สวัสดีค่ะ เราเป็นลูกสาวคนสุดท้องมีพี่ชายหนึ่งคนค่ะ พี่ชายเราออกไปอยู่ที่อื่นต่างบ้าน
ตั้งแต่เขาอยู่มหาวิทยาลัย ส่วนเราสอบติดมหาลัยใกล้บ้าน เลยไม่เคยออกไปอยู่ที่ไหนไกลบ้านเลยค่ะ
ด้วยความที่เราเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวในบ้าน เราเชื่อฟังพ่อแม่เรามาตลอด ไม่เคยเถียง เขาบอก
ให้อะไรก็ทำตามค่ะเชื่อฟังทุกอย่าง ตอนเรียนอยู่ปัญหาก็ยังไม่เกอดขึ้นค่ะ เพราะตอนนั้น
เราก็เรียนหนังสืออยู่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น จนปัญหามาเกิดตอนที่เราเรียนจบแล้ว
คือที่บ้านเราเขาหวังให้เราไปเรียนต่อ ตปท เหมือนกับพี่ชายของเรา เราก็ไม่ขัดที่บ้านค่ะ โอเคไปเรียน
เป็นโอกาสของเรา แต่ตอนที่เราเรียนจบใหม่ๆเรายังไปเรียน ตปท เลยไม่ได้ค่ะ เพราะที่บ้านเรายัง
ต้องส่งเงินให้พี่เราเรียนอยู่ พี่เราก็ยังไม่พร้อมที่จะรับเราไปดูแลเพิ่มอีกคน แค่ตัวเขาเองก็เหนื่อยมากพอแล้ว
เราเลยตัดสินใจหางานทำค่ะ ถือว่าเก็บเงินหาประสบการณ์ งานแรกที่เราทำคือทำงานร้านอาหารเล็กๆแบบคาเฟ่
ที่เปิดห้องพักให้ลูกค้าต่างชาติมาพักค่ะ ดีตรงที่เราได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน ฝึกพูดทุกวัน
เรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติ เพราะที่นี้ลูกค้าหลากหลายเชื่อชาติค่ะ สนุกดีค่ะ แต่แน่นอนค่ะว่าที่บ้านไม่สนุกกับเรา
เพราะไม่ใช่งานที่เติบโตได้ และไม่มั่นคง แต่สิ่งที่ที่บ้านยอมให้ทำต่อเพราะเราได้เจอคนต่างชาติทุกวันค่ะ
เขาเลยยอม ระหว่างที่เราทำงานที่นี้เราก็รับงานฟรีแลนซ์รับออกแบบงานทั่วไปค่ะ ก็ได้มาเพิ่มจากรายได้หลัก
พอมีเงินเก็บเข้าบัญชีทุกเดือนค่ะ ระหว่างที่เราทำงาน เราก็ไปเรียนภาษาเพิ่มเติมด้วยค่ะ
ถ้าถามว่าที่ไปเรียนภาษานี้เพราะอยากเรียนหรือป่าว ใช่ค่ะอยากเรียนแต่เป็นแค่ช่วงแรกๆเท่านั้นนะคะ
ทำไมถึงเป็นแค่ช่วงแแรกๆหน่ะหรอคะ ตอนแรกเราไปเรียนเพราะเราอยากเรียนจริงๆค่ะ เราสมัตรใจไปเรียนเอง
แต่พอหลังๆมา ที่บ้านเริ่มให้ไปเรียนค่ะ ตอนแรกเราก็โอเค เรียน จะได้เก่งๆ แต่เปล่าเลยค่ะ หลังๆมานี้
เรารู้สึกว่ามันกลายเป็นความคาดหวังของเขาไปแล้ว มันไม่ใช่ความสนุกที่สุขอีกต่อไปค่ะ
ตอนนี้คือที่บ้านให้ครูมาสอนเราที่บ้านเลยค่ะ แล้วบอกให้เราหยุดงานเพิ่ม อยากให้เรากลับบ้านมาอ่านหนังสือ
ปัญหามันเริ่มเกิดจากที่เราไม่พูดค่ะ เราชินกับมาไม่พูด ไม่แสดงความต้องการ เราเคยพูดไปครั้งหนึ่งว่า
เราไม่แฮปปี้นะกับแบบนี้ ที่บ้านก็ฟังค่ะ ละปัญหาก็เกิดเหมือนเดิม คำพูดที่ยังฝังใจเราคือ
"ลูกเป็นคนที่เห็นแก่ตัวนะ พ่อแม่เก็บเงินให้ไปเรียน แต่ทำไมไม่เห็นสนใจ ตั้งใจเลย"
เราพูดไม่ออกเลยค่ะ เรารู้สึกผิด เราเครียดมากเลยค่ะตอนนั้น นอนไม่หลับ ไม่อยากพูดกับใคร
เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ค่อยคุยกับที่บ้าน ข้าวปลาก็กินนิดเดียว ร้องไห้ทุกวัน อยู่เฉยๆก็ร้องไห้
จนเราทนไม่ไหวเราเลยตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาล เราแอบที่บ้านไปค่ะไม่ได้บอกให้เขารู้ วันนั้นที่ไป รพ.
ระหว่างรอเจอหมอ เราบอกแม่ที่ร้านที่เราทำงานเขาจะเลี้ยงส่งน้องอีกคนที่จะออกจากงาน
แม่บอกว่าเราอ้างน้อง เพื่อที่จะออกไปเที่ยว (คือ เราเคยอ้างว่าเราไปกับเพื่อน แต่แม่จับได้ว่าเราโกหก
แต่ที่จริงเราไปนั้งทำงานที่บ้านแฟนค่ะ ที่บ้านเราไม่อยากให้เรามีแฟนเพราะกลัวว่าเราจะไม่ไปเรียนต่อ ตั้งแต่นั้นมา
แม่เราไม่ให้เราไปไหนอีกเลยค่ะ )
เราเล่าเรื่องปัญหาให้หมอฟัง หมอถามเราว่าเราเคยเถียงรุนแรงกับเขา(ที่บ้าน)มากเท่าไหน
เราตอบไปว่าเราไม่เคยเถียงเขา อาจจะมีตอนเด็กๆที่เถียง แต่ที่บ้านไม่ชอบให้เถียงที่เรายอม
ไม่เถียงเขา เชื่อฟังเขาทุกอย่างเพราะเราเชื่อว่า นั้นจะทำให้เขารักเรา คือตอนเด็กจนโต
เราอิจฉาพี่ชายเราค่ะ เพราะแม่จะเอาใจใส่พี่ชายเรามากกว่าเรา แต่เราก็เชื่อค่ะว่าพ่อแม่รักลูกเท่ากันทุกคน
แต่พ่อแม่แสดงออกมาไม่เหมือนกันกับลูกทุกคน ที่บ้านไม่เคยชมเราเลยค่ะว่า สิ่งที่เราทำมันดีนะ ดีละ
เราเคยเห็นแต่เขาชมพี่เราตลอด อวดเรื่องพี่เรากับเพื่อนของเขาบ้าง เราเลยคิดฝังใจว่าเราต้อง
ทำให้เขาพูดเรื่องเราแบบนี้กับคนอื่นให้ได้ เราเลยเชื่อมาตลอดว่าเราต้องเชื่อฟังเขานะ ห้ามเถียงเขานะ
ต้องทำตามที่เขาบอกนะ เขาจะได้รักเรา เราเลยเลือกที่จะไม่เถียงเขา เชื่อฟังเขาตลอด
คำพูดแรกที่ออกมาจากปากหมอคือ "ผมนับถือคุณมากเลยนะ ที่ไม่เถียงเขา ไม่ทำท่าทางที่รุนแรงหรือชักสีหน้า
เด็กสมัยนี้มักจะเป็นแบบนี้ ผมนับถือคุณจริงๆ" เรานั้งร้องไห้แบบน้ำตาไหลอาบหน้าแบบหยุดไม่ได้เลยค่ะ
หมอบอกว่าแนะนำให้เราเถียงเขาบ้าง เพราะตอนนี้เราตัดสินใจเองได้แล้ว แฟนเราเขาก็เป็นห่วงเราค่ะ
เขาบอกว่าเขาไม่ได้แนะนำให้เราก้าวร้าวกับที่บ้านนะ แต่เราต้องพูด เราต้องชัดเจนเลยว่า เราดูแลตัวเองได้แล้ว
เราคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาโดยการหางานใหม่ที่ได้เงินเยอะกว่า มั่นคงกว่า ที่บ้านก็ยังเป็นห่วงอยู่เหมือนเดิมค่ะ
กลัวเราไม่มีเวลาไปเรียน กลัวเราไม่อ่านหนังสือ แต่พอทุกอย่างเรามองว่ามันไม่แฮปปี้แล้ว มันเป็นปัญหา
เราทิ้งมันเลยค่ะ จากที่เคยตั้งใจอ่านหนังสือ เราก็อ่านแต่ไม่ได้ตั้งใจอ่าน เรียนเราก็เรียนให้มันจบๆไป
ไม่มีแรงใจค่ะ เรามองไปทางไหนก็มีแต่ปัญหา ตันไปทุกทาง
เหตุการณ์ล่าสุดเราบอกว่าเราจะออกไปทำธุระ แม่ก็บอกให้รีบๆทำละกลับมา
เราออกไปทำธุระจริงค่ะ ออกไประมาณ 3 ชั่วโมง แม่เราโทรตามให้เรากลับบ้าน ซึ่งเรายังทำธุระไม่เสร็จ
แล้วตอนนั้นเราอยู่กับเพื่อน เราอายเพื่อนมากเลยค่ะ ที่แม่เราโทรตามเพราะครูที่จะมาสอนที่บ้านเขาฝากการบ้านไว้
ให้เราทำซึ่งมันไม่เยอะค่ะ ตอบคำถามทั่วไปสิบข้อ แม่ก็โทรมาว่า ทำไมไม่กลับมาทำการบ้าน ก็กลับมาทำที่บ้านสิ
คือ อายเพื่อนค่ะ ที่อายเพราะเรารู้สึกว่าการที่เขาทำแบบนั้นคือหมายความว่า เราล้มเหลวในสายตาเขามาก
เราไม่สามารถที่จะจัดการชีวิตตัวเองได้ กับคำถามสิบข้อที่เราแค่เขียนคำตอบมันลงไป
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดคือที่จริงที่บ้านเราวางแผนจะไปงานเลี้ยง ตจว ค่ะ แต่พอเราได้งานใหม่เราไม่สามารถ
ที่จะลางานได้ เราบอกที่บ้านเราไปไม่ได้เพราะเราไม่อยากลางาน แม่เราก็เลยตัดสินใจไม่ไปเลยค่ะ
เขากลัวว่าเราจะไปหาแฟนเรา เราก็บอกว่าเราอยู่บ้าน เราต้องทำงาน เขาก็ไม่ไปกัน
คือแบบนี้เหมือนเขามาผูกติดอยู่กับเรา เราไม่อยากให้เขามาคิดว่าเขาต้องมาเก็บเงินทุกอย่างให้เรา
เราก็อยากให้เขามีความสุข ไปเที่ยว พอเป็นแบบนี้ เราก็ไปไหนไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเราทำเราก็จะ
กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบที่เขาบอกเราไว้ ต่างคนก็ต่างหาความสุขให้ตัวเองไม่ได้ ตอนนี้เราเหมือน
หนูที่ติดอยู่กับกาวดักหนู ขยับไปไหนไม่ได้ คือพ่อแม่เราเขาเป็นครูมาก่อนค่ะ ตอนนี้เกษีณอายุแล้ว
เราเลยอยากให้เขาสองคนออกไปทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกจากที่ทำอยู่ที่บ้าน พ่อเราเขายังพอมีสังคม
เพื่อนของเขาอยู่ค่ะ ส่วนแม่เราอยู่บ้านอย่างเดียว ไม่ค่อยออกไปไหน เราเคยปรึกษาถามเพื่อนสนิท
เราว่าที่แม่โฟกัสเรามากขนาดนี้ เพราะเขาว่างหรือป่าว เราเลยให้เขาอยากไปพบเพื่อนบ้าง อย่างที่
ไปงานเลี้ยงคือแค่เราไม่ไปเพราะเราติดงาน เขาก็ไม่ไปเลยค่ะ เราอึดอัดมาก เราจำได้ว่าเพื่อนสนิทแม่
คนหนึ่งเขาเคยพูดเตือนแม่เราว่า อย่าไปติดลูกมาก "ลูกมันไม่ได้ติดแม่หรอก แม่หน่ะติดลูก"
ที่ทำงานใหม่ ไกลจากที่บ้าน และเราอยากออกไปอยู่คนเดียว ซึ่งแน่นอนค่ะ ที่บ้านต้องไม่ยอมแน่ๆ
แต่เราอยากออกไปอยู่ข้างนอกจริงๆ เราอยากมีเวลากับแฟนเรา เราอยากมีเวลาอยู่กับตัวเองโดยที่ไม่
ต้องกังวลว่าเราต้องรีบกลับบ้านให้ตรงเวลาหลังลิกงาน เรารู้ค่ะว่าเขาห่วงเรา รักเรา แต่สำหรับเราอะไร
ที่มากเกินไป เราเริ่มอึดอัด บางทีเราอิจฉาเพื่อนเรานะคะ ที่เขาออกไปเที่ยว ตจว กับแฟนเขาได้
หรือออกไปแฮงเอ้าท์กับเพื่อนๆบ้างบางครั้ง
การที่เราอยากออกไปอยู่ข้างนอกครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่กลับบ้านเลยนะคะ
เราก็จะกลับในช่วงวันหยุดที่เราไม่ได้ไปทำงาน หรือวันที่เราไม่ได้ติดอะไร หรือเลิกงานไว
เราอยากให้เขารู้ว่าเราดูแลตัวเองได้ จัดการเองได้ รับผิดชอบตัวเองได้แล้วจริงๆ
อาจจะเพราะว่าเราไม่เคยไปไหนไกลจากบ้าน ที่บ้านเคยชินกับงานที่เราเป็นแบบเดิม
เราอยากลองไปใช้ชีวิตเองด้วย แต่เราไม่รู้จะพูดกับที่บ้านยังไง ไม่ให้มันเกิดปัญหา
(ซึ่งเราคิดว่ามันอาจต้องมีแน่ๆ)
อยากรู้วิธีการคุย บอกที่บ้านเรื่องออกไปอยู่เองนอกบ้าน ไม่ให้ดูก้าวร้าวทีค่ะ
ปล.ทุกวันนี้เรารู้สึกกับตัวเองมาก คอยโทษตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าเราทำให้ที่บ้านเสียใจ
เรามันแย่ เราโทษตัวเองทุกอย่างเลยค่ะ ขนาดเรื่องที่จะออกไปอยู่ข้างนอก เราก็กลัว
เขาเสียใจ แต่เราคิดว่าถ้าเราไม่เริ่มอะไรเลย ทุกอย่างก็จะเหมือนเดิม
เมื่อความสุขของที่บ้าน กำลังทำร้ายเรา
ตั้งแต่เขาอยู่มหาวิทยาลัย ส่วนเราสอบติดมหาลัยใกล้บ้าน เลยไม่เคยออกไปอยู่ที่ไหนไกลบ้านเลยค่ะ
ด้วยความที่เราเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวในบ้าน เราเชื่อฟังพ่อแม่เรามาตลอด ไม่เคยเถียง เขาบอก
ให้อะไรก็ทำตามค่ะเชื่อฟังทุกอย่าง ตอนเรียนอยู่ปัญหาก็ยังไม่เกอดขึ้นค่ะ เพราะตอนนั้น
เราก็เรียนหนังสืออยู่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น จนปัญหามาเกิดตอนที่เราเรียนจบแล้ว
คือที่บ้านเราเขาหวังให้เราไปเรียนต่อ ตปท เหมือนกับพี่ชายของเรา เราก็ไม่ขัดที่บ้านค่ะ โอเคไปเรียน
เป็นโอกาสของเรา แต่ตอนที่เราเรียนจบใหม่ๆเรายังไปเรียน ตปท เลยไม่ได้ค่ะ เพราะที่บ้านเรายัง
ต้องส่งเงินให้พี่เราเรียนอยู่ พี่เราก็ยังไม่พร้อมที่จะรับเราไปดูแลเพิ่มอีกคน แค่ตัวเขาเองก็เหนื่อยมากพอแล้ว
เราเลยตัดสินใจหางานทำค่ะ ถือว่าเก็บเงินหาประสบการณ์ งานแรกที่เราทำคือทำงานร้านอาหารเล็กๆแบบคาเฟ่
ที่เปิดห้องพักให้ลูกค้าต่างชาติมาพักค่ะ ดีตรงที่เราได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน ฝึกพูดทุกวัน
เรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติ เพราะที่นี้ลูกค้าหลากหลายเชื่อชาติค่ะ สนุกดีค่ะ แต่แน่นอนค่ะว่าที่บ้านไม่สนุกกับเรา
เพราะไม่ใช่งานที่เติบโตได้ และไม่มั่นคง แต่สิ่งที่ที่บ้านยอมให้ทำต่อเพราะเราได้เจอคนต่างชาติทุกวันค่ะ
เขาเลยยอม ระหว่างที่เราทำงานที่นี้เราก็รับงานฟรีแลนซ์รับออกแบบงานทั่วไปค่ะ ก็ได้มาเพิ่มจากรายได้หลัก
พอมีเงินเก็บเข้าบัญชีทุกเดือนค่ะ ระหว่างที่เราทำงาน เราก็ไปเรียนภาษาเพิ่มเติมด้วยค่ะ
ถ้าถามว่าที่ไปเรียนภาษานี้เพราะอยากเรียนหรือป่าว ใช่ค่ะอยากเรียนแต่เป็นแค่ช่วงแรกๆเท่านั้นนะคะ
ทำไมถึงเป็นแค่ช่วงแแรกๆหน่ะหรอคะ ตอนแรกเราไปเรียนเพราะเราอยากเรียนจริงๆค่ะ เราสมัตรใจไปเรียนเอง
แต่พอหลังๆมา ที่บ้านเริ่มให้ไปเรียนค่ะ ตอนแรกเราก็โอเค เรียน จะได้เก่งๆ แต่เปล่าเลยค่ะ หลังๆมานี้
เรารู้สึกว่ามันกลายเป็นความคาดหวังของเขาไปแล้ว มันไม่ใช่ความสนุกที่สุขอีกต่อไปค่ะ
ตอนนี้คือที่บ้านให้ครูมาสอนเราที่บ้านเลยค่ะ แล้วบอกให้เราหยุดงานเพิ่ม อยากให้เรากลับบ้านมาอ่านหนังสือ
ปัญหามันเริ่มเกิดจากที่เราไม่พูดค่ะ เราชินกับมาไม่พูด ไม่แสดงความต้องการ เราเคยพูดไปครั้งหนึ่งว่า
เราไม่แฮปปี้นะกับแบบนี้ ที่บ้านก็ฟังค่ะ ละปัญหาก็เกิดเหมือนเดิม คำพูดที่ยังฝังใจเราคือ
"ลูกเป็นคนที่เห็นแก่ตัวนะ พ่อแม่เก็บเงินให้ไปเรียน แต่ทำไมไม่เห็นสนใจ ตั้งใจเลย"
เราพูดไม่ออกเลยค่ะ เรารู้สึกผิด เราเครียดมากเลยค่ะตอนนั้น นอนไม่หลับ ไม่อยากพูดกับใคร
เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ค่อยคุยกับที่บ้าน ข้าวปลาก็กินนิดเดียว ร้องไห้ทุกวัน อยู่เฉยๆก็ร้องไห้
จนเราทนไม่ไหวเราเลยตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาล เราแอบที่บ้านไปค่ะไม่ได้บอกให้เขารู้ วันนั้นที่ไป รพ.
ระหว่างรอเจอหมอ เราบอกแม่ที่ร้านที่เราทำงานเขาจะเลี้ยงส่งน้องอีกคนที่จะออกจากงาน
แม่บอกว่าเราอ้างน้อง เพื่อที่จะออกไปเที่ยว (คือ เราเคยอ้างว่าเราไปกับเพื่อน แต่แม่จับได้ว่าเราโกหก
แต่ที่จริงเราไปนั้งทำงานที่บ้านแฟนค่ะ ที่บ้านเราไม่อยากให้เรามีแฟนเพราะกลัวว่าเราจะไม่ไปเรียนต่อ ตั้งแต่นั้นมา
แม่เราไม่ให้เราไปไหนอีกเลยค่ะ )
เราเล่าเรื่องปัญหาให้หมอฟัง หมอถามเราว่าเราเคยเถียงรุนแรงกับเขา(ที่บ้าน)มากเท่าไหน
เราตอบไปว่าเราไม่เคยเถียงเขา อาจจะมีตอนเด็กๆที่เถียง แต่ที่บ้านไม่ชอบให้เถียงที่เรายอม
ไม่เถียงเขา เชื่อฟังเขาทุกอย่างเพราะเราเชื่อว่า นั้นจะทำให้เขารักเรา คือตอนเด็กจนโต
เราอิจฉาพี่ชายเราค่ะ เพราะแม่จะเอาใจใส่พี่ชายเรามากกว่าเรา แต่เราก็เชื่อค่ะว่าพ่อแม่รักลูกเท่ากันทุกคน
แต่พ่อแม่แสดงออกมาไม่เหมือนกันกับลูกทุกคน ที่บ้านไม่เคยชมเราเลยค่ะว่า สิ่งที่เราทำมันดีนะ ดีละ
เราเคยเห็นแต่เขาชมพี่เราตลอด อวดเรื่องพี่เรากับเพื่อนของเขาบ้าง เราเลยคิดฝังใจว่าเราต้อง
ทำให้เขาพูดเรื่องเราแบบนี้กับคนอื่นให้ได้ เราเลยเชื่อมาตลอดว่าเราต้องเชื่อฟังเขานะ ห้ามเถียงเขานะ
ต้องทำตามที่เขาบอกนะ เขาจะได้รักเรา เราเลยเลือกที่จะไม่เถียงเขา เชื่อฟังเขาตลอด
คำพูดแรกที่ออกมาจากปากหมอคือ "ผมนับถือคุณมากเลยนะ ที่ไม่เถียงเขา ไม่ทำท่าทางที่รุนแรงหรือชักสีหน้า
เด็กสมัยนี้มักจะเป็นแบบนี้ ผมนับถือคุณจริงๆ" เรานั้งร้องไห้แบบน้ำตาไหลอาบหน้าแบบหยุดไม่ได้เลยค่ะ
หมอบอกว่าแนะนำให้เราเถียงเขาบ้าง เพราะตอนนี้เราตัดสินใจเองได้แล้ว แฟนเราเขาก็เป็นห่วงเราค่ะ
เขาบอกว่าเขาไม่ได้แนะนำให้เราก้าวร้าวกับที่บ้านนะ แต่เราต้องพูด เราต้องชัดเจนเลยว่า เราดูแลตัวเองได้แล้ว
เราคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาโดยการหางานใหม่ที่ได้เงินเยอะกว่า มั่นคงกว่า ที่บ้านก็ยังเป็นห่วงอยู่เหมือนเดิมค่ะ
กลัวเราไม่มีเวลาไปเรียน กลัวเราไม่อ่านหนังสือ แต่พอทุกอย่างเรามองว่ามันไม่แฮปปี้แล้ว มันเป็นปัญหา
เราทิ้งมันเลยค่ะ จากที่เคยตั้งใจอ่านหนังสือ เราก็อ่านแต่ไม่ได้ตั้งใจอ่าน เรียนเราก็เรียนให้มันจบๆไป
ไม่มีแรงใจค่ะ เรามองไปทางไหนก็มีแต่ปัญหา ตันไปทุกทาง
เหตุการณ์ล่าสุดเราบอกว่าเราจะออกไปทำธุระ แม่ก็บอกให้รีบๆทำละกลับมา
เราออกไปทำธุระจริงค่ะ ออกไประมาณ 3 ชั่วโมง แม่เราโทรตามให้เรากลับบ้าน ซึ่งเรายังทำธุระไม่เสร็จ
แล้วตอนนั้นเราอยู่กับเพื่อน เราอายเพื่อนมากเลยค่ะ ที่แม่เราโทรตามเพราะครูที่จะมาสอนที่บ้านเขาฝากการบ้านไว้
ให้เราทำซึ่งมันไม่เยอะค่ะ ตอบคำถามทั่วไปสิบข้อ แม่ก็โทรมาว่า ทำไมไม่กลับมาทำการบ้าน ก็กลับมาทำที่บ้านสิ
คือ อายเพื่อนค่ะ ที่อายเพราะเรารู้สึกว่าการที่เขาทำแบบนั้นคือหมายความว่า เราล้มเหลวในสายตาเขามาก
เราไม่สามารถที่จะจัดการชีวิตตัวเองได้ กับคำถามสิบข้อที่เราแค่เขียนคำตอบมันลงไป
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดคือที่จริงที่บ้านเราวางแผนจะไปงานเลี้ยง ตจว ค่ะ แต่พอเราได้งานใหม่เราไม่สามารถ
ที่จะลางานได้ เราบอกที่บ้านเราไปไม่ได้เพราะเราไม่อยากลางาน แม่เราก็เลยตัดสินใจไม่ไปเลยค่ะ
เขากลัวว่าเราจะไปหาแฟนเรา เราก็บอกว่าเราอยู่บ้าน เราต้องทำงาน เขาก็ไม่ไปกัน
คือแบบนี้เหมือนเขามาผูกติดอยู่กับเรา เราไม่อยากให้เขามาคิดว่าเขาต้องมาเก็บเงินทุกอย่างให้เรา
เราก็อยากให้เขามีความสุข ไปเที่ยว พอเป็นแบบนี้ เราก็ไปไหนไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเราทำเราก็จะ
กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบที่เขาบอกเราไว้ ต่างคนก็ต่างหาความสุขให้ตัวเองไม่ได้ ตอนนี้เราเหมือน
หนูที่ติดอยู่กับกาวดักหนู ขยับไปไหนไม่ได้ คือพ่อแม่เราเขาเป็นครูมาก่อนค่ะ ตอนนี้เกษีณอายุแล้ว
เราเลยอยากให้เขาสองคนออกไปทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกจากที่ทำอยู่ที่บ้าน พ่อเราเขายังพอมีสังคม
เพื่อนของเขาอยู่ค่ะ ส่วนแม่เราอยู่บ้านอย่างเดียว ไม่ค่อยออกไปไหน เราเคยปรึกษาถามเพื่อนสนิท
เราว่าที่แม่โฟกัสเรามากขนาดนี้ เพราะเขาว่างหรือป่าว เราเลยให้เขาอยากไปพบเพื่อนบ้าง อย่างที่
ไปงานเลี้ยงคือแค่เราไม่ไปเพราะเราติดงาน เขาก็ไม่ไปเลยค่ะ เราอึดอัดมาก เราจำได้ว่าเพื่อนสนิทแม่
คนหนึ่งเขาเคยพูดเตือนแม่เราว่า อย่าไปติดลูกมาก "ลูกมันไม่ได้ติดแม่หรอก แม่หน่ะติดลูก"
ที่ทำงานใหม่ ไกลจากที่บ้าน และเราอยากออกไปอยู่คนเดียว ซึ่งแน่นอนค่ะ ที่บ้านต้องไม่ยอมแน่ๆ
แต่เราอยากออกไปอยู่ข้างนอกจริงๆ เราอยากมีเวลากับแฟนเรา เราอยากมีเวลาอยู่กับตัวเองโดยที่ไม่
ต้องกังวลว่าเราต้องรีบกลับบ้านให้ตรงเวลาหลังลิกงาน เรารู้ค่ะว่าเขาห่วงเรา รักเรา แต่สำหรับเราอะไร
ที่มากเกินไป เราเริ่มอึดอัด บางทีเราอิจฉาเพื่อนเรานะคะ ที่เขาออกไปเที่ยว ตจว กับแฟนเขาได้
หรือออกไปแฮงเอ้าท์กับเพื่อนๆบ้างบางครั้ง
การที่เราอยากออกไปอยู่ข้างนอกครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่กลับบ้านเลยนะคะ
เราก็จะกลับในช่วงวันหยุดที่เราไม่ได้ไปทำงาน หรือวันที่เราไม่ได้ติดอะไร หรือเลิกงานไว
เราอยากให้เขารู้ว่าเราดูแลตัวเองได้ จัดการเองได้ รับผิดชอบตัวเองได้แล้วจริงๆ
อาจจะเพราะว่าเราไม่เคยไปไหนไกลจากบ้าน ที่บ้านเคยชินกับงานที่เราเป็นแบบเดิม
เราอยากลองไปใช้ชีวิตเองด้วย แต่เราไม่รู้จะพูดกับที่บ้านยังไง ไม่ให้มันเกิดปัญหา
(ซึ่งเราคิดว่ามันอาจต้องมีแน่ๆ)
อยากรู้วิธีการคุย บอกที่บ้านเรื่องออกไปอยู่เองนอกบ้าน ไม่ให้ดูก้าวร้าวทีค่ะ
ปล.ทุกวันนี้เรารู้สึกกับตัวเองมาก คอยโทษตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าเราทำให้ที่บ้านเสียใจ
เรามันแย่ เราโทษตัวเองทุกอย่างเลยค่ะ ขนาดเรื่องที่จะออกไปอยู่ข้างนอก เราก็กลัว
เขาเสียใจ แต่เราคิดว่าถ้าเราไม่เริ่มอะไรเลย ทุกอย่างก็จะเหมือนเดิม