เคยรู้สึกเหนื่อยกับความรักบ้างมั้ย
เคยรู้สึกว่าตัวเองแต่งงานเร็วไปมั้ย
เราอายุ 28 จดทะเบียนสมรสไปเมื่อตอนอายุ 26
ขอเล่าประวัติความรักแบบย่อๆละกันค่ะ
เราเคยคบกับผู้ชายคนนึงสมมติว่า A ตั้งแต่อยู่มหาลัยปี 1 จนเรียนจบและทำงาน (รวมเวลาแล้วคบกัน 7 ปี)
--A เป็นลูกเจ้าของธุรกิจซึ่งฐานะถือว่าดีทีเดียว
แต่ระหว่างช่วงที่คบกับ A เราก็มีกิ๊กสมมติว่า B (ซึ่งก็คือสามีเราคนปัจจุบัน)
--B อายุมากกว่าเรา10 ปี ทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมหนึ่ง ฐานะทางบ้าน เราไม่รู้
ซึ่งเราไม่ได้แอบคุยแอบคบกับ B A รับรู้ทุกอย่าง เค้าบอกเราว่าให้มีกิ๊กได้ เพราะเค้าไม่ค่อยมีเวลาให้เรา กลัวเราเหงา
แต่ B เนี่ยไม่รู้ว่าเรามี A อยู่แล้ว ซึ่งตอนที่รู้จักกับ B เราคบ A ปีที่ 5 แล้ว
ซึ่งตอนนั้นเราต่างเรียนจบและแยกย้ายกันทำงานตจว. เลยไม่ค่อยได้เจอกัน เลยเป็นเหตุผลที่ A ยอมให้เราคุยกับ B ได้
เข้าสู่ปีที่ 2 ในการคบกับ B ( ปีที่ 7 ของ A) B จับได้ว่าเรามี A อยู่แล้ว B บอกเสียใจมาก แต่ก็รักเรามากเหมือนกัน
และ B ก็บอกว่า ให้เราเลือก ประกอบกับช่วงนั้น เราระหองระแหงกับ A มาก ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จะว่าเป็นเพราะเรามีกิ๊กก็ไม่ใช่
เพราะว่านี่ก็คบกับ B มาตั้ง 2 ปีแล้ว จนในที่สุดเรารู้เหตุผล เราไปเปิดเฟซบุคของ A ซึ่งเรามีรหัส แต่เราไม่เคยเข้าไปเช็คอะไรเลย
ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ดีๆวันนั้นอยากเข้าไปดู ก็เจอกับ การซิงค์รูปที่เชื่อมต่อกับมือถือ A (รูปเค้าไม่ได้ลงเฟซนะเป็นรูปที่ถ่ายไว้ในมือถือเฉยๆ)
เป็นรูป " เค้ากำลังมีอะไรกับผู้หญิง(หลายคน)และหนึ่งในนั้นคือคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเค้า" และถ่ายรูปเก็บไว้
และมีแชทกับผู้หญิงอีกเพียบ รวมๆแล้วคือ เค้าก็มีกิ๊กเหมือนเรานี่แหละ มีแบบลึกซึ้งและหลายคน แต่เราไม่เคยรู้เลย
เราก็ช็อคไปเลยจุดนั้น นี่เป็นจุดที่เราบอกเลิกกับ A เด็ดขาด
เราก็คิดว่า มันก็เสมอกันแหละ เราก็ไม่ได้มีเค้าคนเดียว เค้าก็ไม่ได้มีเราคนเดียว ก็คงไม่ได้รักกันจริงๆหรอก
จังหวะนั้นเอง B ก็บอกว่า เค้าพร้อมที่จะให้อภัยเราทุกอย่างที่เราเคยโกหกเค้า เค้าจะคิดว่าเราเป็นน้องสาวที่เคยทำผิดพลาด
และเรามาเริ่มใหม่กัน ซึ่งเราก็รู้สึกดีนะ ที่แบบมีเค้าอยู่ข้างๆมาตลอด มีอะไรเค้าก็คอยช่วยเหลือเราตลอด ตอนนั้นเราเลยเหมือนไม่ได้อกหัก ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร จนประมาณ 3 เดือนหลังจากที่เค้ารู้ทุกอย่าง เค้าก็ขอเราแต่งงาน ซึ่งเราก็ตอบตกลงเลย (ไม่รู้ทำไมตอบเร็วแบบไม่ทันคิดอะไร)
ซึ่งการจัดงานของเราก็เป็นงานหมั้นเล็กๆที่บ้านเรา มีแต่ญาติผู้ใหญ่ ไม่มีงานฉลองอะไรเพราะว่าเค้าเอาเงินเก็บมาทำธุรกิจส่วนตัวและลาออกจากงานมาอยู่กับเรา ก็แค่จดทะเบียนสมรส และเราก็ซื้อบ้านหลังนึงอยู่ด้วยกัน เค้าบอกว่ารอให้เก็บเงินใหม่ก่อนแล้วจะจัดงานแต่งงาน (เราก็รอเพราะความใฝ่ฝันหนึ่งของผู้หญิงคือการได้ใส่ชุดแต่งงาน) เราเคยไปบ้านเค้าครั้งนึงไปเจอพ่อแม่เค้า บ้านเค้าก็ธรรมดาค่ะ เป็นคนต่างจังหวัดแบบนอกเมือง อำเภอไกลๆเลย เอาเป็นว่า ฐานะบ้านเราดีกว่าเค้า
ชีวิตหลังแต่งงานช่วงแรกๆ เราทำงานประจำ กำลังเรียนต่อ และช่วยงานเค้าบ้าง เราเอาพ่อแม่เรามาอยู่และช่วยงานแฟนเรา ซึ่งแฟนเราก็ให้เป็นเงินเดือนนะ อยู่บ้านเดียวกัน ก็มีความสุขดี เหนื่อยบ้าง ท้อบ้างแต่ก็โอเค
จนหลังแต่งงาน 2 ปี เรามารู้ทีหลังว่าเค้าเคยแต่งงานและมีลูกแล้ว เพราะเมียเก่าเค้าแชทมาหาเรา บอกเรื่องราวทั้งหมดและบอกว่า สามีเราไม่ส่งค่าเลี้ยงดูลูกมา3 เดือนแล้ว (ตอนเค้ามีลูกเค้าก็คบกับเราอยู่เลย) เรานี่ช็อคอีกรอบ แบบอะไรเนี่ย ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ เราบอกสามีว่าเรารู้เรื่องแล้ว เค้าก็บอกว่า เค้าหาโอกาสจะบอกเราหลายรอบแล้วแต่ไม่กล้า ซึ่งถ้าบอกไปแล้วเรารับไม่ได้เราก็กลัวจะเสียเราไป
เราก็สับสนว่าเราจะเอาไงดี แต่สุดท้ายก็ต้องรับได้เพราะมันคืออดีต และให้เค้าไปจัดการเรื่องเค้าอย่าให้มาวุ่นวายกับเรา
ตอนนี้เข้าสู่ปีที่ 3 หลังแต่งงาน พ่อเราต้องไปทำงานตจว. ก็เหลือแต่แม่ที่อยู่กับเรา และแม่ก็เริ่มเป็นโรคหอบ ต้องไปพ่นยาที่รพ.บ่อยๆ ธุรกิจที่เค้าทำมันก็ดีบ้างไม่ดีบ้างแล้วแต่เดือน คือเงินเก็บไม่ค่อยมี มีแต่เงินหมุนเวียน และต้องส่งเงินให้เมียเก่าทุกเดือน แถมหลังๆ เริ่มอ้างเรื่องลูกเพื่อจะเอาเงินเพิ่มอีก ทั้งๆที่ตัวเองก็แต่งงานมีสามีใหม่แล้ว แฟนเราก็เครียด หมุนเงินไม่ทัน ทำให้อารมณ์ไม่ดีตลอดทั้งวัน ความสัมพันธ์เรามันก็เริ่มแย่ๆ เราพยายามให้กำลังใจเค้า แต่มองมาที่ตัวเราคือเราเหนื่อยมากอ่ะ เราเรียนต่อปริญญาเอก วันธรรมดาเราต้องทำงานวิจัยอยู่ที่บ้าน ไม่ก็ไปมหาลัย เสาร์อาทิตย์เราต้องไปช่วยงานเค้า งานบ้านทุกอย่างในบ้านเราทำ เราจะไม่ช่วยเค้าก็ไม่ได้ เพราะแม่เราก็เหนื่อยถ้าเราไม่ไปช่วย จะจ้างคนงานเพิ่มก็กลัวไม่เหลือเงินจ่ายค่าแรงคนงาน พอทุกคนเหนื่อยกลับบ้านก็ต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องนอน เล่นมือถือ นอน เรื่องบนเตียงนี่แทบไม่ต้องพูด ไหนจะเมียเก่ามาตอดเงินอีก ซึ่งพอทุกอย่างมันเฟล บรรยากาศในบ้านมันก็อึมครึมทุกวัน คือไม่มีความสุขเลย
วันเกิดเราที่ผ่านมาเค้ายังไม่ซื้ออะไรให้เราเลย เมื่อตอนเรารับปริญญาโท เราจะจองรูปติดฝาบ้าน แต่เราไม่มีเงิน เค้าก็ยังไม่ให้เงินเราเลย ทำเฉยๆ บอกไม่เห็นมีประโยชน์เลย และอีกหลายๆเรื่อง
เราเคยอยากมีลูก แต่พอเรารู้เรื่องว่าเค้ามีลูกติด เรานี่แทบจะปิดอู่ทันที คือถ้ายังหาเงินเพิ่มไม่ได้ไม่ต้องมีลูก เราบอกกับเค้าแบบนี้ และเรายกตัวอย่างให้เค้าฟังว่า สมมติว่า เราเตรียมเงินจ่ายค่าเทอมให้ลูกปีนี้ 1แสนบาท แต่ลูกพี่คนนั้นสอบติดมหาลัยและต้องใช้เงินและเค้ามาขอเงินพี่ไป 2หมื่นบาทพี่จะให้เค้ามั้ย พี่จะตัดอนาคตลูกพี่ปะ แล้วถ้าพี่ให้ไป แล้วลูกเราละที่เราเก็บเงินมาเพื่อให้ลูกเรียนที่ดีๆ ก็ต้องให้ลูกไปเรียนโรงเรียนธรรมดางั้นหรอ เค้าก็เงียบและอึ้งไปเลย และเราก็ยืนกรานว่าเราจะไม่มีลูกให้เค้าแล้ว (อ่อลืมบอกไปว่า เค้าก็มีลูกติดอีก 1 คนอายุ 17 ด้วยนะอยู่กับแม่เค้า อันนี้เรารู้ก่อนแต่งงาน)
เรารู้สึกว่าทำไมเราต้องมาลำบากลำบนอะไรขนาดนี้ด้วย เราเรียนตั้งสูงทำไมเราต้องมานั่งทำงานงกๆ ซึ่งเราก็ไม่ได้เงินอะไรเพิ่มเลย (เค้าไม่ได้ให้เงินเดือนเรานะ เพียงแต่ว่า ใช้ กิน เที่ยว หรืออยากได้อะไรก็บอก) เราคิดว่าเราเหนื่อยขนาดนี้ เราควรมีผลตอบแทนทีมากกว่านี้ ที่แบบเราจะซื้อครีมใช้ ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ โดยที่ไม่ต้องรอเงินจากเค้า แม่เราก็คุยกับเราบอกว่าพ่อก็บ่นว่า ทำไมลูกต้องมากัดก้อนเกลือกิน ส่งเรียนตั้งสูง จะต้องเหนื่อยอีกแค่ไหนเนี่ย สงสารลูก พอเราเครียดเราก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเขียนงานวิจัยเรา และเมื่อไหร่เราจะจบก็ไม่รู้ถ้ามันเป็นแบบนี้ทุกวัน
ตอนนี้เราควรทำยังไงดีคะ เราคิดว่าเราพลาดมากที่ตอบตกลงแต่งงานกับเค้าโดยไม่คิดอะไรก่อน ซึ่งเรายังไม่รู้ข้อมูลอะไรเค้ามากพอ
ทุกวันนี้เรายังไม่รู้เลยว่าเค้าเรียนจบอะไรเลย (เราไม่ได้โฟกัสที่วุฒิการศึกษานะแต่แค่ยกตัวอย่างเรื่องที่มีใกล้ๆตัว) เราเคยถามเค้าเค้าก็บอกจบป.ตรี แต่มันไม่มีรูปไม่มีอะไรยืนยันกับเราเลย ไม่รู้ว่าเค้าโกหกอะไรเราอยู่อีกรึป่าว เราคิดว่าที่เค้าโกหกเรื่องการแต่งงาน เรื่องการศึกษาของเค้า เพราะเค้าคิดว่า ถ้าเรารู้เราจะไม่เอาเค้า แต่เค้าไม่คิดหรอว่า แล้วถ้าเรารู้ทีหลังละมันจะเป็นยังไง
เรารู้สึกเหนื่อยกับชีวิตเรามาก สมองเราก็ตันไปหมด เราเคยไปทำงานวิจัยต่างประเทศ 5 เดือน ตอนนั้นเรารู้สึกชีวิตเราโคตรมีความสุข อยากทำอะไรก็ได้ทำ ถึงแม้งานมันจะยากและหนักมาก แต่เราแฮปปี้กับมันมาก ทุกวันนี้เราพยายามหาทางไปอีก เราไม่อยากอยู่บ้าน ไม่อยากอยู่กับเค้า แต่เราก็ห่วงแม่เรา การจดทะเบียนสมรสมันเหมือนห่วงที่คล้องเราไว้ ให้เราใช้ชีวิตในแบบของเราไม่ได้ ให้เราไปไม่ถึงฝันที่เราหวังไว้
เรารู้สึกว่ามันเร็วไปที่เราตกลงจะใช้ชีวิตคู่ แต่เราก็ถอยหลังกลับไม่ได้ และเราก็ไปต่อไม่เป็น เราอยากได้คำปรึกษาจากใครซักคน เพราะเรื่องเหล่านี้พ่อแม่และเพื่อนเรายังไม่รู้เลย เรากลัวทุกคนมองสามีเราไม่ดี มองว่าเค้ามาหลอกเรา
หรือนี่มันเป็นเวรกรรมของเรา…
เคยรู้สึกว่าตัวเองรีบแต่งงานไปมั้ย?
เคยรู้สึกว่าตัวเองแต่งงานเร็วไปมั้ย
เราอายุ 28 จดทะเบียนสมรสไปเมื่อตอนอายุ 26
ขอเล่าประวัติความรักแบบย่อๆละกันค่ะ
เราเคยคบกับผู้ชายคนนึงสมมติว่า A ตั้งแต่อยู่มหาลัยปี 1 จนเรียนจบและทำงาน (รวมเวลาแล้วคบกัน 7 ปี)
--A เป็นลูกเจ้าของธุรกิจซึ่งฐานะถือว่าดีทีเดียว
แต่ระหว่างช่วงที่คบกับ A เราก็มีกิ๊กสมมติว่า B (ซึ่งก็คือสามีเราคนปัจจุบัน)
--B อายุมากกว่าเรา10 ปี ทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมหนึ่ง ฐานะทางบ้าน เราไม่รู้
ซึ่งเราไม่ได้แอบคุยแอบคบกับ B A รับรู้ทุกอย่าง เค้าบอกเราว่าให้มีกิ๊กได้ เพราะเค้าไม่ค่อยมีเวลาให้เรา กลัวเราเหงา
แต่ B เนี่ยไม่รู้ว่าเรามี A อยู่แล้ว ซึ่งตอนที่รู้จักกับ B เราคบ A ปีที่ 5 แล้ว
ซึ่งตอนนั้นเราต่างเรียนจบและแยกย้ายกันทำงานตจว. เลยไม่ค่อยได้เจอกัน เลยเป็นเหตุผลที่ A ยอมให้เราคุยกับ B ได้
เข้าสู่ปีที่ 2 ในการคบกับ B ( ปีที่ 7 ของ A) B จับได้ว่าเรามี A อยู่แล้ว B บอกเสียใจมาก แต่ก็รักเรามากเหมือนกัน
และ B ก็บอกว่า ให้เราเลือก ประกอบกับช่วงนั้น เราระหองระแหงกับ A มาก ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จะว่าเป็นเพราะเรามีกิ๊กก็ไม่ใช่
เพราะว่านี่ก็คบกับ B มาตั้ง 2 ปีแล้ว จนในที่สุดเรารู้เหตุผล เราไปเปิดเฟซบุคของ A ซึ่งเรามีรหัส แต่เราไม่เคยเข้าไปเช็คอะไรเลย
ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ดีๆวันนั้นอยากเข้าไปดู ก็เจอกับ การซิงค์รูปที่เชื่อมต่อกับมือถือ A (รูปเค้าไม่ได้ลงเฟซนะเป็นรูปที่ถ่ายไว้ในมือถือเฉยๆ)
เป็นรูป " เค้ากำลังมีอะไรกับผู้หญิง(หลายคน)และหนึ่งในนั้นคือคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเค้า" และถ่ายรูปเก็บไว้
และมีแชทกับผู้หญิงอีกเพียบ รวมๆแล้วคือ เค้าก็มีกิ๊กเหมือนเรานี่แหละ มีแบบลึกซึ้งและหลายคน แต่เราไม่เคยรู้เลย
เราก็ช็อคไปเลยจุดนั้น นี่เป็นจุดที่เราบอกเลิกกับ A เด็ดขาด
เราก็คิดว่า มันก็เสมอกันแหละ เราก็ไม่ได้มีเค้าคนเดียว เค้าก็ไม่ได้มีเราคนเดียว ก็คงไม่ได้รักกันจริงๆหรอก
จังหวะนั้นเอง B ก็บอกว่า เค้าพร้อมที่จะให้อภัยเราทุกอย่างที่เราเคยโกหกเค้า เค้าจะคิดว่าเราเป็นน้องสาวที่เคยทำผิดพลาด
และเรามาเริ่มใหม่กัน ซึ่งเราก็รู้สึกดีนะ ที่แบบมีเค้าอยู่ข้างๆมาตลอด มีอะไรเค้าก็คอยช่วยเหลือเราตลอด ตอนนั้นเราเลยเหมือนไม่ได้อกหัก ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร จนประมาณ 3 เดือนหลังจากที่เค้ารู้ทุกอย่าง เค้าก็ขอเราแต่งงาน ซึ่งเราก็ตอบตกลงเลย (ไม่รู้ทำไมตอบเร็วแบบไม่ทันคิดอะไร)
ซึ่งการจัดงานของเราก็เป็นงานหมั้นเล็กๆที่บ้านเรา มีแต่ญาติผู้ใหญ่ ไม่มีงานฉลองอะไรเพราะว่าเค้าเอาเงินเก็บมาทำธุรกิจส่วนตัวและลาออกจากงานมาอยู่กับเรา ก็แค่จดทะเบียนสมรส และเราก็ซื้อบ้านหลังนึงอยู่ด้วยกัน เค้าบอกว่ารอให้เก็บเงินใหม่ก่อนแล้วจะจัดงานแต่งงาน (เราก็รอเพราะความใฝ่ฝันหนึ่งของผู้หญิงคือการได้ใส่ชุดแต่งงาน) เราเคยไปบ้านเค้าครั้งนึงไปเจอพ่อแม่เค้า บ้านเค้าก็ธรรมดาค่ะ เป็นคนต่างจังหวัดแบบนอกเมือง อำเภอไกลๆเลย เอาเป็นว่า ฐานะบ้านเราดีกว่าเค้า
ชีวิตหลังแต่งงานช่วงแรกๆ เราทำงานประจำ กำลังเรียนต่อ และช่วยงานเค้าบ้าง เราเอาพ่อแม่เรามาอยู่และช่วยงานแฟนเรา ซึ่งแฟนเราก็ให้เป็นเงินเดือนนะ อยู่บ้านเดียวกัน ก็มีความสุขดี เหนื่อยบ้าง ท้อบ้างแต่ก็โอเค
จนหลังแต่งงาน 2 ปี เรามารู้ทีหลังว่าเค้าเคยแต่งงานและมีลูกแล้ว เพราะเมียเก่าเค้าแชทมาหาเรา บอกเรื่องราวทั้งหมดและบอกว่า สามีเราไม่ส่งค่าเลี้ยงดูลูกมา3 เดือนแล้ว (ตอนเค้ามีลูกเค้าก็คบกับเราอยู่เลย) เรานี่ช็อคอีกรอบ แบบอะไรเนี่ย ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ เราบอกสามีว่าเรารู้เรื่องแล้ว เค้าก็บอกว่า เค้าหาโอกาสจะบอกเราหลายรอบแล้วแต่ไม่กล้า ซึ่งถ้าบอกไปแล้วเรารับไม่ได้เราก็กลัวจะเสียเราไป
เราก็สับสนว่าเราจะเอาไงดี แต่สุดท้ายก็ต้องรับได้เพราะมันคืออดีต และให้เค้าไปจัดการเรื่องเค้าอย่าให้มาวุ่นวายกับเรา
ตอนนี้เข้าสู่ปีที่ 3 หลังแต่งงาน พ่อเราต้องไปทำงานตจว. ก็เหลือแต่แม่ที่อยู่กับเรา และแม่ก็เริ่มเป็นโรคหอบ ต้องไปพ่นยาที่รพ.บ่อยๆ ธุรกิจที่เค้าทำมันก็ดีบ้างไม่ดีบ้างแล้วแต่เดือน คือเงินเก็บไม่ค่อยมี มีแต่เงินหมุนเวียน และต้องส่งเงินให้เมียเก่าทุกเดือน แถมหลังๆ เริ่มอ้างเรื่องลูกเพื่อจะเอาเงินเพิ่มอีก ทั้งๆที่ตัวเองก็แต่งงานมีสามีใหม่แล้ว แฟนเราก็เครียด หมุนเงินไม่ทัน ทำให้อารมณ์ไม่ดีตลอดทั้งวัน ความสัมพันธ์เรามันก็เริ่มแย่ๆ เราพยายามให้กำลังใจเค้า แต่มองมาที่ตัวเราคือเราเหนื่อยมากอ่ะ เราเรียนต่อปริญญาเอก วันธรรมดาเราต้องทำงานวิจัยอยู่ที่บ้าน ไม่ก็ไปมหาลัย เสาร์อาทิตย์เราต้องไปช่วยงานเค้า งานบ้านทุกอย่างในบ้านเราทำ เราจะไม่ช่วยเค้าก็ไม่ได้ เพราะแม่เราก็เหนื่อยถ้าเราไม่ไปช่วย จะจ้างคนงานเพิ่มก็กลัวไม่เหลือเงินจ่ายค่าแรงคนงาน พอทุกคนเหนื่อยกลับบ้านก็ต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องนอน เล่นมือถือ นอน เรื่องบนเตียงนี่แทบไม่ต้องพูด ไหนจะเมียเก่ามาตอดเงินอีก ซึ่งพอทุกอย่างมันเฟล บรรยากาศในบ้านมันก็อึมครึมทุกวัน คือไม่มีความสุขเลย
วันเกิดเราที่ผ่านมาเค้ายังไม่ซื้ออะไรให้เราเลย เมื่อตอนเรารับปริญญาโท เราจะจองรูปติดฝาบ้าน แต่เราไม่มีเงิน เค้าก็ยังไม่ให้เงินเราเลย ทำเฉยๆ บอกไม่เห็นมีประโยชน์เลย และอีกหลายๆเรื่อง
เราเคยอยากมีลูก แต่พอเรารู้เรื่องว่าเค้ามีลูกติด เรานี่แทบจะปิดอู่ทันที คือถ้ายังหาเงินเพิ่มไม่ได้ไม่ต้องมีลูก เราบอกกับเค้าแบบนี้ และเรายกตัวอย่างให้เค้าฟังว่า สมมติว่า เราเตรียมเงินจ่ายค่าเทอมให้ลูกปีนี้ 1แสนบาท แต่ลูกพี่คนนั้นสอบติดมหาลัยและต้องใช้เงินและเค้ามาขอเงินพี่ไป 2หมื่นบาทพี่จะให้เค้ามั้ย พี่จะตัดอนาคตลูกพี่ปะ แล้วถ้าพี่ให้ไป แล้วลูกเราละที่เราเก็บเงินมาเพื่อให้ลูกเรียนที่ดีๆ ก็ต้องให้ลูกไปเรียนโรงเรียนธรรมดางั้นหรอ เค้าก็เงียบและอึ้งไปเลย และเราก็ยืนกรานว่าเราจะไม่มีลูกให้เค้าแล้ว (อ่อลืมบอกไปว่า เค้าก็มีลูกติดอีก 1 คนอายุ 17 ด้วยนะอยู่กับแม่เค้า อันนี้เรารู้ก่อนแต่งงาน)
เรารู้สึกว่าทำไมเราต้องมาลำบากลำบนอะไรขนาดนี้ด้วย เราเรียนตั้งสูงทำไมเราต้องมานั่งทำงานงกๆ ซึ่งเราก็ไม่ได้เงินอะไรเพิ่มเลย (เค้าไม่ได้ให้เงินเดือนเรานะ เพียงแต่ว่า ใช้ กิน เที่ยว หรืออยากได้อะไรก็บอก) เราคิดว่าเราเหนื่อยขนาดนี้ เราควรมีผลตอบแทนทีมากกว่านี้ ที่แบบเราจะซื้อครีมใช้ ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ โดยที่ไม่ต้องรอเงินจากเค้า แม่เราก็คุยกับเราบอกว่าพ่อก็บ่นว่า ทำไมลูกต้องมากัดก้อนเกลือกิน ส่งเรียนตั้งสูง จะต้องเหนื่อยอีกแค่ไหนเนี่ย สงสารลูก พอเราเครียดเราก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเขียนงานวิจัยเรา และเมื่อไหร่เราจะจบก็ไม่รู้ถ้ามันเป็นแบบนี้ทุกวัน
ตอนนี้เราควรทำยังไงดีคะ เราคิดว่าเราพลาดมากที่ตอบตกลงแต่งงานกับเค้าโดยไม่คิดอะไรก่อน ซึ่งเรายังไม่รู้ข้อมูลอะไรเค้ามากพอ
ทุกวันนี้เรายังไม่รู้เลยว่าเค้าเรียนจบอะไรเลย (เราไม่ได้โฟกัสที่วุฒิการศึกษานะแต่แค่ยกตัวอย่างเรื่องที่มีใกล้ๆตัว) เราเคยถามเค้าเค้าก็บอกจบป.ตรี แต่มันไม่มีรูปไม่มีอะไรยืนยันกับเราเลย ไม่รู้ว่าเค้าโกหกอะไรเราอยู่อีกรึป่าว เราคิดว่าที่เค้าโกหกเรื่องการแต่งงาน เรื่องการศึกษาของเค้า เพราะเค้าคิดว่า ถ้าเรารู้เราจะไม่เอาเค้า แต่เค้าไม่คิดหรอว่า แล้วถ้าเรารู้ทีหลังละมันจะเป็นยังไง
เรารู้สึกเหนื่อยกับชีวิตเรามาก สมองเราก็ตันไปหมด เราเคยไปทำงานวิจัยต่างประเทศ 5 เดือน ตอนนั้นเรารู้สึกชีวิตเราโคตรมีความสุข อยากทำอะไรก็ได้ทำ ถึงแม้งานมันจะยากและหนักมาก แต่เราแฮปปี้กับมันมาก ทุกวันนี้เราพยายามหาทางไปอีก เราไม่อยากอยู่บ้าน ไม่อยากอยู่กับเค้า แต่เราก็ห่วงแม่เรา การจดทะเบียนสมรสมันเหมือนห่วงที่คล้องเราไว้ ให้เราใช้ชีวิตในแบบของเราไม่ได้ ให้เราไปไม่ถึงฝันที่เราหวังไว้
เรารู้สึกว่ามันเร็วไปที่เราตกลงจะใช้ชีวิตคู่ แต่เราก็ถอยหลังกลับไม่ได้ และเราก็ไปต่อไม่เป็น เราอยากได้คำปรึกษาจากใครซักคน เพราะเรื่องเหล่านี้พ่อแม่และเพื่อนเรายังไม่รู้เลย เรากลัวทุกคนมองสามีเราไม่ดี มองว่าเค้ามาหลอกเรา
หรือนี่มันเป็นเวรกรรมของเรา…