เมื่ออดีตสามีขอดราม่า คำขอโทษหรือขอโอกาส ที่ฉันไม่อยากได้ยิน

ขอความเห็นเป็นคำพูดโดนๆ เจ็บๆยิ่งดีค่ะ........เมื่อคืนอดีตสามีที่หย่าร้างกันไปแล้ว 3 ปี ส่งไลน์มาหา  ด้วยประโยคแรกที่ว่า  
      " ขอดราม่าหน่อยละกัน ขอโทษที่ผ่านมาที่ทำให้เธอกับลูกต้องเป็นแบบนี้ ต้องทำให้เราสามคนพลัดพรากกัน ทำให้ลูกโดดเดี่ยว ถ้าอนาคตเขาชดเชยสิ่งที่ทำผิดพลาดลงไปให้มันดีขึ้นได้ เขาจะชดใช้คืนให้นะทั้งเธอและลูก ลูกคือแก้วตาดวงใจของเขา เขาจะดูแลลูกให้ดีที่สุดส่วนเธอเขาจะชดเชยให้ "....เราอึ้งอยู่ครู่นึง เกิดคำถามในหัวว่า ชดเชยอะไรให้ฉัน แต่ก็ยังไม่ตอบอะไร   แต่มันทำให้เราตัดสินใจอะไรบางอย่างได้เร็วยิ่งขึ้น...เพราะอะไรน่ะเหรอ ถ้าเป็นคุณ ยังจะให้อภัยเขาได้อยู่หรือไม่ ??
     ขอย้อนรอยนะคะน่าจะยาวมาก เมื่อปี 2549 เรียนจบเราได้มาทำงานเป็นครูในตัวเมืองใหญ่ทางภาคอีสาน ด้วยสังคมเมืองทำให้ได้เจอหนุ่มนักศึกษาวิศวะไฟฟ้า ปี 3 มหาลัยของรัฐ หน้าตาละอ่อน ซึ่งอายุน้อยกว่าเราตั้ง 2 ปีขณะนั้นดิฉัน 23 เค้า 21 ต่างคนต่างพึงพอใจกัน อาจจะมีความคิดแว้บๆอยู่ที่แฟนยังไม่มีหน้าที่การงาน  ขอเงินแม่มาเรียนอยู่เลย แต่ก็อย่างว่า ความรักทำให้คนตาบอด (บอดสนิท) จำได้ว่าช่วงเค้าเรียนเราเคยให้เค้าเลี้ยงข้าวเราแค่มื้อเดทกันวันแรก และบอกเค้าไปว่า ไม่ต้องเลี้ยงข้าวเราอีกนะเธอยังไม่มีงานทำ เอาเงินไว้ซื้อพวกอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็นดีกว่า (สวยมาก) แต่คิดแบบนี้จริงๆค่ะ ไม่มีไรแอบแฝง รักแบบรักจริงๆ หวังแค่ว่าถ้าเราคบกันไปตลอดรอดฝั่ง ได้สามีเป็นวิศวกรไฟฟ้าก็น่าสนนะ ช่วงปีแรกเค้าก็พาเราไปเจอพ่อแม่ทั้ง  2 ฝ่าย ผู้ใหญ่รับรู้ไม่ได้ว่าอะไรก็บอกให้ดูแลกันไป รอเค้าเรียนจบค่อยทำงานเก็บเงินแต่งงานสร้างเนื้อสร้างตัว นี่คือสิ่งที่วางแผนไว้ ปีสุดท้ายที่เขาเรียนมีอะไรหลายอย่างทั้งการกระทำของตัวเขาเองและคำบอกเล่าของพ่อแม่เพื่อนฝ฿งของเขาว่า เขาเอาแต่ใจ อยากได้อะไรต้องได้ ด้วยความเป็นลูกชายคนสุดท้องคนเดียวของบ้าน(ครอบครัวเขาหย่าร้าง อาศัยอยู่บ้านพักข้าราชการกับพี่สาว พี่เขย  พ่อและแม่เลี้ยง ซึ่งแม่เลี้ยงรักเขามากเพราะเลี้ยงเขามาตั้งแต่ 3 ขวบ) โมโหร้ายถ้าไม่ได้ดั่งใจ พูดจาหยาบคาย ทำลายข้าวของ ถ้าดีดีสุดใจ ทำกับข้าว ทำงานบ้าน เหล้าไม่มี บุหรี่ไม่สูบ ติดบ้าน ไม่ชอบเที่ยว ระดับความเจ้าชู้มี แต่ไม่เคยได้เห็น จำได้ว่าช่วง 6 เดือนแรก เขาอยากได้โทรศัพท์ ราคาหมื่นสี่พัน สมัย 10 ปีแล้วแพงมากนะคะสำหรับเรา เราบอกไม่มีเงินเขาก็งอนและตอกกลับมาว่าถ้าเราไม่ซื้อให้ให้คนอื่นซื้อให้ก็ได้ เราก็ใช้บัตรซื้อให้ พอได้ของดี้ด้าเหมือนเด็ก 6 ขวบ พอขึ้นปี 4 ใกล้จะจบบอกเราว่าอยากได้คอมฯมาทำโปรเจคจบและใช้ฝึกงานเขียนแบบ รุ่น vaio จำได้ว่า 46,000 เราก็กู้บัตรเครดิตอีกตามเคย เรียนจบเขาปุ้บมีเกณฑ์ทหาร ค่าวิ่งเต้น หลายหมื่นก็เราอีก (ทางบ้านเขาก็ลำบากค่ะ เรากะสวยตามเคย 55 เค้าติดหรู ใช้ของแพงทั้งที่ไม่มีตังค์ ต่างกะเราสื้นเชิง ) พอเขาจบรองานทำเราก็อยู่ด้วยกันแต่ยังไม่ได้แต่งงาน เขาก็อยู่บ้านอ่านหนังสือหนักมากเพื่อสอบเข้า กฟผ. ผ่านรอบแรก ดีใจกันทั้งบ้าน แต่ตกสัมภาษณ์ เขาก็ดูเสียใจมากเพราะกลัวอายุจะเกินถ้าจะรอสอบใหม่ เราก็ให้กำลังใจ บอกให้หางานใหม่ทำ พอให้รายได้เข้ามาแต่พอได้ทำก็บ่นจุกจิก นั่นไม่ดีนี่ไม่ดี สุดท้ายก็ออกมาอยู่บ้านกะเรา รับเหมาออกแบบระบบไฟฟ้ากับเพื่อน ทำงานที่บ้าน นานๆ 5-6 เดือนได้เงินที เราก็ไม่ว่าอะไร คิดเสียว่าคงเป็นช่วงจังหวะชีวิตทุกอย่างคงต้องประคับประคองช่วยเหลือกันไปก่อน
ช่วงนี้ล่ะเค้าติดสาวโรงงาน ผู้หญิงคนนั้นก็รู้ว่าเขามีเรา เราจับได้และขอเลิกทันที เพราะเคยคุยกะเค้าแล้วว่าถ้าเธอมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นเราจะเลิกคบ เรารับไม่ได้ แฟนคนก่อนเราก็ทำแบบนี้  เค้าบอกไม่เลิก จะอยู่กับเรา เราเลยยื่นคำขาดงั้นเลือก ผู้หญิงคนนั้นหรือว่าเลือกเรา เค้าบอกเลือกเรา เราก็บอกอีกว่า งั้นเธอก็ต้องแต่งงานกับฉัน ( เป็นความคิดที่โง่มาก อยากเอาชนะหรือกลัวการสูญเสียก็มิทราบ ) หัวอกลูกผู้หญิงเน้าะ ไม่อยากมีสามีหลายคน  เขาก็ตอบตกลง หมั้นไว้ก่อน อีก 1 ปี เราก็จัดงานแต่งเมื่อ ม.ค. ปี 2555 ในโรงแรมกลางเมืองในจังหวัด (เงินดิฉันตามเคย กู้มาทุกบาททุกสตางค์จากสวัสดิการครู )  หลังแต่ง ดาวน์รถยนต์อีก 300,000 (เงินเรา) ผ่อนเดือนละหมื่นนิดๆ ช่วงนี้เริ่มหมุนเงินไม่ทันติดๆขัด แต่ความโชคดีคือเขาก็ได้งานประจำอยู่บริษัทเอกชนแห่งนึง เงินเดือน13,000  เขาแบ่งให้เราใช้ 8,000 บาท ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ค่างวดรถ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ กินอยู่ จ่ายบัตรเครดิตคือเรา พอไม่พอเขาไม่รับรู้ มีบ่นด้วยนะว่า ตัวเขาเองทำงานได้มาก็เหมือนไม่ได้ใช้ เราก็อึ้ง เวลาอยากไปทานอาหารนอกบ้าน เราบอกเสียดายตังค์ เงินไม่พอด้วย เขาก็โกรธ เรานี่น้อยใจเลยนะได้เพียงแต่คิดว่า 5 ปีก่อนที่เธอยังไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ทุกบาทที่เธอขอ ชั้นดิ้นรนหามาประเคนให้ ไม่มีบ่น มันมากกว่าที่เคยหยิบยื่นให้ชั้นณ เวลานี้ แต่เราก็ยังอดทน ประกอบกับเรามีน้อง คือหลังแต่งงานเราก็ปล่อยเลย ท้องแรกหลุด อีก 1 เดือนถัดมาตัวเล็กก็มาเลย  หนักต้องเอาเบาต้องสู้ ได้แต่ให้กำลังใจตัวเอง แต่ในช่วงเรามีน้องเขาดีมาก ดูแลอาหารการกิน ตระเตรียมให้ทุกอย่าง อะไรที่ว่าดี สรรหามาให้เมียกะลูก ไปหาหมอตามนัดเขาก็ต้องไปด้วยตลอด ขับรถไปรับไปส่งเราที่ทำงานทุกวัน จนกระทั่งคลอด 30 มี.ค.56 ดูเป็นเป็น family man  มากจนภรรยาเพื่อนๆเขาอิจฉาที่เห็นเขาเอาอกเอาใจเมียกับลูก เราได้ลูกชายค่ะ เราทั้งสองรักลูกมาก ทุกอย่างเหมือนจะดูราบรื่น ปีถัดมา  พ.ค. 57 มีเหตุให้เราต้องพลัดพรากครั้งที่ 1  เจ้านายส่งเขาไปคุมงานที่กรุงเทพฯ 6 เดือน แถวๆลาดกระบัง โดยออกค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ เพื่อกลับมาเยี่ยมครอบครัวเดือนละ 2 ครั้ง พร้อมกลับค่าอะไรต่อมิอะไร บลาๆๆ เราก็ไม่ว่าไร เพราะมันคือหน้าที่ ทั้งที่ลูกแค่ขวบเศษๆ เพื่ออนาคตยังงัยเราก็ต้องทน คิดถึงก็โทรหากันได้  เขาไปช่วง พ.ค. ปี 57 เราก็ทำงานของเราไป ช่วงเช้าเอาลูกไปฝากบ้านปู่ ตอนเย็นเลิกงานเราไปรับ เป็นอยู่แบบนี้ เขาก็จะชอบโทรมาหาว่าเหงา เราทำไรอยู่ ลูกเป็นไงบ้าง โทรทุกวัน บางครั้งเราติดสอนไม่ว่างรับ และบอกจะโทรกลับ แต่เราก็ลืมเพราะเหนื่อยจากงาน แถมยังหารายได้ด้วยการสอนพิเศษหลังเลิกงาน  กลับบ้านป้อนข้าวป้อนนม พาลูกนอนจะหลับก็ดึก เขาก็มีงอนๆนะคะว่าเราไม่ค่อยโทรหา  ไม่ค่อยรับสาย ไม่คิดถึงเขาเหรอ  เราก็พูดในเชิงว่าคิดถึงสิ แต่เธอก็รู้ว่าเราเลี้ยงลูกคนเดียว ก็ต้องยุ่งบ้าง ไม่ต้องห่วง ลูกสบายดี ไม่อยากให้เขากังวลอะไรเรากะลูก ไม่ระแวงเขา  เขาจะได้ตั้งใจทำงาน รีบทำรีบเสร็จแล้วจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา และอีกอย่างนะคะ เวลาเขาบินกลับมาเยี่ยมเราที่นี่  ปกติผู้ชายคงอยากเรื่องอย่างว่า ดึกๆพอเข้าห้องนอน ลูกกะเรานอนบนเตียง เขานอนฟูกข้างล่าง เราก็กล่อมลูกนอน เพราะเป็นเด็กหลับยากมาก  บางทีเราก็เผลอหลับตามทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ตื่นมาอีกทีหันมาดูสามี อ้าวหลับละ(ทั้งที่จริงเขาแกล้งหลับ และอยากให้เราสะกิด อันนี้เขาบอกเองก่อนจะหย่ากัน แต่เราไม่สนใจค่ะ คิดว่าเค้าคงเหนื่อย มาบ้านก็อยากให้เค้าได้พักผ่อนเต็มที่ ) แล้วเราก็ค่อยๆย่างก้าวไปอาบน้ำ ปิดบ้านปิดช่อง จัดเก็บข้าวของ กว่าจะได้นอนก็ดึก เป็นแบบนี้ตลอดมา มีอยู่วันนึงก่อนเขาจะกลับไปทำงาน  ระหว่างรอไปสนามบิน 3 ชม. เขาเอ่ยปากเลยนะคะว่า ทำไมเราไม่ยอมให้เขา มีอะไรด้วย ทำไมเราไม่สนใจเขา เขาอยากมี ทำไมเราไม่ทำหน้าที่เมียตรงนี้บ้าง เราก็บอกเราเหนื่อย และเห็นเธอหลับ 555 พูดจบก็จัดเลยค่ะ (ขำตัวเอง) เหมือนอดอยากปากแห้ง ทุกอย่างเหมือนจะกำลังดีใช่มั้ยคะ หลังๆมาเขาอยากได้ ไอโฟน นางก็ผ่อนเอง ไม่ได้รบกวนเรา มีเงินพิเศษหยิบยื่นให้เราบ้างนิดหน่อยไม่มาก แต่เรายังหมุนเงินทางนี้เหมือนเดิม ค่าบัตรเครดติที่งอกเงย ไหนจะค่าบ้านที่เราสร้างให้พ่อเราอีก เรารับคนเดียวค่ะ เพราะพ่อเราก็ชาวนาธรรมดาคนนึง ในเมื่อดิฉันให้สามีได้ ทำไมจะตอบแทนพ่อไม่ได้  การเป็นหนี้คือแรงบันดาลใจให้เราอยู่ต่อ......
  1 เดือนถัดมาความโชคร้ายก็มาเยือนครอบครัวเรา   เราใช้เวลาช่วงกลางวันอยู่กับลูกมากขึ้น สังเกตเห็นความผิดปกติตาดำข้างขวาของลูก ซึ่งคิดว่าไม่เคยเห็นคนใกล้ตัวมีอาการแบบนี้มาก่อน เราตกใจมากรีบพาไปหาจักษุแพทย์ทันที หมอนัดเช็คที่ ร.พ.เลย สงสัยว่าจะเป็นโรค Coats' disease  ก้ำกึ่งกะมะเร็งจอประสาทตา มักเป็นกะเด็กเล็ก ถึง 6 ขวบ เราเคยตั้งถามในกระทู้เมื่อปี 57 นะคะ เรานี่เข่าอ่อนเลยทำไรถูก อยากเป็นแทนลูก กินไม่ได้นอนไม่หลับ ช่วงรอผลตรวจ หมอไสย หมอศาสตร์ ไปหมด อยากให้ลูกหาย  คุณหมอก็เมตตา รีบทำการตรวจเช็คอย่างละเอียดเพราะหมอบอกว่าน้องเป็นเยอะแล้ว  MRI ครั้งละ18,000  ไม่รู้กี่รอบ ยอมจ่าย  เวลาอุ้มลูกให้ดมยาสลบ แล้วหมอสอดท่ออะไรต่อมิอะไรระโยงระยางเต็มไปหมด สงสารจับใจ ร้องไห้หน้าห้องรอฟังผล  แต่เดชะบุญผลตรวจ ลูกเราไม่ได้เป็นมะเร็ง แต่เป็นอีกโรคนึง ต้องรีบผ่าตัดโดยด่วน และมีผลต่อการมองเห็นของเด็กในอนาคต เราก็พอสังเกตได้ว่าตาขวาลูกเริ่มเอียง หมอก็ให้แอดมิททันที ค่าใช้จ่ายยังไม่คิด เราลางานมาเฝ้าลูก 1 อาทิตย์ ยอมจองห้องพิเศษเพื่อพักฟื้นเพราะเห็นว่าลูกยังเด็กแค่ 1 ขวบ 4 เดือน เกิดเจ็บแผลผ่าตัดร้องไห้โยเย คนไข้คนอื่นๆจะรำคาญเอา และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ออกจากห้องผ่าตัด ฟื้นขึ้นมาร้องไห้ เพราะเจ็บ เกร็งสั่นไปทั้งตัว นึกภาพเหมือนกบหรือเขียดเวลาโดนทุบ ต้องให้ยาแก้ปวดทุกๆ 4 ชม.ลูกนอนทาบอกเราทั้งวันทั้งคืน ไม่เอาใครเลย เราลุกไปไหนไม่ได้ กินนอนบนเตียงกะลูก ผ่าตัดได้ 3 วันพ่อเขาก็รีบลงมาเยี่ยม วันที่หมอเปิดตาล้างแผล พ่อเขานี่เข่าอ่อนเลย เมื่อเห็นตาลูกปิด บวมปูดออกมา เขาไม่กล้าดู สงสารค่ะพูดแล้วน้ำตาก็จะไหล จำได้ติดตา คุณหมอก็บอกว่าให้เราทำใจเรื่องการมองเห็นของลูกนะ ผลการรักษาอาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็น เพราะน้องเป็นมากแล้ว นี่ขนาดเราเจอเร็วแล้วรีบรักษาแล้วนะคะ ใครมีลูกเล็กต้องคอยสังเกตดีๆ และหมอก็นัดผ่ารอบ 2 ช่วงเดือน ก.ย. หลังกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ก็ต้องล้างตา หยอดตา เช้า - เย็น ปิดตาตลอดช่วง 1 เดือน  โดยเราให้ปู่กับย่า มาดูแลลูกเราที่บ้าน ช่วงเราไปทำงาน เราเลิกงานท่านก็กลับบ้านท่านไป การใช้ชีวิตของเราช่วงนี้ก็ยิ่งแย่ ไหนจะค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิ่ว แต่เราก็สู้ค่ะ ยอมเพื่อลูก สามีเขาก็ยังอยู่ที่กทม. เทียวโทรถามอาการเรื่อยๆ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ  หรืออาจจะเป็นเพราะเราไม่ค่อยได้ใส่ใจ ไม่ระแวง ไม่จุกจิก ไว้เนื้อเชื่อใจเขาตลอด เวลาส่วนใหญ่ของเราคือลูกและงาน ย้ำว่าไม่ค่อยจะได้ถามเลยว่า กินข้าวหรือยัง งานเป็นไรบ้าง เพราะเวลาถามเค้าก็จะพร่ำบ่น ระบายยาวเหยียดเกี่ยวกับศัพท์นายช่างต่างๆนานา เราก็ไม่อยากฟัง หลังๆเราก็รู้ว่าเขาอยากระบาย เวลามีปัญหากะลูกน้อง หรือมีเรื่องไม่สบายใจอะไรทำนองนี้ (ช่วงนี้ได้เป็นหัวหน้าแล้ว) สิ้นเดือนเขาก็โอนเงินทุกเดือน 8,000 เท่าเดิมซึ่งหารู้ไม่ว่าเขามีเงินเก็บอยู่ก้อนนึงละตอนนี้ โดยที่เราไม่รู้ พอถึง ก.ย.วันที่ลูกจะต้องผ่าตัดอีกรอบ จำได้ว่าเค้าลางานเพื่อเฝ้าลูก 3 วัน สลับกับเรา แต่ครั้งนี้เราผิดสังเกต ดูเขาห่างเหินเรากะลูก ไม่ค่อยงอแงง้องแง้งกะเราเหมือนก่อน ช่วงกลางวันเขาหายไปทั้งวัน กลับมา ร.พ. อีกทีเย็นๆ บอกเราว่าไปนวดแผนไทย เราก็ไม่คิดไร แต่สัญญาณความห่างเหินแรงมาก ดูเขาร่าเริงแปลกๆแต่ไม่ใช่เพราะเรากะลูก  จนลูกออกจาก ร.พ. แล้วเขาก็กลับไปทำงานเหมือนเดิม กำหนดเสร็จงานเค้าคือ ต.ค. 57 ...ตัวแสบหิวข้าว เดี๋ยวมาต่อค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
ผู้ชายน่ากลัวมาก ดีที่พ่อเค้ารักหลานกับจขกท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่