[CR] [Review] Stalag 17 (1953) แหกค่ายนาซี


หนังสงครามสัญชาติอเมริกันเรื่องนี้เป็นหนึ่งในผลงานระดับมาสเตอร์พีซของผู้กำกับชาวออสเตรียน-อเมริกัน บิลลี่ ไวล์เดอร์( นอกจากนั้นยังมี อาทิเช่น Sunset Boulevard(1950), The Apartment(1960) ฯลฯ ) นำแสดงโดย วิลเลี่ยม โฮลเด้น ดาราชื่อดังหลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในหนังเรื่อง Sunset Boulevard ร่วมด้วย ดอน เทเลอร์ , ออตโต้ พรีมินเกอร์ ,โรเบิร์ต สเตราส์ , เนวิลล์ แบรนด์ ,ปีเตอร์ เกรฟส์ , ฮาร์วีย์ เล็มเบ็ค และ ซิก รูแมน

หนังบอกเล่าเรื่องราวในปี 1943 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ค่ายเชลยศึกสงครามที่ 17 หรือที่เรียกว่า Stalag 17 ซึ่งค่ายดังกล่าวเป็นที่คุมตัวนักโทษจากโปแลนด์ เชคโกสโลวะเกีย และสหรัฐ โดยนักโทษอเมริกันที่อยู่ในค่ายนี้เป็นนักโทษที่ส่วนใหญ่มาจากกองทัพอากาศ และที่สำคัญในค่ายนี้กักกันเฉพาะนักโทษที่เป็นทหารระดับจ่าเท่านั้นซึ่งไม่ต้องห่วงเรื่องความวุ่นวายว่ามักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ตลอดเวลานักโทษอเมริกันเหล่านี้มักจะรวมหัวกันเพื่อเล็ดลอดหลบหนีจากค่าย แอบดักฟังข่าวสารจากภายนอกว่าสถานการณ์สงครามเป็นอย่างไรแล้ว ความเคลื่อนไหวของกองทัพอเมริกาอยู่ถึงไหนแล้ว ซึ่งเหล่านักโทษก็มีการแบ่งหน้าที่กันไม่ว่าจะเป็น หัวหน้าห้องแถวที่จะต้องคอยรายงานยอดนักโทษให้ผู้คุมรับทราบแต่ละวัน ส่วนรักษาความปลอดภัยที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยจากงานลักลอบทำผิดกฎ หรือส่วนข่าวสารที่มีหน้าที่ส่งข่าวให้นักโทษอเมริกันรับทราบ และส่วนจัดการหลบหนีที่จะคอยเตรียมเสื้อผ้าพลเรือนให้ ซึ่งที่ผ่านมาการหลบหนีของนักโทษอเมริกัน หรือการใช้วิทยุดัดแปลงที่ผิดกฎของค่ายกักกัน ก็ถูกจับได้โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำมาโดยตลอดจนบางครั้งอาจถึงกับชีวิต ในที่สุดบรรดานักโทษก็คิดว่าคงมีสายคอยรายงานให้กับพวกเยอรมัน ซึ่งเขาเหล่านั้นก็สงสัย เซฟตั้น (โฮลเด้น ) ว่าน่าจะเป็นสาย เนื่องจากหลายๆ ครั้งเขามักมีสิทธิพิเศษเหนือเพื่อนๆ และมักมีของดีๆ เก็บไว้ใช้เองตลอด จนคืนนึงได้มีการรุมทำร้ายร่างกายเซฟตั้นเกิดขึ้นซึ่งเป็นฝีมือของนักโทษในห้องแถวนั้นทุกคน แต่ทว่าสายของเยอรมันจะใช่เซฟตั้นจริงหรือไม่ เซฟตั้นจะเจ็บตัวฟรีจากการที่ตนถูกปรักปรำเช่นนั้นหรือ ต้องติดตามกัน

หนังเรื่องนี้เป็นหนังสงครามประเภทแหกค่ายเรื่องแรกๆ ที่สร้างขึ้น  ถ้าใครเคยดูหนังแหกค่ายหลบหนีจากนาซีระดับมาสเตอร์พีซ The Great Escape ( 1963 ) หนังจะเป็นประมาณนั้นเลยครับ เป็นแนวนักโทษรวมตัวกันวางแผน มีการเตรียมการ อาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีออกไป แต่ก็จะต่างกันตรงที่เรื่องนี้จะเน้นเกี่ยวกับเรื่องของสภาพความเป็นอยู่ในห้องแถว จะมีความตลกเฮฮามากกว่า เนื่องจากตัวละครมีวัยวุฒิและคุณวุฒิที่ใกล้เคียงกัน และในส่วนของผู้คุมชาวเยอรมันก็จะมีทีท่าที่เป็นมิตรมากกว่า คอยรับมุกส่งมุกหยอดกับบรรดานักโทษที่ชอบกวนประสาท แถมในเรื่องนี้ผู้บังคับการเรือนจำก็ดูใส่ใจเรื่องความเป็นอยู่ของนักโทษพอสมควร ซึ่งความเฮฮาเหล่านี้จะทำให้เรามีความรู้สึกฟีลกู๊ดกับหนังมาก ในหนังแทบจะไม่มีความโหดร้ายของสงครามให้เราเห็นสักเท่าไหร่ แถมในหนังยังมีบรรยากาศช่วงคริสมาสต์ที่ผู้บังคับการอนุญาตให้นักโทษจัดงานเทศกาล และบางโอกาสก็จะมีองค์กรระหว่างประเทศมาตรวจสภาพความเป็นอยู่ว่าได้มาตรฐานตามสนธิสัญญาเจนีวาหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้หนังสงครามเรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าใดนัก สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้คงเป็นบทสนทนา ซึ่งนอกจากจะมีการแซวเฮฮากัน ก็ยังมีการประชดประชันกันเชือดเฉือนกันด้วยคำพูด ทั้งนี้เพราะหนังเองไม่ค่อยมีเพลงประกอบมากสักเท่าไหร่ จะมีก็เป็นแค่ในตอนช่วงเทศกาลคริสมาสต์เท่านั้นเองซึ่งก็ถือว่าบทสนทนาสามารถชดเชยในส่วนนั้นได้ สำหรับการถ่ายทำ หนังเรื่องนี้สร้างขึ้นในช่วงยุค 1950 เป็นยุคที่หนังยังเป็นภาพขาวดำ ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีสีแต่เรื่องแสงเงาทำได้เนี้ยบจนเราจินตนาการได้เลยว่าน่าจะเป็นสีอะไร อีกทั้งการที่เป็นหนังขาวดำยิ่งทำให้ดูคลาสสิกยิ่งขึ้นไปอีก

สำหรับการแสดงนั้น โฮลเด้นในบทของเซฟตั้น ถือว่าแสดงได้ยอดเยี่ยม เขาแสดงเป็นคนที่ไม่สนโลกเห็นแก่ตัวและชอบการพนันเป็นชีวิตจิตใจ เขามักจะเป็นเจ้ามือในการพนันต่างๆ สร้างบ่อนแบบอนาถาขึ้น แถมยังมีการกลั่นเหล้าเถื่อน โดยคิดค่าใช้จ่ายเป็นบุหรี่แทนเงิน ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่สูบบุหรี่แต่ก็ใช้มันติดสินบนบรรดาผู้คุมเพื่อแลกเอาสิทธิพิเศษต่างๆ ด้วยลักษณะเหล่านี้ทำให้เพื่อนๆ หมั่นไส้เขา ด้วยบทนี้ทำให้โฮลเด้นคว้ารางวัลออสการ์ไป และในบทของคู่หูคู่ฮา แฮรี่ (เล็มเบ็ค) และ แอนิมอล (สเตราส์) แฮรี่ดูเป็นคนเจ้าเล่ห์ขี้อำ ส่วนแอนิมอลเป็นคนซื่อๆ แถมหลอกง่าย เมื่อมาจับคู่กันกลายเป็นว่าคู่หูคู่นี้เป็นคู่ที่เคมีตรงกันสุดๆ สามารถรับส่งมุกได้อย่างเฮฮาสร้างสีสัน ทำให้เราได้ดูไปอมยิ้มไปกับการแสดง นับได้ว่าเป็นตัวขโมยซีนโดยแท้ อีกบทนึงที่ผมชื่นชอบคงเป็นผู้คุมชุลส์ รับบทโดยรูแมน เป็นผู้คุมที่ใจดีชอบหยอกล้อกับนักโทษอเมริกัน แถมยังมีมุกตลกๆ มาหยอด มายิงใส่นักโทษ โดยเฉพาะกับคู่หูแฮรี่-แอนิมอล เขามักจะพูดเสมอว่าเขาชอบนักโทษอเมริกันเพราะพวกอเมริกันดูบ้าบอดี (ฮา) แถมยังบอกว่าเมื่อสงครามจบเขาอยากจะไปอเมริกาอีกสักครั้ง คำพูดนี้ทำเอาสะท้อนเลยว่าแท้ที่จริงเขาก็ชื่นชมอเมริกาโดยที่ไม่ได้รู้สึกเกลียดชัง แต่เป็นเพราะสงครามต่างหากเล่าที่ทำให้เขาต้องมายืนฝ่ายตรงข้ามกับอเมริกา แถมในหนังยังมีประเด็นเรื่องจดหมายจากอเมริกาที่บรรดานักโทษได้รับ ซึ่งมีนักโทษคนนึงได้รับจดหมายจากภรรยาว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่ามีทารกถูกทิ้งไว้ที่ประตูหน้าบ้าน เธอจึงรับเลี้ยงดูเด็กน้อยคนนั้นแถมเด็กน้อยยังมีหน้าตาเหมือนเธออีก ซึ่งลึกๆ แล้วนักโทษคนนั้นก็รู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แค่คิดตามว่า ฉันเชื่อเรื่องนั้น ฉันเชื่อเรื่องนั้นตามข้อความที่ภรรยาส่งมาเท่านั้นเพื่อปลอบใจตัวเอง ทำเอาเราแอบหดหู่นิดๆ กับอารมณ์ของนักโทษที่ออกไปไหนไม่ได้

ถือว่าเรื่องนี้ดูได้สนุกไม่ได้เครียดแบบหนังสงครามเรื่องอื่นๆ แถมยังมีมุมมองให้เราได้เห็นหลายๆ อย่างเกี่ยวกับสงคราม สมแล้วที่เป็นหนังคลาสสิคเรื่องนึงเลยทีเดียว ผมให้คะแนน 8.5 เต็ม 10 หักนิดเดียวตรงที่ตอนจบอารมณ์ไม่จบ แบบว่าอยากรู้ชะตากรรมของบรรดานักโทษว่าจะเป็นอย่างไรต่อ และเรื่องไม่สมจริงที่นักโทษปั่นป่วนขนาดหลบหนีและชอบทำผิดกฎ แต่ผู้บังคับการทำโทษแค่ยึดเตาผิง กับให้กลบทางหลบหนีเท่านั้นเอง ซึ่งในความเป็นจริงน่าจะต้องมีการลงโทษอะไรที่รุนแรงไม่หน่อมแน้มอย่างนี้ อย่างไรก็ตามหากใครไม่เคยดูหนังประเภทแหกค่ายหนีลองดูเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แล้วค่อยตามด้วย The Bridge on the River Kwai (1957) และ The Great Escape (1963) แนะนำครับ ส่วนอีกสองเรื่องเดี๋ยวโอกาสหน้าจะมารีวิวให้ฟังครับ

ถ้าสนใจดูรีวิวหนังเรื่องอื่นเพิ่มเติม ให้คำติชมแนะนำ หรือถ้าอยากให้รีวิวหนังเรื่องไหน มาพูดคุยกันได้ที่เพจผมครับ https://www.facebook.com/cineman95/  ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Stalag 17
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่