แชร์ประสบการณ์ชีวิต ก่อน-หลัง ศัลยกรรมใบหน้า 5 ครั้ง

สวัสดีค่ะ จขกท.ขอแทนตัวเองว่าเรานะคะ ปัจจุบันเราอายุ 26 ปี เคยทำศัลยกรรมมาทั้งหมด 5 ครั้ง ครั้งหนึ่งเป็นศัลยกรรมใหญ่แบบที่ต้องวางยาสลบและพักรักษาตัวในร.พ.เกือบอาทิตย์จึงจะกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ ทั้งหมดเป็นการศัลยกรรมบริเวณใบหน้าค่ะ ที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่ใช่รายละเอียดเรื่องการทำศัลยกรรมในแต่ละครั้งนะคะ แต่เป็นประสบการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเราก่อน-หลังศัลยกรรมมากกว่า

                 ขอเล่าย้อนไปในวัยเด็ก ตอนที่เป็นเด็กเล็กๆเราน่ารักมากค่ะ พ่อแม่ถ่ายรูปช่วงนี้เก็บเอาไว้เยอะเชียว จนกระทั่งเข้าชั้นประถมเราขี้เหร่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งรูปร่างและหน้าตา เรากลายเป็นเป้าล้อเลียนของกลุ่มเพื่อนผู้ชาย เวลาเราเดินผ่านก็จะโดนตะโกนเรียกด้วยฉายาต่างๆประดามีที่พวกเขาจะตั้งให้ เรากลายเป็น’อุปกรณ์’ไว้ใช้แกล้งคนอื่นต่ออีกทอด เช่น หากเพื่อนต้องการจะแกล้งเพื่อนผู้ชายสักคน เขาก็จะแกล้งล้อกันว่าคนคนนั้นเป็นแฟนเรา หรือ เราชอบผู้ชายคนนั้น, สมมติว่ามีเล่นแข่งอะไรกันในกลุ่มคนที่แพ้จะต้องเป็นแฟนเรา เป็นต้น เพื่อนผู้หญิงก็มีคุยกับเราบ้าง แต่ไม่มีใครอยากรับเราเข้ากลุ่ม เราเพิ่งมีกลุ่มเพื่อน มีความสุขขึ้นกับชีวิตในโรงเรียนตอนเราย้ายเข้าไปรร.หญิงล้วนตอนม.ต้น อาจจะเป็นเพราะช่วงวัยโตขึ้น+หญิงล้วนด้วย เราเลยถูกเลือกปฏิบัติน้อยลง

                  ชีวิตนอกรั้วโรงเรียนของเรา ก็ไม่ได้พ้นไปจากการถูกล้อเลียนและการเลือกปฏิบัติ ญาติผู้พี่(ชาย)ของเราคนนึง เวลาอยู่ด้วยกันชอบกระซิบกระซาบล้อเลียนรูปร่างหน้าตาเรากับน้องชายตัวเอง ดีที่คนน้องไม่ชอบและขอให้พี่ชายตัวเองหยุดทำทุกครั้ง
(เราขอบคุณเค้ามากกจนทุกวันนี้) ไปเจอเพื่อนแม่ทีไร ก็จะมีคนพูดประมาณว่า แม่ก็สวย ทำไมลูกขี้เหร่, ลูกสวยสู้แม่ไม่ได้เลย ตอนไปเจอญาติฝั่งพ่อเราคนนึงที่ไม่เคยเจอนานมากตั้งแต่ยังเล็ก เค้าพูดกับพ่อเราว่า ตายแล้ว!!ทำไมโตมาขี้เหร่แบบนี้  แม้กระทั่งพ่อเราเองยังเคยพูดกับแม่เราว่า “ดีเนอะที่ลูกเราขี้เหร่ ไม่ต้องห่วงเรื่องมีแฟนในวัยเรียน”

                  จากทั้งหมดที่เล่ามา เรื่องรูปร่างหน้าตาก็กลายเป็นปมใหญ่หนึ่งในชีวิตเรา ไม่ใช่ว่าเราโตมาอย่างคนไม่มีความสุขนะคะ ตอนที่ไม่เจอเหตุการณ์กระทบใจเราก็มีความสุขได้ตามปกติ แต่มันก็จะมีความหวาดระแวงว่าจะถูกพูดหรือกระทำแย่ๆใส่อยู่ตลอด อย่างสมมติว่าหากจะต้องทำกิจกรรมจับคู่ชาย-หญิง เช่น เรียนลีลาศ เราก็จะกังวลขึ้นมาแล้วว่าจะมีผู้ชายยอมจับคู่กับเรามั้ย, ผู้ชายที่ถูกจับคู่กับเราจะแสดงท่าทางรังเกียจใส่เราหรือเปล่า, จะมีคนล้อเลียนที่ผู้ชายคนนั้นต้องมาจับคู่กับเรามั้ย เป็นต้น นอกจากนี้ยังส่งผลกับนิสัยทำให้ตอนเด็กเราเป็นคนก้าวร้าว เสียงดัง พูดจาหยาบคาย ในตอนแรกๆเราทำเพื่อตอบโต้คนที่พูดไม่ดีใส่เรา แต่ตอนหลังมันกลายเป็นว่าเราทำแบบนี้กับทุกคนรวมถึงเพื่อนคนที่นิสัยดีด้วย อาจจะเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวแต่นั่นยิ่งทำให้เราเป็นคนไม่น่าคบเข้าไปใหญ่ เพราะหน้าตาก็ไม่ดี นิสัยก็ไม่ดี

                  จนกระทั่งก่อนเราจะเข้ามหาวิทยาลัย แม่พาเราไปศัลยกรรมครั้งแรก ใช่ค่ะ แม่เป็นคนพาไปทำเอง ขอบคุณแม่มากที่เข้าใจว่าสิ่งนี้สำคัญสำหรับเราแค่ไหน หลังจากทำศัลยกรรมจุดแรกเสร็จ คนรอบข้างปฏิบัติต่อเราดีขึ้นมากๆ ไม่ได้มากเกินไปกว่าปกติ แต่สำหรับเราในตอนนั้น แค่ได้รับการปฏิบัติเหมือนผู้หญิงทั่วๆไป มันก็ดีมากแล้ว

หลังจากนั้นเราก็เก็บตังค์เองเพื่อทำส่วนอื่นๆต่อๆมา  ซึ่งหลังจากแต่ละครั้งที่แต่ละจุดสำเร็จ คนรอบข้างก็ปฏิบัติกับเราดีขึ้นเรื่อยๆ เราได้รับคำชมเรื่องหน้าตาบ่อยๆ ได้รับสิทธิพิเศษบางอย่างของคนหน้าตาดี ชีวิตเราเปลี่ยน จนบางช่วงเราก็เหมือนมีอาการเสพย์ติด คือนั่งมองหน้าตัวเองแล้วคิดว่าจุดนั้นจุดนี้ยังทำให้ดีขึ้นสวยขึ้นได้มั้ย นั่งอ่านรีวิวในเว็บศัลยกรรมเป็นวันๆ หาข้อมูลโดยละเอียดของแต่ละหมอแต่ละคลินิก ว่าสไตล์การทำเป็นยังไง เคยมีเคสพลาดมั้ย รับผิดชอบดีหรือเปล่า แต่มันก็จะมาๆหายๆเป็นพักๆ คือบ้าอยู่สักสองสามวันแล้วก็ไปสนใจเรื่องอื่นแทน แต่ข้อมูลที่เคยหาไว้ก็ได้ใช้ตอนจะทำจริงๆแต่ละส่วนแหละค่ะ

                  จนช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้เอง เราถึงเพิ่งจะเริ่มพอใจในหน้าตาของตนเองไม่รู้สึกว่าจะต้องไปแก้ไขอะไรอีกแล้ว เหตุผลไม่ได้สวยหรูอะไรหรอกค่ะ แต่วันหนึ่งเราไปกินข้าวกับผู้ชายที่คบหากันอยู่ตอนนั้น กับเพื่อนของเขาและแฟน เรารู้สึกว่าแฟนของเพื่อนเขาสวยมากกก คนละลีกกับเราเลย นั่งกินข้าวอยู่เรายังแอบมองเธออยู่บ่อยๆ แต่ตอนมาคุยกันทีหลังเรื่องแฟนเพื่อน เราชมว่าผู้หญิงคนนั้นสวยมากก เขากลับบอกว่าเธอหน้าตาเฉยๆ หน้าจืด เขาว่าเราสวยกว่าตั้งเยอะ (ตอนเขามาจีบเราเข้ามาจีบเพราะสวยตรงสเปก) เราเลยคิดว่าพอถึงจุดนึงพอเข้าข่ายคนหน้าตาดีแล้ว สวยหรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับสเปกของแต่ละคนแล้ว แล้วอีกอย่างบรรดาหนุ่มๆที่เข้ามาจีบเพราะชอบหน้าตาเราแต่ละคน สุดท้ายแล้วลองคบก็ไม่ยืดสักราย คือปัจจุบันมันคงเป็น yield point แล้ว ต่อให้เราสวยขึ้นไปกว่านี้อีกนิด ชีวิตเราคงไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ แถมความเสี่ยงที่ไปทำศัลยกรรมเพิ่มแล้วพลาดสวยน้อยกว่าเดิมก็มีสูง เราเลยตัดสินใจที่จะหยุดตรงนี้แล้วกัน



                  ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรมากนอกจากอยากให้คนที่ได้อ่านใจดีขึ้นกับคนหน้าตาไม่ดีกันสักหน่อย เราผ่านมาแล้วเรารู้ว่าโลกของคนขี้เหร่โหดร้ายขนาดไหน ถ้าไม่อยากทำอะไรดีๆให้ก็ขอร้องว่าอย่าร้ายใส่ ปล่อยพวกเราเอาไว้เฉยๆก็ยังดี ทุกครั้งที่เราเห็นคนด่ากันว่า “หน้าตาไม่ดีแล้วยังนิสัยไม่ดีอีก” เราสะท้อนในอกทุกครั้ง คิดในใจว่าคนคนนั้นอาจจะกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีเพราะหน้าตาไม่ดีแล้วโดนทรีทแย่ๆมาตลอดเนี่ยแหละ

                  สำหรับคนที่จะทำศัลยกรรม หรือคนที่มีอาการเหมือนจะเสพย์ติดศัลยกรรม อยากให้ระลึกอยู่เสมอว่าการทำศัลยกรรมทุกครั้งมีความเสี่ยง ก่อนจะทำให้หาให้เจอก่อนว่าจุดนั้นเป็นจุดด้อยของใบหน้าจริงหรือไม่ มั่นใจว่าเราจะพอใจกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดแล้วค่อยทำ ศึกษากระบวนการ สถานที่ ความเสี่ยง และแพทย์ที่ทำให้ดีเสียก่อนเสมอ และจำไว้เสมอว่าคุณค่าของตัวคุณไม่ได้ถูกกำหนดด้วยรูปร่างหน้า มันแค่เป็นสิ่งที่เพิ่มโอกาสให้ตัวคุณเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่