เป็นกระทู้แรกค่ะ อึดอัด ไม่มีที่ระบาย
เรากับสามีแต่งงานยังไม่ถึงปีค่ะ คบหาดูใจกันประมาณปีกว่า เค้าขอเราแต่งงาน ตอนแรกเราปฏิเสธไป เพราะอยากเรียนรู้ให้มากกว่านี้อีกหน่อย แต่เค้าเข้าทางครอบครัวเราค่ะ ซึ่งครอบครัวเราอยากให้แต่ง เพราะมองว่าอายุเราก็เยอะแล้ว ผลของการตัดสินใจครั้งนั้น เลยกลายเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบอื่นๆตามมา
สามีเราอายุ36 ปีค่ะ เป็นคนหน้าตาธรรมดา การงานธรรมดา ฐานะทางบ้านปานกลางพอมีพอกิน ที่สำคัญคือเค้าไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เรื่องเจ้าชู้ก็ทั่วๆไปของผู้ชาย ส่วนเราเองอายุ32 หน้าตาค่อนข้างดี(เมื่อเทียบกับสามี) การงานถือว่าดี ฐานะครอบครัวปานกลางค่ะ เมื่อตัดสินใจแต่งจึงเป็นธรรมดาที่จะมีเพื่อนๆที่เป็นฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายค้าน ฝ่ายที่คัดค้านจะให้เหตุผล เช่น หน้าตา การงานอย่างเราสามารถหาผู้ชายที่หน้าตาดี ฐานะที่ดีกว่า สามารถเลี้ยงเราไม่ให้ลำบากได้สบายๆ ส่วนฝ่ายสนับสนุนจะให้เหตุผล เช่น เค้าเป็นผู้ชายที่ดี เหล้าไม่แตะ บุหรี่ไม่สูบ เรื่องฐานะไปสร้างกันเองได้ ถ้าเรากับเค้ารักกันจริง เรื่องพวกนั้นคือรอง ให้มองที่จิตใจเป็นเรื่องหลัก ก็นั่นแหละค่ะ สุดท้ายเราตัดสินใจแต่งเพราะความรู้สึกที่เราเรียกมันว่าความรัก!!!!
ย้อนกลับไปในช่วงที่เตรียมงานแต่ง ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยถาม และเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราคิดและทำจะถูกต้องหรือไม่ หากว่ามันถูกต้องแล้ว เพราะคือหน้าที่ของฝ่ายหญิง ก็ขออภัยนะคะ กลับมาที่เตรียมงานแต่งค่ะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเราเป็นคนออก ทั้งค่าออแกไนซ์ ค่าชุด ค่าช่างแต่งหน้า ช่างภาพ ชุดเพื่อนเจ้าสาว-เจ้าบ่าว ค่าพรีเวดดิ้ง ค่าของชำร่วย ของรับไหว้ โต๊ะจีน สถานที่จัดงาน และอื่นๆอีกมากมาย ทุกๆอย่างเราออกทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นเราเข้าใจเค้า ว่าเค้าอาจจะต้องเก็บเงินไว้สำหรับเป็นค่าสินสอด(ที่บ้านไม่ได้เรียกมากนัก) เราทั้งสองตกลงกันว่าหลังแต่งงานสามีจะให้เราจัดการดูแลเรื่องเงินของเค้าทุกอย่าง รวมทั้งเงินสินสอด และทอง ที่แม่คืนให้เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวกัน ทุกอย่างสรุปตามที่กล่าวมา
แต่เมื่อวันที่จะต้องจัดการจริงๆ เงินสินสอด เงินจากซองและทองที่แม่เราคืนให้ ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายไปทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ ซึ่งรวมแล้วเป็นเงินที่ก้อนใหญ่พอสมควร เค้าถามเราว่าจะจัดการอย่างไร เราตอบไปว่าส่วนนึงเราฝากไว้เป็นเงินเก็บฉุกเฉิน ส่วนนึงเอาไปทำประกันชีวิตและสุขภาพให้เค้า เพราะบ.ที่เค้าทำงานอยู่ไม่มีสวัสดิการพวกนี้ และเงินเก็บในอนาคตจะเอาเงินเค้า เงินเรารวมกัน ส่วนนึงแยกเก็บต่างหาก ส่วนที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทั้งสองคนจะเป็นเงินสดสำรองฝากบัญชีเอาไว้ แต่เค้าคิดต่างและบอกว่าเงินส่วนนั้นทั้งหมดเก็บไว้ที่เค้าจะดีกว่า เค้าจะนำไปฝากบัญชีชื่อเค้า แต่จะเอาบัญชีมาให้เราเก็บไว้ และเงินเดือนเค้า เค้าจะให้เราเป็นรายเดือนจะได้สะดวกเผื่อเค้ามีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วน จะได้ไม่ต้องลำบากเราคอยโอนให้ เรานั่งอึ้งอยู่ซักครู่ ความคิดต่างๆมันประเดประดังเข้ามาในสมอง พอตั้งสติได้ เลยตอบกลับไปว่า ตามใจ!!!
ส่วนเงินเดือนที่สามีบอกจะให้เป็นรายเดือน สรุปให้เงินเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านเพียงเดือนละ5,000 บาท ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นค่าผ่อนบ้าน ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าอินเทอร์เนต ค่าทรูวิชั่น ค่าของใช้ในบ้าน ค่ากับข้าว(ทำอาหารทานเอง) ค่าจิปาถะอื่นๆที่เกิดขึ้นในบ้าน เค้าคิดว่ามันสมเหตุสมผลแล้วกับเงินจำนวนนี้ แต่เราลงบัญชีทุกเดือน คชจ.ที่กล่าวมาทั้งหมดจะอยู่ราวๆ 15,000-17,000 บาทต่อเดือน เราเองไม่เคยบอกเค้า กลัวเค้าจะหาว่าเราหน้าเงิน แต่เราก็แอบคิดว่าเค้าไม่น่าจะโง่ได้ขนาดที่จะบวกเลขไม่เป็น แค่เฉพาะสลิปคชจ.จำเป็นเราแม๊กซ์รวมกัน ไม่ได้แอบซ้อน วางให้เห็นชัดๆ ถ้านำมาบวกกันก็เกิน10,000 บาทแล้ว(ต้องบอกว่าเงินที่เค้าให้เรา เมื่อเทียบกับเงินเดือนเค้า และเค้าไม่ต้องให้เงินที่บ้านเค้า ไม่มีค่าผ่อนรถ จะมีแต่ค่าอาหารการกินในช่วงเวลาที่ไปทำงานเท่านั้น รวมๆแล้วเค้าอาจจะเหลือเก็บอยู่ถึง 30,000++ต่อเดือน) ในขณะเดียวกัน เราจะเหลือเก็บในส่วนของเรา หักที่ใช้จ่ายส่วนตัว ให้พ่อและแม่ทุกเดือน และผ่อนรถ เพียงไม่เกิน5,000เท่านั้น ปล.คชจ.ส่วนตัวเช่น ครีมบำรุงทุกอย่างเกี่ยวกับใบหน้า ซึ่งๆๆๆ สามีใช้กับเราทุกอย่าง แต่ไม่เคยถามไถ่ว่าราคาเท่าไหร่ ให้ช่วยซื้อบ้างไหม หรืออะไรเลยด้วยซ้ำTT
เรื่องในบ้านคงไม่ต้องพูดถึง งานบ้านทุกอย่างเราทำ กวาดบ้าน ถูบ้าน ปั่นและตากผ้า ทำกับข้าว วันปกติเค้ามีหน้าที่เพียงเลิกงานกลับมานั่งดูทีวี บอกว่าวันนี้อยากกินอะไร? ส่วนเราเหนื่อยแค่ไหนต้องทำกับข้าวให้เค้ากิน (เข้าใจว่าคือหน้าที่ภรรยาค่ะ แต่ขอบ่นหน่อยนะคะ มันเหนื่อย ด่าได้อย่าแรงนะคะ) ส่วนวันเสา-ทิต เค้าจะดูแลต้นไม้รอบๆบ้าน รดน้ำ พรวนดิน (เฉพาะต้นที่ตัวเองปลูก ย้ำ!!!!ต้นที่ตัวเองปลูกเท่านั้น....ส่วนต้นของแม่ที่ปลูกไว้ ทั้งๆที่มันก็อยู่ในบริเวณบ้านของเราเอง นางก็จะไม่ดูแลค่ะ ไม่สนใจด้วย ต้องเป็นเราที่นึกขึ้นได้เมื่อไหร่ค่อยไปรดน้ำ เพราะแม่มาเยี่ยมทีโดนบ่นว่าต้นไม้แกจะตายหมดแล้ว) พอเสร็จงานนาง นางก็จะทำหน้าที่เป็น QCตรวจความเรียบร้อยงานบ้านที่เราทำไป มารื้อดูใต้โซฟาถูสะอาดไหม? เปิดลิ้นชักสำรวจของต้องเก็บวางเป็นระเบียบ เฮ้อออ.......
ตอนนี้รู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบทุกทาง ไม่อยากคิดแบบนั้นเลยค่ะ แต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆ ไม่อยากพูดว่าเค้าเห็นแก่ตัว ไม่อยากบอกว่าเค้าคิดถึงแต่ตัวเค้าเอง ไม่อยากบอกว่าเราอึดอัดเหลือเกินเวลาที่มีเค้าอยู่ด้วย ต้องขอโทษที่รู้สึกแบบนั้น...
แต่คำถามที่มันยังวนเวียนอยู่กับเราตลอดคือ นี่หรอคะความโชคดีของเรา? ได้สามีที่เป็นคนดี ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ รับผิดชอบการงาน ทำงานทุ่มเท เป็นพนักงานดีเด่น เป็นที่ชื่นชมของหัวหน้า หรือแม้แต่พนักงานด้วยกันเอง เกือบทุกคนที่รู้จักเค้าเมื่อมีโอกาสได้เจอเราจะต้องพูดแสดงความยินดีกับเราเสมอว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เค้าเป็นสามี หรือสามีเราเป็นคนดีนะ ดูรักเราจัง ขยันทำมาหากิน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข บลาๆๆ
แต่ใครจะรู้คะว่าข้างหลังภาพวาดนั้น หลังถ้อยคำแสดงความยินดีเหล่านั้น เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า เคยมีใครคิดจะถามเราบ้างไหม ว่าเรารู้สึกโชคดีไหมที่ได้แต่งงานกับสามีคนนี้ แต่ในทางตรงข้าม มีแต่คนยัดเยียดความโชคดีที่เค้าคิดว่าคือความโชคดีให้เรา ทั้งๆที่สิ่งนั้นเราเรียกมันว่า "ความผิดพลาด" ความผิดพลาดที่เราเรียกอะไรกลับคืนมาไม่ได้ แม้แต่ความรู้สึกที่อัดอั้นนี้ ยังหาคนที่จะรับฟังและเข้าใจแทบไม่มี เพราะไม่มีใครเชื่อว่าเค้าจะเป็นแบบที่เรากล่าวมา และบอกว่าเราคิดมากไปเอง...
**นี่ยังไม่นับรวมพฤติกรรมเวลาที่อยู่ด้วยกันนะคะ หรือเราคิดมาก และคาดหวังมากไปเองจริงๆ TT
เฮ้อออออออ...........
การมีสามีที่เป็นคนดี คือความโชคดีของภรรยาจริงๆหรอคะ? แล้วสามีที่ดีจริงๆในแบบของคุณเป็นแบบไหน?
เรากับสามีแต่งงานยังไม่ถึงปีค่ะ คบหาดูใจกันประมาณปีกว่า เค้าขอเราแต่งงาน ตอนแรกเราปฏิเสธไป เพราะอยากเรียนรู้ให้มากกว่านี้อีกหน่อย แต่เค้าเข้าทางครอบครัวเราค่ะ ซึ่งครอบครัวเราอยากให้แต่ง เพราะมองว่าอายุเราก็เยอะแล้ว ผลของการตัดสินใจครั้งนั้น เลยกลายเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบอื่นๆตามมา
สามีเราอายุ36 ปีค่ะ เป็นคนหน้าตาธรรมดา การงานธรรมดา ฐานะทางบ้านปานกลางพอมีพอกิน ที่สำคัญคือเค้าไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เรื่องเจ้าชู้ก็ทั่วๆไปของผู้ชาย ส่วนเราเองอายุ32 หน้าตาค่อนข้างดี(เมื่อเทียบกับสามี) การงานถือว่าดี ฐานะครอบครัวปานกลางค่ะ เมื่อตัดสินใจแต่งจึงเป็นธรรมดาที่จะมีเพื่อนๆที่เป็นฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายค้าน ฝ่ายที่คัดค้านจะให้เหตุผล เช่น หน้าตา การงานอย่างเราสามารถหาผู้ชายที่หน้าตาดี ฐานะที่ดีกว่า สามารถเลี้ยงเราไม่ให้ลำบากได้สบายๆ ส่วนฝ่ายสนับสนุนจะให้เหตุผล เช่น เค้าเป็นผู้ชายที่ดี เหล้าไม่แตะ บุหรี่ไม่สูบ เรื่องฐานะไปสร้างกันเองได้ ถ้าเรากับเค้ารักกันจริง เรื่องพวกนั้นคือรอง ให้มองที่จิตใจเป็นเรื่องหลัก ก็นั่นแหละค่ะ สุดท้ายเราตัดสินใจแต่งเพราะความรู้สึกที่เราเรียกมันว่าความรัก!!!!
ย้อนกลับไปในช่วงที่เตรียมงานแต่ง ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยถาม และเราก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราคิดและทำจะถูกต้องหรือไม่ หากว่ามันถูกต้องแล้ว เพราะคือหน้าที่ของฝ่ายหญิง ก็ขออภัยนะคะ กลับมาที่เตรียมงานแต่งค่ะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเราเป็นคนออก ทั้งค่าออแกไนซ์ ค่าชุด ค่าช่างแต่งหน้า ช่างภาพ ชุดเพื่อนเจ้าสาว-เจ้าบ่าว ค่าพรีเวดดิ้ง ค่าของชำร่วย ของรับไหว้ โต๊ะจีน สถานที่จัดงาน และอื่นๆอีกมากมาย ทุกๆอย่างเราออกทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นเราเข้าใจเค้า ว่าเค้าอาจจะต้องเก็บเงินไว้สำหรับเป็นค่าสินสอด(ที่บ้านไม่ได้เรียกมากนัก) เราทั้งสองตกลงกันว่าหลังแต่งงานสามีจะให้เราจัดการดูแลเรื่องเงินของเค้าทุกอย่าง รวมทั้งเงินสินสอด และทอง ที่แม่คืนให้เพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวกัน ทุกอย่างสรุปตามที่กล่าวมา
แต่เมื่อวันที่จะต้องจัดการจริงๆ เงินสินสอด เงินจากซองและทองที่แม่เราคืนให้ ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายไปทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ ซึ่งรวมแล้วเป็นเงินที่ก้อนใหญ่พอสมควร เค้าถามเราว่าจะจัดการอย่างไร เราตอบไปว่าส่วนนึงเราฝากไว้เป็นเงินเก็บฉุกเฉิน ส่วนนึงเอาไปทำประกันชีวิตและสุขภาพให้เค้า เพราะบ.ที่เค้าทำงานอยู่ไม่มีสวัสดิการพวกนี้ และเงินเก็บในอนาคตจะเอาเงินเค้า เงินเรารวมกัน ส่วนนึงแยกเก็บต่างหาก ส่วนที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทั้งสองคนจะเป็นเงินสดสำรองฝากบัญชีเอาไว้ แต่เค้าคิดต่างและบอกว่าเงินส่วนนั้นทั้งหมดเก็บไว้ที่เค้าจะดีกว่า เค้าจะนำไปฝากบัญชีชื่อเค้า แต่จะเอาบัญชีมาให้เราเก็บไว้ และเงินเดือนเค้า เค้าจะให้เราเป็นรายเดือนจะได้สะดวกเผื่อเค้ามีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วน จะได้ไม่ต้องลำบากเราคอยโอนให้ เรานั่งอึ้งอยู่ซักครู่ ความคิดต่างๆมันประเดประดังเข้ามาในสมอง พอตั้งสติได้ เลยตอบกลับไปว่า ตามใจ!!!
ส่วนเงินเดือนที่สามีบอกจะให้เป็นรายเดือน สรุปให้เงินเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านเพียงเดือนละ5,000 บาท ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นค่าผ่อนบ้าน ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าอินเทอร์เนต ค่าทรูวิชั่น ค่าของใช้ในบ้าน ค่ากับข้าว(ทำอาหารทานเอง) ค่าจิปาถะอื่นๆที่เกิดขึ้นในบ้าน เค้าคิดว่ามันสมเหตุสมผลแล้วกับเงินจำนวนนี้ แต่เราลงบัญชีทุกเดือน คชจ.ที่กล่าวมาทั้งหมดจะอยู่ราวๆ 15,000-17,000 บาทต่อเดือน เราเองไม่เคยบอกเค้า กลัวเค้าจะหาว่าเราหน้าเงิน แต่เราก็แอบคิดว่าเค้าไม่น่าจะโง่ได้ขนาดที่จะบวกเลขไม่เป็น แค่เฉพาะสลิปคชจ.จำเป็นเราแม๊กซ์รวมกัน ไม่ได้แอบซ้อน วางให้เห็นชัดๆ ถ้านำมาบวกกันก็เกิน10,000 บาทแล้ว(ต้องบอกว่าเงินที่เค้าให้เรา เมื่อเทียบกับเงินเดือนเค้า และเค้าไม่ต้องให้เงินที่บ้านเค้า ไม่มีค่าผ่อนรถ จะมีแต่ค่าอาหารการกินในช่วงเวลาที่ไปทำงานเท่านั้น รวมๆแล้วเค้าอาจจะเหลือเก็บอยู่ถึง 30,000++ต่อเดือน) ในขณะเดียวกัน เราจะเหลือเก็บในส่วนของเรา หักที่ใช้จ่ายส่วนตัว ให้พ่อและแม่ทุกเดือน และผ่อนรถ เพียงไม่เกิน5,000เท่านั้น ปล.คชจ.ส่วนตัวเช่น ครีมบำรุงทุกอย่างเกี่ยวกับใบหน้า ซึ่งๆๆๆ สามีใช้กับเราทุกอย่าง แต่ไม่เคยถามไถ่ว่าราคาเท่าไหร่ ให้ช่วยซื้อบ้างไหม หรืออะไรเลยด้วยซ้ำTT
เรื่องในบ้านคงไม่ต้องพูดถึง งานบ้านทุกอย่างเราทำ กวาดบ้าน ถูบ้าน ปั่นและตากผ้า ทำกับข้าว วันปกติเค้ามีหน้าที่เพียงเลิกงานกลับมานั่งดูทีวี บอกว่าวันนี้อยากกินอะไร? ส่วนเราเหนื่อยแค่ไหนต้องทำกับข้าวให้เค้ากิน (เข้าใจว่าคือหน้าที่ภรรยาค่ะ แต่ขอบ่นหน่อยนะคะ มันเหนื่อย ด่าได้อย่าแรงนะคะ) ส่วนวันเสา-ทิต เค้าจะดูแลต้นไม้รอบๆบ้าน รดน้ำ พรวนดิน (เฉพาะต้นที่ตัวเองปลูก ย้ำ!!!!ต้นที่ตัวเองปลูกเท่านั้น....ส่วนต้นของแม่ที่ปลูกไว้ ทั้งๆที่มันก็อยู่ในบริเวณบ้านของเราเอง นางก็จะไม่ดูแลค่ะ ไม่สนใจด้วย ต้องเป็นเราที่นึกขึ้นได้เมื่อไหร่ค่อยไปรดน้ำ เพราะแม่มาเยี่ยมทีโดนบ่นว่าต้นไม้แกจะตายหมดแล้ว) พอเสร็จงานนาง นางก็จะทำหน้าที่เป็น QCตรวจความเรียบร้อยงานบ้านที่เราทำไป มารื้อดูใต้โซฟาถูสะอาดไหม? เปิดลิ้นชักสำรวจของต้องเก็บวางเป็นระเบียบ เฮ้อออ.......
ตอนนี้รู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบทุกทาง ไม่อยากคิดแบบนั้นเลยค่ะ แต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆ ไม่อยากพูดว่าเค้าเห็นแก่ตัว ไม่อยากบอกว่าเค้าคิดถึงแต่ตัวเค้าเอง ไม่อยากบอกว่าเราอึดอัดเหลือเกินเวลาที่มีเค้าอยู่ด้วย ต้องขอโทษที่รู้สึกแบบนั้น...
แต่คำถามที่มันยังวนเวียนอยู่กับเราตลอดคือ นี่หรอคะความโชคดีของเรา? ได้สามีที่เป็นคนดี ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ รับผิดชอบการงาน ทำงานทุ่มเท เป็นพนักงานดีเด่น เป็นที่ชื่นชมของหัวหน้า หรือแม้แต่พนักงานด้วยกันเอง เกือบทุกคนที่รู้จักเค้าเมื่อมีโอกาสได้เจอเราจะต้องพูดแสดงความยินดีกับเราเสมอว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เค้าเป็นสามี หรือสามีเราเป็นคนดีนะ ดูรักเราจัง ขยันทำมาหากิน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข บลาๆๆ
แต่ใครจะรู้คะว่าข้างหลังภาพวาดนั้น หลังถ้อยคำแสดงความยินดีเหล่านั้น เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า เคยมีใครคิดจะถามเราบ้างไหม ว่าเรารู้สึกโชคดีไหมที่ได้แต่งงานกับสามีคนนี้ แต่ในทางตรงข้าม มีแต่คนยัดเยียดความโชคดีที่เค้าคิดว่าคือความโชคดีให้เรา ทั้งๆที่สิ่งนั้นเราเรียกมันว่า "ความผิดพลาด" ความผิดพลาดที่เราเรียกอะไรกลับคืนมาไม่ได้ แม้แต่ความรู้สึกที่อัดอั้นนี้ ยังหาคนที่จะรับฟังและเข้าใจแทบไม่มี เพราะไม่มีใครเชื่อว่าเค้าจะเป็นแบบที่เรากล่าวมา และบอกว่าเราคิดมากไปเอง...
**นี่ยังไม่นับรวมพฤติกรรมเวลาที่อยู่ด้วยกันนะคะ หรือเราคิดมาก และคาดหวังมากไปเองจริงๆ TT
เฮ้อออออออ...........