ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนนะคะ สนใจทำหน้าอกเหมือนกันค่ะ แต่พอคุณแม่ทราบคุณแม่สั่งห้ามเด็ดขาด บอกว่าคนที่เช่าอพาร์ทเมนต์คุณแม่อยู่เป็นมะเร็งเพราะเสริมหน้าอก ไอ้เราก็ไม่เชื่อเลยลองเสิร์ชดู เจอบทความของหมอเกมส์
http://gamesgrandmasterclinic.blogspot.com/2016/01/blog-post_9.html
จริงด้วย เลยเล่าให้คุณแม่ฟังว่ามะเร็งตัวนี้เรียกว่า ALCL คุณแม่ก็บอกว่าใช่ๆ ตอนนี้นับวันรอเลย... หน้าอกแข็งเป็นหิน เลยเริ่มเสิร์ชเกี่ยวกับALCLต่อไปเรื่อยๆ แต่คราวนี้เน้นข้อมูลทั่วโลก เสิร์ชแต่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว ก็ไปเจองานวิจัยของFDAของอเมริกา+บทความจากองค์กรต่อต้านมะเร็งอิสระในอเมริกา

จากกลุ่มคนที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจากการเสริมหน้าอก 359ราย ซึ่งรวม9รายที่เสียชีวิต
มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับชนิดพื้นผิวของถุงที่ใส่เข้าไป 231ราย
203รายเป็นแบบผิวทรายคิดเป็น88%จาก231รายนี้
28รายเป็นแบบผิวเรียบคิดเป็น12%จาก231รายนี้
*รายงานนี้มีช่องโหว่ตรงที่ไม่ได้ถามว่ากลุ่มคนนี้เคยมีประวัติการทำหน้าอกกี่ครั้ง และแต่ละครั้งใช้พื้นผิวถุงแบบไหน
มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสารที่บรรจุลงถุงที่ใส่เข้าไป 312ราย
186รายเป็นซิลิโคนเจลคิดเป็น60%จาก312รายนี้
126รายเป็นน้ำเกลือคิดเป็น40%จาก312รายนี้
เรื่องสารที่บรรจุลงในถุง จขกท.ไม่แน่ใจว่าทางFDAรวมแบบcohesive silicone gel เข้ากับซิลิโคนเจลแบบเหลวหรือไม่
เพราะเท่าที่อ่านมาสารที่บรรจุลงในถุงมีทั้ง3แบบคือ น้ำเกลือ ซิลิโคนเจลแบบเหลว และcohesive silicone gelที่ตัดแล้วเหมือนเยลลี่ ไม่มีการไหลออกมา

cohesive silicone gelค่ะ
แต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะสิ่งที่มีนัยสำคัญต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่หน้าอกจะเกี่ยวข้องกับซิลิโคนผิวทรายมากกว่า แต่แบบผิวเรียบถึงจะมีโอกาสเกิดน้อยกว่า แต่โอกาส12%ก็ไม่ได้ถือว่าน้อยเลย ในมุมมองของจขกท.นะคะ
Credit:
https://www.fda.gov/MedicalDevices/ProductsandMedicalProcedures/ImplantsandProsthetics/BreastImplants/ucm239995.htm
ในการเก็บข้อมูลของออสเตรเลีย ซึ่งเก็บข้อมูลได้ดีกว่าอเมริกา พบว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองจากการเสริมหน้าอกมีโอกาสเป็นโดยประมาณ1ใน1,000 (ต่างกับตัวเลข1-3คนในล้าน หรือ1ใน50,000ตามที่ค้นเจอในเพจหรือFBหมอไทยโดยสิ้นเชิง)
Credit:
http://www.stopcancerfund.org/pz-other-cancers/breast-implants-and-cancer-of-the-immune-system/
สำหรับคนที่เสริมไปแล้ว

ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนการดูแลตัวเองหรือการติดตามผลแต่อย่างใด สิ่งที่แนะนำให้ปฏิบัติคือ
- ทำตามคำแนะนำของแพทย์เกี่ยวกับการดูแลหน้าอกที่เสริมมา หากพบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลง ให้รีบพบแพทย์ ทำเมมโมแกรมอย่างสม่ำเสมอและลองหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำเมมโมแกรมสำหรับผู้เสริมหน้าอกโดยเฉพาะดู
- ถ้าเสริมแบบซิลิโคนเจล ให้ตรวจMRIอย่างสม่ำเสมอ ถุงที่บรรจุซิลิโคนเจลซึ่งFDAรับรองระบุว่าต้องทำMRIครั้งแรกภายใน3ปีแรก และทุกๆ2ปีหลังจากนั้น
สุดท้ายนี้ จขกท.อยากให้กระทู้นี้เป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่อ่าน หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
เตือนภัยๆๆ เสริมหน้าอกเสี่ยงมะเร็งALCL โอกาสเกิด1ในพันแล้วในออสเตรเลีย มะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่หน้าอก ไม่ใช่มะเร็งเต้านมนะ
http://gamesgrandmasterclinic.blogspot.com/2016/01/blog-post_9.html
จริงด้วย เลยเล่าให้คุณแม่ฟังว่ามะเร็งตัวนี้เรียกว่า ALCL คุณแม่ก็บอกว่าใช่ๆ ตอนนี้นับวันรอเลย... หน้าอกแข็งเป็นหิน เลยเริ่มเสิร์ชเกี่ยวกับALCLต่อไปเรื่อยๆ แต่คราวนี้เน้นข้อมูลทั่วโลก เสิร์ชแต่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว ก็ไปเจองานวิจัยของFDAของอเมริกา+บทความจากองค์กรต่อต้านมะเร็งอิสระในอเมริกา
จากกลุ่มคนที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจากการเสริมหน้าอก 359ราย ซึ่งรวม9รายที่เสียชีวิต
มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับชนิดพื้นผิวของถุงที่ใส่เข้าไป 231ราย
203รายเป็นแบบผิวทรายคิดเป็น88%จาก231รายนี้
28รายเป็นแบบผิวเรียบคิดเป็น12%จาก231รายนี้
*รายงานนี้มีช่องโหว่ตรงที่ไม่ได้ถามว่ากลุ่มคนนี้เคยมีประวัติการทำหน้าอกกี่ครั้ง และแต่ละครั้งใช้พื้นผิวถุงแบบไหน
มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสารที่บรรจุลงถุงที่ใส่เข้าไป 312ราย
186รายเป็นซิลิโคนเจลคิดเป็น60%จาก312รายนี้
126รายเป็นน้ำเกลือคิดเป็น40%จาก312รายนี้
เรื่องสารที่บรรจุลงในถุง จขกท.ไม่แน่ใจว่าทางFDAรวมแบบcohesive silicone gel เข้ากับซิลิโคนเจลแบบเหลวหรือไม่
เพราะเท่าที่อ่านมาสารที่บรรจุลงในถุงมีทั้ง3แบบคือ น้ำเกลือ ซิลิโคนเจลแบบเหลว และcohesive silicone gelที่ตัดแล้วเหมือนเยลลี่ ไม่มีการไหลออกมา
cohesive silicone gelค่ะ
แต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะสิ่งที่มีนัยสำคัญต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่หน้าอกจะเกี่ยวข้องกับซิลิโคนผิวทรายมากกว่า แต่แบบผิวเรียบถึงจะมีโอกาสเกิดน้อยกว่า แต่โอกาส12%ก็ไม่ได้ถือว่าน้อยเลย ในมุมมองของจขกท.นะคะ
Credit:https://www.fda.gov/MedicalDevices/ProductsandMedicalProcedures/ImplantsandProsthetics/BreastImplants/ucm239995.htm
ในการเก็บข้อมูลของออสเตรเลีย ซึ่งเก็บข้อมูลได้ดีกว่าอเมริกา พบว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองจากการเสริมหน้าอกมีโอกาสเป็นโดยประมาณ1ใน1,000 (ต่างกับตัวเลข1-3คนในล้าน หรือ1ใน50,000ตามที่ค้นเจอในเพจหรือFBหมอไทยโดยสิ้นเชิง)
Credit:http://www.stopcancerfund.org/pz-other-cancers/breast-implants-and-cancer-of-the-immune-system/
สำหรับคนที่เสริมไปแล้ว
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนการดูแลตัวเองหรือการติดตามผลแต่อย่างใด สิ่งที่แนะนำให้ปฏิบัติคือ
- ทำตามคำแนะนำของแพทย์เกี่ยวกับการดูแลหน้าอกที่เสริมมา หากพบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลง ให้รีบพบแพทย์ ทำเมมโมแกรมอย่างสม่ำเสมอและลองหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำเมมโมแกรมสำหรับผู้เสริมหน้าอกโดยเฉพาะดู
- ถ้าเสริมแบบซิลิโคนเจล ให้ตรวจMRIอย่างสม่ำเสมอ ถุงที่บรรจุซิลิโคนเจลซึ่งFDAรับรองระบุว่าต้องทำMRIครั้งแรกภายใน3ปีแรก และทุกๆ2ปีหลังจากนั้น
สุดท้ายนี้ จขกท.อยากให้กระทู้นี้เป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่อ่าน หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ