[CR] [ดูหนังกับพริตตี้ปลาสลิด] ของขวัญ - สิ่งที่มีค่ามากกว่าของขวัญ


REVIEW ของขวัญ

เรียงลำดับตามตอนที่ชอบ

สัจจะธรณี
ผู้กำกับ : ก้องเกียรติ โขมศิริ
คะแนน : A

สิ่งที่ทรงพลังและเป็นตอนที่ดีที่สุดของ "ของขวัญ" คือความรู้ความเข้าใจในเหตุการณ์บ้านเมืองของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น "ทัศนคติ" ของบทภาพยนตร์ในตอน "สัจจะธรณี"  นั้นหยิบเอาประเด็นเรื่องความรุนแรงของปัญหาชายแดนภาคใต้ได้อย่างน่าสนใจ ตัวหนังเดินเรื่องตามหญิงสาวคนหนึ่งที่พยายามทำความเข้าใจครอบครัวของตัวเองที่โดนกล่าวหาว่าพ่อของเธอนั้นคือหนึ่งในผู้ก่อการร้าย การเดินทางค้นหาว่า "รากเหง้า" ของตัวเองเป็นใครนั้น ทำให้เธอได้เข้าใจว่า "ก้อนดิน" ก้อนนั้นหมายความว่าอะไร

ความคมคายของ สัจจะธรณี คือการหยิบจับรายละเอียดเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในสังคมไทยเอามาใส่ในหนัง และตัวละครแต่ละตัวนั้นล้วนแล้วแต่มี "ความคิด" ที่สะท้อนให้เราเห็นว่าทำไมสังคมไทยในทุกวันนี้จึงเป็นอยู่เฉกเช่นวันนี้ คนเรามอง "คนอื่น" อย่างไร และพยายามจะทำความเข้าใจคนอื่น "แค่ไหน"

ยังไม่รวมไปถึงสไตล์การกำกับที่ "ก้องเกียรติ โขมศิริ" ช็อคคนดูตั้งแต่ฉากแรกของเรื่องนี้ และทำให้เรารู้สึก "ไม่ปลอดภัยตลอดทั้งเรื่อง" จนกระทั่งเราเข้าใจความหมายของ "ดิน" ก้อนนั้นอย่างแท้จริง

เมฆฝนบนป่าเหนือ
ผู้กำกับ : ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
คะแนน : A
มีกลิ่นหนัง Y ตามสไตล์พี่มะเดี่ยว แต่ความโดดเด่นในหนังมะเดี่ยวคือตัวละครนั้นจะมีความ "ลึก" ในคาแรกเตอร์ของแต่ละคน

ตัวละครของ เฟม-ชวินโรจน์ ลิขิตเจริญสกุลรับบทเป็น หัวหน้าในการออกค่ายปลูกป่า ซึ่งเราจะได้เห็น "สายตา" ที่เขามองเพื่อนร่วมทริปนี้อย่างตัวละครของโอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์ ประกอบกับควมเอาอกเอาใจใส่ "เกินเพื่อน" ทำให้เราเห็นว่าตัวละครของเฟมนั้น รับบทเป็นผู้นำค่าย มีจิตวิญญาณของคนหัวอุดมคติมากๆ ในขณะเดียวกันตัวละครของโอบ ก็เหมือนเป็นคนอารมณ์ดี ที่ใครๆก็พร้อมจะหลงรัก

เช่นเดียวกับตัวละครของอุ้ม-อิษยา ฮอสุวรรณ ที่เป็นเหมือนสาวสวยประจำค่ายและเหมือนเป็นคนอารมณ์เย็นที่สุดในการวบคุมสถานการณ์ต่างๆ

สิ่งที่เราชอบมากในตอนนี้คือหนัง "เข้าใจ" วิธีการมองโลกของคนสองฝ่ายระหว่าง "คนเมือง" และ "คนพื้นที่" ประโยคที่เด็ดดวงที่สุดของตอนนี้คือถึงเราจะรู้ว่ามันคือความหวังดี แต่คุณไม่ได้เข้าใจเรา คุณไม่ได้เป็นเรา แล้วเราจะเอาอะไรกิน" หนังสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง แต่ในขณะเดียวกันหนังก็ยังทำให้เรามองเห็น "ความหวัง" และวิธีคิดในการ "หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง" ผ่านตัวละครเด็กๆ ซึ่งสิ่งที่เราได้มองเห็นในตอนนี้ก็คือ การให้ความรู้เข้าใจในสิ่งที่จำเป็นนั้นบางครั้งเราอาจจะไม่ได้เห็นผลในทันที แต่สักวันนึงมันจะผลิดอกและเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ในที่สุด สิ่งนั้นก็คือ "ความรู้" นั่นเอง  

สิ่งที่เด็กกลุ่มนี้ได้เรียนรู้จากการออกค่ายคือมันเป็น "ประสบการณ์ที่มีค่ากว่าเกรดเฉลี่ยดีๆ"

The Letter
ผู้กำกับ : ปรัชญา ปิ่นแก้ว
คะแนน : C

ภาพยนตร์ CSR บริษัทไปรษณีย์ไทยจำกัด ......... แต่เป็นการทำ CSR ที่ฆ่าตัวตาย แสดงให้เห็นถึงความละหลวมในการรักษาความปลอดภัยในการขนส่งไปรษณีย์ เมื่อมีเด็กจากขอนแก่น ลักลอบขึ้นรถและเดินทางจนมาถึงกรุงเทพฯ!!!!

บางครั้งแฟนตาซีก็ควรมีขีดจำกัดบ้าง หรือไม่บางทีหนังเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นแค่ฝันไปก็เป็นได้

แน่นอนว่าพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคในการออกค่ายครั้งนี้

ดอกไม้ในกองขยะ
ผู้กำกับ : นนทรีย์ นิมิบุตร
คะแนน : C-
ลูกสาวผู้อยากได้ I-Phone จนเนื้อตัวสั่น จนต้องขายตัว
ลูกชายวินมอเตอร์ไซด์ที่ติดพนันฟุตบอล จนวันหนึ่งต้องหาเงินมาใช้หนี้
เมียปากร้ายที่ติดหวย
และ พระเอกของเรื่องชายเก็บขยะ ผู้ตั้งมั่นในความดี เมื่อหนังพยายามขยี้ทุกอย่างในทุกอณูรูขุมขนทำให้ผลลัพธ์ของหนังเรื่องนี้กลายเป็นละครฟ้ามีตาไปเสียอย่างนั้น

ยิ่งไปกว่านั้นหนังยังทำให้เรารู้สึกว่าอาชีพโสเภณีนั้นเป็นอาชีพที่ถูกกดทับให้ต่ำลง ต่ำลงไปกว่าอาชีพการเก็บขยะขึ้นไปอีก ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ว่าจะอาชีพใดก็ตามในโลกนี้ ตราบใดก็ตามที่เจ้าของร่างกายนั้น "เต็มใจ" ที่จะแลกมาเพื่อทรัพย์สินหรือเงินทองเพื่อทำให้ "ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น" มันก็ล้วนแล้วแต่จะเป็นสิทธิ์ของเขา เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งของหนังแล้วเราจะได้เห็นว่า "วัตถุ" ไม่ใช่ความจำเป็นของตัวละครลูกสาวอีกแล้ว เธอแค่อยากจะมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเหนืออื่นใดคือหนังในตอนนี้นอกจากจะมีความไม่น่าเชื่อถือในการเลือกนักแสดงแล้ว (น้องนางเอกสวยมาก สวยจนรู้สึกว่าการอยู่ในชุมชมแออัด ริมน้ำกับสภาพผิวพรรณของเธอนั้นช่างย้อนแย้งกับความเป็นจริงเหลือเกิน ไม่มีเมื่อกระทั่งยุงกัดและรองพื้นหน้าน้องเรียบกริ้บบบบบ อยากรู้เลยว่าใช้ยี่ห้ออะไร ^0^)

ความ "ชัดเจน" ไปหมดของหนังตอนนี้เรียกได้ว่าจับวางไปหมดไม่ว่าการที่ตัวละครเจอหนังการ์ตูนพระมหาชนกในกองขยะ ตัวร้ายชุดข้าราชการ หรือ ประโยคกราบรถกู ก็เรียกได้ว่านี่คือตอนเปิดของ "ของขวัญ" ที่ดูเป็นละครมากกว่าหนังจริงๆ


อย่างไรก็ตาม #ของขวัญ ยังฉายให้คนไทยได้ชมฟรีๆตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ติดตามรอบฉายได้ที่ SF Cinema และ Major Cineplex รอบมีทั้งวันครับ และคนไม่เยอะอย่างที่คิด หรือจริงๆอยากจะบอกว่า วันนี้ที่ไปดู คนดูน้อยมากๆ ในรอบที่ไปชม ประมาณ 40 คน เอง

ถ้าชอบรีวิวฝากแวะเยี่ยมชม : https://www.facebook.com/PrettyPlaSalid/

หน่อยนะครับ ^ ^
ชื่อสินค้า:   ของขวัญ
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่