สวัสดีครับ อยู่ๆ ก็ว่างไม่รู้จะทำอะไร เปิดเพลงฟัง คิดพล็อตนิยายไม่ออก ไม่รู้จะทำอะไรต่อ แต่คันไม้คันมืออยากเขียนหรือพิมพ์อะไรสักอย่าง ก็นึกไปถึงตอนที่ตัวเองทำงานพิเศษ หรือ ที่รู้จักในชื่องาน Part-time งานแรก เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์ให้น้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่ได้อ่าน เผื่อจะนำไปใช้ประโยชน์หรืออ่านเป็นความบันเทิงก็ได้
มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ ย้อนไป 3 ปีที่แล้ว (ปัจจุบันอยู่ปี 3 ครับ) ช่วงเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของรั้วโรงเรียน ซึ่งหลังจากได้ทีเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะเหลือเวลาที่ว่างเยอะมากจำได้ตอนนั้นประมาณ 4 เดือน เยอะมากๆ ผมเลยไม่อยากเสียเวลาว่างมานั่งนอนเล่นอยู่ทีเดิมๆ เพื่อรอมหาวิทยาลัยเปิด ไหนๆ ก็ว่างแล้ว ลองหาอะไรใหม่ๆ ทำดีกว่า ก็ตั้งใจจะหางานพิเศษทำ คิดได้ก็เตรียมความพร้อมในคืนนั้นทันที เท่าที่ค้นคว้ามาสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนพุ่งตรงไปสมัครงานก็คือ
1.สำเนาบัตรประชาชน
2.สำเนาใบรับรองการศึกษา
3.สำเนาทะเบียนบ้าน
เอกสารเหล่านี้จำเป็นมากๆ เพราะใช้สำหรับยืนยันตัวตนของเรา ถ่ายเอกสารเหล่านี้ไปเยอะๆ ก็ได้ ถ้ากรณีต้องสมัครหลายที่ อ้อ ที่สำคัญอย่าลืมเซ็นกำกับเอกสารสำเนาทุกฉบับด้วยนะดังนี้ >> สำเนาถูกต้อง -เซ็นชื่อ- ใช้สำหรับสมัครงานเท่านั้น
พอวันต่อมาที่จะต้องไปสมัครก็ให้แต่งตัวดูดีหน่อย เสื้อสุภาพ กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบ สร้างความประทับใจแรกให้กับทุกร้านที่ไปสมัคร อย่าแต่งตัวสบายๆ ไป เพราะเราไปขอเขาทำงาน เขาไม่ได้มาขอเรา น้องผู้ชายถ้าเริ่มมีหนวดเคราก็เล็มหรือโกนให้ดูเรียบร้อย ถ้าผมยาวก็เซ็ตผมหรือตัดผมให้เรียบร้อย น้องผู้หญิงถ้าผมยาวก็มัดผม หรือปล่อยก็ได้แต่อย่าให้กระเซิงนะหวีสักนิด แต่งหน้าให้ดูน่ารักๆ ก็โอเคแล้ว
การไปสมัครงานแต่ละร้านถ้าได้เจอเจ้าของกิจการร้านนั้นๆ ก็ควรไปสมัครกับเขาเลย เพื่อจะได้ขายความน่าสนใจของตัวตนเรา แต่ถ้าตามห้างก็อาจจะยากหน่อย ยิ่งถ้าเป็นช่วงปิดเทอมก็ยิ่งยาก เพราะช่วงปิดเทอมแน่นอนว่ามีอยู่แล้วคนที่อยากใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ อาจจะแซงหน้าเราได้งานไปก่อนแล้ว อาจจะทำได้แค่เขียนใบสมัครทิ้งไว้แล้วรอการพิจารณาจากทางร้าน บางร้านใช้เวลา 2 - 3 สัปดาห์ถึงจะติดต่อมา บางร้านก็ไม่ติดต่อมา นี่จึงเป็นสาเหตุให้เตรียมเอกสารสำเนาไปหลายๆ ชุด ถ้าไปตามห้างส่วนใหญ่ก็จะได้เจอพี่พนักงานก็ลองเดินเข้าไปถามดู "สวัสดีครับ ผมมาสมัครเป็นพนักงาน Part-time ครับ ผู้จัดการอยู่มั้ยครับพี่" อะไรก็ว่าไป ถ้าผู้จัดการอยู่ก็ขอไปสมัครกับผู้จัดการเลย เพื่อได้นำเสนอตัวเองให้เขาจดจำอยากได้เรามาทำงาน ที่สำคัญไม่ว่าจะไปสมัครกับใคร ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ต่อให้ตอนนั้นลูกค้าเต็มร้านและหันมาจ้องมองเราก็ไม่ต้องเขินอายนะ555 จะมาเก้อๆ งงๆ ไม่ได้ มันคือด่านแรกอ่ะ ให้มองในมุมมองว่าถ้าเราเป็นผู้จัดการร้านอาหาร แต่เห็นคนมาสมัครงานเก้อๆ งงๆ ทำอะไรไม่ถูก เราจะเชื่อใจได้มั้ยว่าคนที่มาสมัครนั้นจะบริการลูกค้าด้วยความมั่นใจ ต่อให้สอนกันได้ แต่ใครๆ ก็อยากได้คนที่เก่งอยู่แล้ว เหมือนน้ำที่เต็มแก้วแต่เป็นน้ำที่พร้อมเสิร์ฟ
ถ้ามีความสามารถพิเศษอะไรก็ขายตัวเองไปเลย เล่นกีตาร์ ร้องเพลง พูดภาษาที่สามได้ ช่วยได้จริงๆ บางร้านต้องการความสามารถพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้า พอสมัครอะไรเสร็จแล้วที่เหลือก็แล้วแต่ว่าต้องกลับมารอการพิจารณาหรือได้เลย ถ้าได้ทำเลยเขาก็จะถามว่าเราสามารถเริ่มงานเร็วที่สุดได้วันไหน แต่ถ้ารอพิจารณาและเขาติดต่อกลับมาก็จะถูกสัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์อีกที หากผู้ติดต่อกลับคือผู้จัดการ ส่วนใหญ่ก็สัมภาษณ์ว่า เรียนที่ไหน จบจากที่ไหน อายุกี่ปี บ้านอยู่ที่ไหน ทำเวลานี้ถึงเวลานี้ไหวมั้ย งานเป็นแบบนี้คิดว่าตนเองไหวมั้ย
แนะนำว่างานพวกนี้ลองสมัครตั้งไว้ก่อนเลย ก่อนที่จะปิดเทอม พอปิดเทอมปุ้บก็เริ่มทำเลย
เท่านี้ครับบ หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์แก่น้องๆ ที่กำลังเรียนและมีแผนจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์นะครับ หากมีข้อมูลผิดประการใดหรือพิมพ์ผิดต้องขออภัยด้วยนะค้าบบบ
จริงๆ อยากเล่าช่วงตอนที่ตัวผมเองในตอน ม.6 ทำงานพิเศษงานแรกด้วย แต่คิดว่ามันไม่ใช่ข้อมูลที่มีประโยชน์สักเท่าไร อีกอย่างงานแรกที่ผมเริ่มก็แจ็คพ็อตเจอสังคมไม่ดีเลย จึงไม่อยากเล่า กลัวน้องๆ ที่มาอ่านเพื่อหาข้อมูล จะท้อกัน 5555 แต่ถ้าอยากให้เล่าคอมเมนต์บอกได้นะครับ อิอิ
"เล่าสู่กันฟัง" ประสบการณ์ทำงาน Part-time
มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ ย้อนไป 3 ปีที่แล้ว (ปัจจุบันอยู่ปี 3 ครับ) ช่วงเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของรั้วโรงเรียน ซึ่งหลังจากได้ทีเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะเหลือเวลาที่ว่างเยอะมากจำได้ตอนนั้นประมาณ 4 เดือน เยอะมากๆ ผมเลยไม่อยากเสียเวลาว่างมานั่งนอนเล่นอยู่ทีเดิมๆ เพื่อรอมหาวิทยาลัยเปิด ไหนๆ ก็ว่างแล้ว ลองหาอะไรใหม่ๆ ทำดีกว่า ก็ตั้งใจจะหางานพิเศษทำ คิดได้ก็เตรียมความพร้อมในคืนนั้นทันที เท่าที่ค้นคว้ามาสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนพุ่งตรงไปสมัครงานก็คือ
1.สำเนาบัตรประชาชน
2.สำเนาใบรับรองการศึกษา
3.สำเนาทะเบียนบ้าน
เอกสารเหล่านี้จำเป็นมากๆ เพราะใช้สำหรับยืนยันตัวตนของเรา ถ่ายเอกสารเหล่านี้ไปเยอะๆ ก็ได้ ถ้ากรณีต้องสมัครหลายที่ อ้อ ที่สำคัญอย่าลืมเซ็นกำกับเอกสารสำเนาทุกฉบับด้วยนะดังนี้ >> สำเนาถูกต้อง -เซ็นชื่อ- ใช้สำหรับสมัครงานเท่านั้น
พอวันต่อมาที่จะต้องไปสมัครก็ให้แต่งตัวดูดีหน่อย เสื้อสุภาพ กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบ สร้างความประทับใจแรกให้กับทุกร้านที่ไปสมัคร อย่าแต่งตัวสบายๆ ไป เพราะเราไปขอเขาทำงาน เขาไม่ได้มาขอเรา น้องผู้ชายถ้าเริ่มมีหนวดเคราก็เล็มหรือโกนให้ดูเรียบร้อย ถ้าผมยาวก็เซ็ตผมหรือตัดผมให้เรียบร้อย น้องผู้หญิงถ้าผมยาวก็มัดผม หรือปล่อยก็ได้แต่อย่าให้กระเซิงนะหวีสักนิด แต่งหน้าให้ดูน่ารักๆ ก็โอเคแล้ว
การไปสมัครงานแต่ละร้านถ้าได้เจอเจ้าของกิจการร้านนั้นๆ ก็ควรไปสมัครกับเขาเลย เพื่อจะได้ขายความน่าสนใจของตัวตนเรา แต่ถ้าตามห้างก็อาจจะยากหน่อย ยิ่งถ้าเป็นช่วงปิดเทอมก็ยิ่งยาก เพราะช่วงปิดเทอมแน่นอนว่ามีอยู่แล้วคนที่อยากใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ อาจจะแซงหน้าเราได้งานไปก่อนแล้ว อาจจะทำได้แค่เขียนใบสมัครทิ้งไว้แล้วรอการพิจารณาจากทางร้าน บางร้านใช้เวลา 2 - 3 สัปดาห์ถึงจะติดต่อมา บางร้านก็ไม่ติดต่อมา นี่จึงเป็นสาเหตุให้เตรียมเอกสารสำเนาไปหลายๆ ชุด ถ้าไปตามห้างส่วนใหญ่ก็จะได้เจอพี่พนักงานก็ลองเดินเข้าไปถามดู "สวัสดีครับ ผมมาสมัครเป็นพนักงาน Part-time ครับ ผู้จัดการอยู่มั้ยครับพี่" อะไรก็ว่าไป ถ้าผู้จัดการอยู่ก็ขอไปสมัครกับผู้จัดการเลย เพื่อได้นำเสนอตัวเองให้เขาจดจำอยากได้เรามาทำงาน ที่สำคัญไม่ว่าจะไปสมัครกับใคร ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ต่อให้ตอนนั้นลูกค้าเต็มร้านและหันมาจ้องมองเราก็ไม่ต้องเขินอายนะ555 จะมาเก้อๆ งงๆ ไม่ได้ มันคือด่านแรกอ่ะ ให้มองในมุมมองว่าถ้าเราเป็นผู้จัดการร้านอาหาร แต่เห็นคนมาสมัครงานเก้อๆ งงๆ ทำอะไรไม่ถูก เราจะเชื่อใจได้มั้ยว่าคนที่มาสมัครนั้นจะบริการลูกค้าด้วยความมั่นใจ ต่อให้สอนกันได้ แต่ใครๆ ก็อยากได้คนที่เก่งอยู่แล้ว เหมือนน้ำที่เต็มแก้วแต่เป็นน้ำที่พร้อมเสิร์ฟ
ถ้ามีความสามารถพิเศษอะไรก็ขายตัวเองไปเลย เล่นกีตาร์ ร้องเพลง พูดภาษาที่สามได้ ช่วยได้จริงๆ บางร้านต้องการความสามารถพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้า พอสมัครอะไรเสร็จแล้วที่เหลือก็แล้วแต่ว่าต้องกลับมารอการพิจารณาหรือได้เลย ถ้าได้ทำเลยเขาก็จะถามว่าเราสามารถเริ่มงานเร็วที่สุดได้วันไหน แต่ถ้ารอพิจารณาและเขาติดต่อกลับมาก็จะถูกสัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์อีกที หากผู้ติดต่อกลับคือผู้จัดการ ส่วนใหญ่ก็สัมภาษณ์ว่า เรียนที่ไหน จบจากที่ไหน อายุกี่ปี บ้านอยู่ที่ไหน ทำเวลานี้ถึงเวลานี้ไหวมั้ย งานเป็นแบบนี้คิดว่าตนเองไหวมั้ย
แนะนำว่างานพวกนี้ลองสมัครตั้งไว้ก่อนเลย ก่อนที่จะปิดเทอม พอปิดเทอมปุ้บก็เริ่มทำเลย
เท่านี้ครับบ หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์แก่น้องๆ ที่กำลังเรียนและมีแผนจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์นะครับ หากมีข้อมูลผิดประการใดหรือพิมพ์ผิดต้องขออภัยด้วยนะค้าบบบ
จริงๆ อยากเล่าช่วงตอนที่ตัวผมเองในตอน ม.6 ทำงานพิเศษงานแรกด้วย แต่คิดว่ามันไม่ใช่ข้อมูลที่มีประโยชน์สักเท่าไร อีกอย่างงานแรกที่ผมเริ่มก็แจ็คพ็อตเจอสังคมไม่ดีเลย จึงไม่อยากเล่า กลัวน้องๆ ที่มาอ่านเพื่อหาข้อมูล จะท้อกัน 5555 แต่ถ้าอยากให้เล่าคอมเมนต์บอกได้นะครับ อิอิ