเมืองแล้วกลับมาดูบ้านหลังเก่าที่ยังปิดร้างเอาไว้ นานๆทีก็มาทำความสะอาดสักที กลับมาพอดีกับที่บ้านตรงข้ามที่แวะเวียนมาดูบ้านเก่าของตนเช่นกัน เพราะพวกเขาจะขายขาดหรืออะไรซักอย่างนี่แหละครับผมจำไม่ได้ ผมได้พบกับพี่สาวคนเดิมอีกรอบ ที่ตอนนี้น่าจะอยู่ไฮสคูล เกือบเรียนจบแล้ว ต่างคนต่างนั่งกันเงียบๆไม่ได้คุยอะไรมาก ทักทายยกันนิดหน่อยแล้วไม่มีใครเปิดบทสนทนา ทางพ่อแม่ก็ยังแซวว่าแต่ก่อนเล่นกันสนิทสนม ไปเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ
สิ่งที่คาใจผมมาตลอดกาลคือ
อะไรคือที่มาของการเล่นแบบนั้น? และมันดูเป็นเรื่องไม่เหมาะสมเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะกับเด็กชายหรือเด็กหญิง แต่มันต้องมีสาเหตุแน่นอน เด็กวัย 7-9 ขวบไม่น่าคิดริเริ่มการเล่นแบบนั้นขึ้นมาได้เอง และไม่น่าเข้าใจด้วยว่ามันคืออะไร ผมเชื่อว่าเมื่อโตขึ้นพค่เค้าก็เข้าใจว่าสิ่งที่เล่นนั้น คือการสมมุติของกิจกรรมอะไร และน่าจะอายที่จะนึกถึงมันเช่นกัน
ผมว่ามันสะท้อนการเลี้ยงดูอบรม และการระมัดระวังในครอบครัวที่น่าตกใจ กับโลกสมัยอะนาล็อก ยุคนั้นอย่าว่าแต่ internet เลย โทรทัศน์ยังออกอากาศไม่ครบตลอดวันด้วยซ้ำ กว่าจะมีรายการให้ดูก็ตอนบ่ายๆโน่น แล้วเด็กๆจะไปได้รับภาพและกิจกรรมเช่นนี้มาจากไหนได้บ้าง? ผมคงตอบไม่ได้แน่ๆครับเพราะก็ไม่รู้ว่าพี่เค้าไปเอามาจากไหน แล้วดีนะที่ผมเองก็ไม่ได้รับรู้อะไรมากไปกว่านั้น ไม่งั้นเลยเถิดกันไปใหญ่คงจะยุ่งกันแน่นอน
ต้องถามล่ะครับว่า เรื่องแบบนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร และเป็นเรื่องธรรมดาหรือไม่กับสิ่งที่เกิดขึ้น เราควรทำอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นอีกหรือหากเกิดขึ้นแล้วจะรับมืออย่างไร
สำหรับผมทุกอย่างไม่ได้แก้ให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปครับ มันเป็นแค่ปมหนึ่งในวัยเด็ก ที่อยากฝากเผื่อว่าจะมีประโยชน์กับสังคมบ้างไม่มากก็น้อย
18+ การเลี้ยงดูลูกสาวและการเล่นที่พ่อแม่อาจคาดไม่ถึง
สิ่งที่จูงใจให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งยอมไปเล่นอะไรเรียบร้อยๆคือ ที่บ้านเค้าให้ไปเล่นในห้องนอน เปิดแอร์เย็นฉ่ำเลย บ้านผมจะไม่ให้เปิดแอร์ช่วงกลางวันครับ เพราะเปลืองไฟ เวลาอยู่บ้านจึงร้อนใช้ได้เลย การได้ไปเล่นในห้องแอร์จึงเป็นทางเลือกที่ ok พอสมควรแม้สิ่งที่ตะเล่นคือการเล่น "พ่อแม่ลูก" ที่สุดจะน่าเบื่อก็ตาม สำหรับผมวัยนั้นผมอยากเล่น จับผู้ร้าย ต่อสู้ นินจา มากกว่า การเล่นหน่อมแน๊มๆแบบนั้น ไม่สนุกเอาซะเลย แต่ผมก็พยายามเล่นให้สนุกให้ได้ เพราะดีกว่าอยู่คนเดียวแบบไม่มีเพื่อนเล่น
พี่สาวมีน้อง(ไม่แท้)มาเล่นด้วยอีกคนนึง ดังนั้นผมจึงรับบทเป็นพ่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย พี่เค้ามาเป็นแม่ น้องอีกคนมาเป็นลูก ซึ่งสำหรับผมนี่คือโลกที่ใหม่และรี้ลับบมาก เพราะสิ่งที่เล่นคือการจำลองกิจวัตรของพ่อ แม่ ลูก มาเล่นกันเอาไว้ เช้ามาแม่ทำกับข้าวให้พ่อและลูกกิน พ่อพาลูกนั่งพาหนะไปส่งโรงเรียยนแล้วไปทำงาน จากนั้นกลับมารับลูกกลับบ้าน พร้อมหน้าพร้อมตา สิ่งที่ผมพยายามทำคือ การสมมุติตัวเองว่าขับยานอวกาศไปส่งลูกเรียนหนังสือและทำงานเป็นนักบินอวกาศ ขับหุ่นรบปกป้องโลก แต่แม่ (พี่บ้านตรงข้าม) เป็นคนกำกับเวลาจำลองว่าผ่านไปเท่าไหร่แล้ว และต้องกลับมาบ้าน ตอนนั้นก็คิดได้แค่ว่า เล่นๆไป ก็สนุกพอได้ (ผมเป็นเด็กหัวอ่อน ปรับตัวง่าย)
แต่สิ่งที่พีคและเข้าเนื้อหาคือ การจำลองเหตุการณ์ยามค่ำคืนของพ่อและแม่ เมื่อลูกต้องไปนอนอีกห้อง ที่สมมุติเป็นข้างเตียงของพี่เค้า ส่วนเด็กชายต้องรับบทพ่อและทำหน้าที่เป็นสามี นอนทำท่าเป็นหลับเพื่อให้ถึงวันใหม่ที่ได้ออกไปขับหุ่นยนต์เร็วๆ แต่สิ่งที่เกินคาดคือกิจกรรม "จู๋จิ๋ม" ที่ฝ่ายพี่สาวบ้านตรงข้ามบอกว่าต้องเล่น ถ้าเป็นพ่อแม่ลูกต้องเล่นจู๋จิ๋ม มันคือการที่ทั้งสองฝ่ายต้องถอดเสื้อผ้าเปลือยเปล่า ให้เด็กผู้ชายขึ้นไปนอนทับข้างบน ให้เจ้าตัวน้อยสัมผัสกันไปมา ซึ่งมันไม่ได้เหมือนการร่วมเพศแต่อย่างไร ฝ่ายเด็กหญิงก็ไม่ได้อ้าขา นอนหนีบขาแน่นปกติ แต่มันพิสดารตรงที่ทำไมต้องเล่นแบบนั้น และต้องให้เจ้าจู๋กับเจาจิ๋็มไปจิ้มกันอยู่
พี่สาวตรงข้ามบ้าน กำกับบอกว่าให้ขึ้นมานอนทับ ให้ขยับจิ้มๆไปมา แล้วก็ให้ลงนอนใส่เสื้อผ้า ดับไฟ นอน ถือว่าจบขั้นตอนค่ำคืน แล้วก็ไก่ขัน เช้าเริ่มวันใหม่ เล่นกันแบบนี้วนไปวนมาครึ่งค่อนวัน และยังคงเล่นเช่นนี้อยู่ต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง ก่อนที่ผมจะกลับไปเล่นกับเพื่อนร่วมซอยอีกครั้ง เพราะอะไรจำไม่ได้ แต่ผมก็ผละออกจากการเล่นพ่อแม่ลูกอย่างถาวร และกลับไปเล่นอะไรๆแบบเด็กผู้ชายอีกโดยไม่สนใจสิ่งต่างๆที่เล่ามาอีกเลย
จากนั้นไม่นาน บ้านตรงข้ามก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศเพราะเดิมทีทางพ่อแม่เค้าก็มีความเป็นลูกครึ่งอยู่แล้วเดาว่าคงมีภูมิลำเนาที่ต่างประเทศอยู่แล้ว มาอยู่เมืองไทยด้วยเหตุผลทางธุรกิจมากกว่า แล้วก็ไม่ได้พบอีกเลยเกือบๆสิบปี ได้เจอกันอีกทีสิบปีหลังจากนั้น เมื่อผมซึ่งย้ายบ้านไปอยู่กลางเมืองแล้วกลับมาดูบ้านหลังเก่าที่ยังปิดร้างเอาไว้ นานๆทีก็มาทำความสะอาดสักที กลับมาพอดีกับที่บ้านตรงข้ามที่แวะเวียนมาดูบ้านเก่าของตนเช่นกัน เพราะพวกเขาจะขายขาดหรืออะไรซักอย่างนี่แหละครับผมจำไม่ได้ ผมได้พบกับพี่สาวคนเดิมอีกรอบ ที่ตอนนี้น่าจะอยู่ไฮสคูล เกือบเรียนจบแล้ว ต่างคนต่างนั่งกันเงียบๆไม่ได้คุยอะไรมาก ทักทายยกันนิดหน่อยแล้วไม่มีใครเปิดบทสนทนา ทางพ่อแม่ก็ยังแซวว่าแต่ก่อนเล่นกันสนิทสนม ไปเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ
สิ่งที่คาใจผมมาตลอดกาลคือ
อะไรคือที่มาของการเล่นแบบนั้น? และมันดูเป็นเรื่องไม่เหมาะสมเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะกับเด็กชายหรือเด็กหญิง แต่มันต้องมีสาเหตุแน่นอน เด็กวัย 7-9 ขวบไม่น่าคิดริเริ่มการเล่นแบบนั้นขึ้นมาได้เอง และไม่น่าเข้าใจด้วยว่ามันคืออะไร ผมเชื่อว่าเมื่อโตขึ้นพค่เค้าก็เข้าใจว่าสิ่งที่เล่นนั้น คือการสมมุติของกิจกรรมอะไร และน่าจะอายที่จะนึกถึงมันเช่นกัน
ผมว่ามันสะท้อนการเลี้ยงดูอบรม และการระมัดระวังในครอบครัวที่น่าตกใจ กับโลกสมัยอะนาล็อก ยุคนั้นอย่าว่าแต่ internet เลย โทรทัศน์ยังออกอากาศไม่ครบตลอดวันด้วยซ้ำ กว่าจะมีรายการให้ดูก็ตอนบ่ายๆโน่น แล้วเด็กๆจะไปได้รับภาพและกิจกรรมเช่นนี้มาจากไหนได้บ้าง? ผมคงตอบไม่ได้แน่ๆครับเพราะก็ไม่รู้ว่าพี่เค้าไปเอามาจากไหน แล้วดีนะที่ผมเองก็ไม่ได้รับรู้อะไรมากไปกว่านั้น ไม่งั้นเลยเถิดกันไปใหญ่คงจะยุ่งกันแน่นอน
ต้องถามล่ะครับว่า เรื่องแบบนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร และเป็นเรื่องธรรมดาหรือไม่กับสิ่งที่เกิดขึ้น เราควรทำอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นอีกหรือหากเกิดขึ้นแล้วจะรับมืออย่างไร
สำหรับผมทุกอย่างไม่ได้แก้ให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปครับ มันเป็นแค่ปมหนึ่งในวัยเด็ก ที่อยากฝากเผื่อว่าจะมีประโยชน์กับสังคมบ้างไม่มากก็น้อย