ตอนนี้ผมเครียดมากกับการได้เงินเดือนละ 9,000 ฿ และมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวค่อนข้างสูง
ไม่รู้จะจัดการปัญหานี้อย่างดีค่าใช้จ่ายส่วนตัวมีดังนี้ครับ
1.ค่าฟิตเนสเดือนละ 4,000 ฿
2.ค่าบริการรายเดือนโทรศัพท์ 970 - 1,000+ ฿ (รวมภาษี)
3.ค่าเดินทาง 2,800 ฿ (Week ละ 700)
เหลือกิน 1,200 กว่าบาท (โดยประมาณ)
ผมเครียดและรู้สึกเริ่มทนไม่ไหวแล้วครับ อาชีพของผมก็คือทำงาน office กับครอบครัวของคุณน้าแท้ๆ ซึ่งได้อยู่บ้านกินฟรีอยู่ฟรี แต่ติดที่ว่าห้องที่นอนออกแนวเป็นห้องคนรับใช้คุณน้าให้ทำงาน 365 วันไม่มีวันหยุด (เหนื่อยมากๆ) คุณลุงเป็นข้าราชการมีชื่อเสียงและหน้าที่การงานใหญ่มาก ท่านให้ผมเดือนละ 3,000 รวม 12,000 แต่น้าเก็บเข้าเงินเก็บ ไม่ได้ฝาก บช ให้ เดือนละ 3,000 “ห้ามใช้ ห้ามขอ”
*********ซึ่งผมทนเป็นแบบนี้มา 1 ปีแล้วครับผมเริ่มรับไม่ไหวหลังจากผมอยู่บ้านน้า 2 ปี ตอนปีแรกผมยังเรียนอยู่แล้วตอนนี้ทางบ้านบังคับให้ทำงานกับน้า ซึ่งผมจะออกจากน้าไปหางานทำก็ลำบากเพราะไม่มีเงินเก็บเริ่มชีวิตใหม่เลย
********ในปีแรกที่เริ่มทำงานผมอดทนเก็บเงินได้ 20,000 บาท แต่ก็ให้พ่อและแม่หมดจนไม่มีเงินเก็บส่วนตัวผมเครียดมากเพราะไม่เคยตกต่ำขนาดไม่มีเงินในบัญชีมาก่อน ผมได้ต้องท่องไว้อดทนเอา เราต้องประสบความสำเร็จถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ในช่วงเวลานึงก็คิดถึงประสิทธิภาพที่ผมมี คือพื้นฐานผมจบมหาลัยเอกชนย่านรังสิตเมืองเอกจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ (international) ซึ่งพอผมจบได้ก็คิดว่าจะได้พัก แต่พอจบมาก็ต้องมาทำงานกับครอบครัวน้า
ทันที ผมก็ต้องทำงานเพราะเห็นแก่บุญคุณน้า และน้าเองก็ป่วยเป็นภูมิแพ้ตัวเอง ซึ่งผมต้องอดทนกับการใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านทำงานบ้านช่วยแม่บ้าน แล้วยังต้องทำงานในอ็อฟฟิศซึ่งต้องเดินทางทุกวันวันละ 27 กิโล เหนื่อยมากๆเพราะทำงานไม่มีวันหยุดเลยไม่เคยได้กลับบ้านไปหาพ่อและแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด แล้วตอนนี้ผมรู้สึกตกต่ำมากๆ ผมรู้สึกอดทนกับการออมเงินเท่านี้มามากพอแล้วผมไม่รู้ว่า Reward ที่ทำจะได้จากการอดทนนี้คือได้อะไร ตอนนี้อายุผม 23 จะเข้า 24 แล้วยังไม่มีเงินเก็บส่วนตัวเลยครับ ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมอิจฉาเพื่อนรุ่นเดียวกัน ถึงใครจะว่าผมอย่ามองคนที่สูงกว่า แต่มันก็อดคิดไม่ได้เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันที่อยู่ในจุดที่เสมอกัน ทั้งคนที่เรียนได้ด้อยกว่า และคนที่ฐานะแตกต่างกัน ตอนนี้พวกเขาจบออกมาเริ่มงานจนเงินเดือนพัฒนาหลัก 2-3 หมื่นทุกคนซึ่งบางคนไปเรียนต่อต่างประเทศ บางคนกำลังจะจบโท แต่ตัวผมเองไม่ก้าวหน้าเลยเหมือนย่ำเท้าอยู่กับที่และกำลังถอยหลังลงเพราะไม่ได้ใช้วิชาและความรู้ที่เรียนมาอยู่เลย ทุกวันผมต้องแอบรับงานนอกเพื่อพัฒนาตัวเองและรื้อฟื้นวิชาตัวเองอยู่บ่อยๆเพราะเสียดายความรู้ที่เรียนมา ตอนนี้ชีวิตผมเหมือนบัวที่อยู่ใต้น้ำกำลังตาย ชีวิตผมไม่เคยออกไปเที่ยวหลังเรียนจบ ไม่มีเสื้อผ้าและข้าวของดีๆใช้ เงินก็ไม่มี ต้องเลิกกับแฟนเพราะแฟนไม่เข้าใจเราและครอบครัวจะคุยกันหรือออกไปไหนก็ต้องกลับบ้านก่อน 2 ทุ่ม ครอบครัวน้าไม่ออกไปไหนถ้าขออนุญาตแล้วคุยโทรศัพท์ตอนดึกก็ไม่ได้ รู้สึกท้อแท้มากๆเลยครับ
ผมไม่เคยดูถูกเงิน 9,000 ฿ แต่มันไม่เพียงพอต่อการดำรงค์ชีวิตเลยจริงๆ ปีหน้าสัญญา ฟิตเนส ผมกำลังจะหมดซึ่งผมจะเปลี่ยนเป็นเล่นอยู่ห้องคนใช้ของผม แต่เงิน 4,000 ที่ได้มาผมตั้งใจจะทำไปเรียนพิเศษต่อ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 5,000 (ไม่รวมค่าหนังสือ) เป็นคอร์สเรียนภาษาอังกฤษมีใบรับรองเรียน 10 เดือน เพราะผมมีเวลาเข้าเรียนน้อยจากการทำงานของครอบครัวแต่ผมมานั่งคิดถ้าเรียนจบมาผมก็ไม่รู้จะไปทางไหนได้อีก จะไปต่อนอกก็ไม่ได้เพราะเงินในบัญชีไม่มีทำวีซ่า จะขอเงินพ่อแม่หรือน้าเป็นสปอนให้ก็คงไม่ได้ จะขอเงินพี่มาฝากบัญชีก็กลัวจะโดนว่า หรือถ้าพี่ให้จริงๆ ผมก็ต้องหาเงินมาเสียภาษีเงินได้อีกผมเลยรู้สึกกดดันและเครียดมาก หาทางออกจากชีวิตนี้ไม่ได้จริงๆ
ส่วนพี่ชายของผมก็แตกต่างจากชีวิตผม ขอรถได้รถ ขอบ้านได้บ้าน ขอเงินได้เงิน ซึ่งตัวผมเองไม่เคยขออะไรจากครอบครัวเลย รถก็ไม่มี บ้านก็ไม่มี แม้แต่ที่ดินที่บ้านแม่ก็ยกให้คุณน้าและแลกเอาของน้ามา และที่ดินอีกส่วนของแม่อีกส่วน พี่บังคับแม่ให้โอนให้พี่ทุกวัน เพราะพี่บอกว่าเดี๋ยวถ้าแม่เป็นอะไรขึ้นมาที่ดินนี้ก็เป็นพ่อทำไมไม่โอนสักที แล้วบ้านที่พี่ขอเงินน้าและแม่สร้างก็อยู่บนที่ดินของแม่ผมก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรือโกรธครอบครัวนะครับแต่รู้สึกโกรธพี่ชายที่บังคับแม่แล้วยังขอเงินแม่และน้าเป็นแสนๆไปใช้ส่วนตัวกับแฟน ซึ่งผมก็เครียดหนักมากที่แม่และพ่อต้องหาเงินอยู่ตลอดเวลาจะหาเงินเลี้ยงดูพ่อและยังทำไม่ได้เพราะมีเงินเหลือแค่ 1,200 บาทต่อเดือนจะหาเงินจากไหนเลี้ยงพ่อแม่แค่เก็บเงินได้ก็จะตายแล้ว (พี่ผมไม่ได้มีงานทำนะครับ) ผมรู้สึกเครียดชีวิตใครอบครัวอีก
ตอนนี้ ผมยอมรับได้ว่าตัวเองถึงจะไม่มีอะไรก็ไม่เป็นไรเพราะเราทำเองได้ ผมยังใช้โทรศัพท์เก่าๆ เสื้อผ้าที่ใช้มาแล้ว 3-4 ปี มีอยู่ 6-7 ชุด ผมรู้สึกเหมือนชีวิตผมควรไปได้มากกว่านี้ แต่ก็ทำได้แค่คิดแล้วอดทนต่อไป แล้วการอดทนของผมก็ไม่รู้จะยอมอดทนได้นานสักเท่าไหร่เพราะอดทนไปแล้วได้อะไร สิ่งที่อยากทำก็ไม่มีโอกาส ทั้งๆที่ทำได้ ธุรกิจครอบครัวหรือมรดก ก็เหมือนจะตกอยู่ที่พี่ชายหมด
เพราะผม ได้เงินเดือนละ 9,000 ได้กินข้าวนอกบ้านได้แค่ 1 วันหรือไม่มีโอกาสได้กินเลย
ตอนนี้ผมเครียดมากๆ ต้องกินยาพารา และยาเครียดเกลือบทุกวัน ตอนนี้ ผมอยากได้คำแนะนำกับชีวิตที่ผมเป็นอยู่ ว่าควรหาแนวทางดำเนินชีวิตอย่างไร ผมเชื่อว่าต้องมีหนทางที่ทำให้ผมหลุดพ้นจากชีวิตนี้ โดยที่ตัวผมจะดูไม่ได้เป็นคนอกตัญญูต่อคนในครอบครัว
ขอคำแนะนำเครียดจัดได้เงินเดือนละ 9,000
ไม่รู้จะจัดการปัญหานี้อย่างดีค่าใช้จ่ายส่วนตัวมีดังนี้ครับ
1.ค่าฟิตเนสเดือนละ 4,000 ฿
2.ค่าบริการรายเดือนโทรศัพท์ 970 - 1,000+ ฿ (รวมภาษี)
3.ค่าเดินทาง 2,800 ฿ (Week ละ 700)
เหลือกิน 1,200 กว่าบาท (โดยประมาณ)
ผมเครียดและรู้สึกเริ่มทนไม่ไหวแล้วครับ อาชีพของผมก็คือทำงาน office กับครอบครัวของคุณน้าแท้ๆ ซึ่งได้อยู่บ้านกินฟรีอยู่ฟรี แต่ติดที่ว่าห้องที่นอนออกแนวเป็นห้องคนรับใช้คุณน้าให้ทำงาน 365 วันไม่มีวันหยุด (เหนื่อยมากๆ) คุณลุงเป็นข้าราชการมีชื่อเสียงและหน้าที่การงานใหญ่มาก ท่านให้ผมเดือนละ 3,000 รวม 12,000 แต่น้าเก็บเข้าเงินเก็บ ไม่ได้ฝาก บช ให้ เดือนละ 3,000 “ห้ามใช้ ห้ามขอ”
*********ซึ่งผมทนเป็นแบบนี้มา 1 ปีแล้วครับผมเริ่มรับไม่ไหวหลังจากผมอยู่บ้านน้า 2 ปี ตอนปีแรกผมยังเรียนอยู่แล้วตอนนี้ทางบ้านบังคับให้ทำงานกับน้า ซึ่งผมจะออกจากน้าไปหางานทำก็ลำบากเพราะไม่มีเงินเก็บเริ่มชีวิตใหม่เลย
********ในปีแรกที่เริ่มทำงานผมอดทนเก็บเงินได้ 20,000 บาท แต่ก็ให้พ่อและแม่หมดจนไม่มีเงินเก็บส่วนตัวผมเครียดมากเพราะไม่เคยตกต่ำขนาดไม่มีเงินในบัญชีมาก่อน ผมได้ต้องท่องไว้อดทนเอา เราต้องประสบความสำเร็จถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ในช่วงเวลานึงก็คิดถึงประสิทธิภาพที่ผมมี คือพื้นฐานผมจบมหาลัยเอกชนย่านรังสิตเมืองเอกจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ (international) ซึ่งพอผมจบได้ก็คิดว่าจะได้พัก แต่พอจบมาก็ต้องมาทำงานกับครอบครัวน้า
ทันที ผมก็ต้องทำงานเพราะเห็นแก่บุญคุณน้า และน้าเองก็ป่วยเป็นภูมิแพ้ตัวเอง ซึ่งผมต้องอดทนกับการใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านทำงานบ้านช่วยแม่บ้าน แล้วยังต้องทำงานในอ็อฟฟิศซึ่งต้องเดินทางทุกวันวันละ 27 กิโล เหนื่อยมากๆเพราะทำงานไม่มีวันหยุดเลยไม่เคยได้กลับบ้านไปหาพ่อและแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด แล้วตอนนี้ผมรู้สึกตกต่ำมากๆ ผมรู้สึกอดทนกับการออมเงินเท่านี้มามากพอแล้วผมไม่รู้ว่า Reward ที่ทำจะได้จากการอดทนนี้คือได้อะไร ตอนนี้อายุผม 23 จะเข้า 24 แล้วยังไม่มีเงินเก็บส่วนตัวเลยครับ ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมอิจฉาเพื่อนรุ่นเดียวกัน ถึงใครจะว่าผมอย่ามองคนที่สูงกว่า แต่มันก็อดคิดไม่ได้เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันที่อยู่ในจุดที่เสมอกัน ทั้งคนที่เรียนได้ด้อยกว่า และคนที่ฐานะแตกต่างกัน ตอนนี้พวกเขาจบออกมาเริ่มงานจนเงินเดือนพัฒนาหลัก 2-3 หมื่นทุกคนซึ่งบางคนไปเรียนต่อต่างประเทศ บางคนกำลังจะจบโท แต่ตัวผมเองไม่ก้าวหน้าเลยเหมือนย่ำเท้าอยู่กับที่และกำลังถอยหลังลงเพราะไม่ได้ใช้วิชาและความรู้ที่เรียนมาอยู่เลย ทุกวันผมต้องแอบรับงานนอกเพื่อพัฒนาตัวเองและรื้อฟื้นวิชาตัวเองอยู่บ่อยๆเพราะเสียดายความรู้ที่เรียนมา ตอนนี้ชีวิตผมเหมือนบัวที่อยู่ใต้น้ำกำลังตาย ชีวิตผมไม่เคยออกไปเที่ยวหลังเรียนจบ ไม่มีเสื้อผ้าและข้าวของดีๆใช้ เงินก็ไม่มี ต้องเลิกกับแฟนเพราะแฟนไม่เข้าใจเราและครอบครัวจะคุยกันหรือออกไปไหนก็ต้องกลับบ้านก่อน 2 ทุ่ม ครอบครัวน้าไม่ออกไปไหนถ้าขออนุญาตแล้วคุยโทรศัพท์ตอนดึกก็ไม่ได้ รู้สึกท้อแท้มากๆเลยครับ
ผมไม่เคยดูถูกเงิน 9,000 ฿ แต่มันไม่เพียงพอต่อการดำรงค์ชีวิตเลยจริงๆ ปีหน้าสัญญา ฟิตเนส ผมกำลังจะหมดซึ่งผมจะเปลี่ยนเป็นเล่นอยู่ห้องคนใช้ของผม แต่เงิน 4,000 ที่ได้มาผมตั้งใจจะทำไปเรียนพิเศษต่อ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 5,000 (ไม่รวมค่าหนังสือ) เป็นคอร์สเรียนภาษาอังกฤษมีใบรับรองเรียน 10 เดือน เพราะผมมีเวลาเข้าเรียนน้อยจากการทำงานของครอบครัวแต่ผมมานั่งคิดถ้าเรียนจบมาผมก็ไม่รู้จะไปทางไหนได้อีก จะไปต่อนอกก็ไม่ได้เพราะเงินในบัญชีไม่มีทำวีซ่า จะขอเงินพ่อแม่หรือน้าเป็นสปอนให้ก็คงไม่ได้ จะขอเงินพี่มาฝากบัญชีก็กลัวจะโดนว่า หรือถ้าพี่ให้จริงๆ ผมก็ต้องหาเงินมาเสียภาษีเงินได้อีกผมเลยรู้สึกกดดันและเครียดมาก หาทางออกจากชีวิตนี้ไม่ได้จริงๆ
ส่วนพี่ชายของผมก็แตกต่างจากชีวิตผม ขอรถได้รถ ขอบ้านได้บ้าน ขอเงินได้เงิน ซึ่งตัวผมเองไม่เคยขออะไรจากครอบครัวเลย รถก็ไม่มี บ้านก็ไม่มี แม้แต่ที่ดินที่บ้านแม่ก็ยกให้คุณน้าและแลกเอาของน้ามา และที่ดินอีกส่วนของแม่อีกส่วน พี่บังคับแม่ให้โอนให้พี่ทุกวัน เพราะพี่บอกว่าเดี๋ยวถ้าแม่เป็นอะไรขึ้นมาที่ดินนี้ก็เป็นพ่อทำไมไม่โอนสักที แล้วบ้านที่พี่ขอเงินน้าและแม่สร้างก็อยู่บนที่ดินของแม่ผมก็ไม่ได้รู้สึกน้อยใจหรือโกรธครอบครัวนะครับแต่รู้สึกโกรธพี่ชายที่บังคับแม่แล้วยังขอเงินแม่และน้าเป็นแสนๆไปใช้ส่วนตัวกับแฟน ซึ่งผมก็เครียดหนักมากที่แม่และพ่อต้องหาเงินอยู่ตลอดเวลาจะหาเงินเลี้ยงดูพ่อและยังทำไม่ได้เพราะมีเงินเหลือแค่ 1,200 บาทต่อเดือนจะหาเงินจากไหนเลี้ยงพ่อแม่แค่เก็บเงินได้ก็จะตายแล้ว (พี่ผมไม่ได้มีงานทำนะครับ) ผมรู้สึกเครียดชีวิตใครอบครัวอีก
ตอนนี้ ผมยอมรับได้ว่าตัวเองถึงจะไม่มีอะไรก็ไม่เป็นไรเพราะเราทำเองได้ ผมยังใช้โทรศัพท์เก่าๆ เสื้อผ้าที่ใช้มาแล้ว 3-4 ปี มีอยู่ 6-7 ชุด ผมรู้สึกเหมือนชีวิตผมควรไปได้มากกว่านี้ แต่ก็ทำได้แค่คิดแล้วอดทนต่อไป แล้วการอดทนของผมก็ไม่รู้จะยอมอดทนได้นานสักเท่าไหร่เพราะอดทนไปแล้วได้อะไร สิ่งที่อยากทำก็ไม่มีโอกาส ทั้งๆที่ทำได้ ธุรกิจครอบครัวหรือมรดก ก็เหมือนจะตกอยู่ที่พี่ชายหมด
เพราะผม ได้เงินเดือนละ 9,000 ได้กินข้าวนอกบ้านได้แค่ 1 วันหรือไม่มีโอกาสได้กินเลย
ตอนนี้ผมเครียดมากๆ ต้องกินยาพารา และยาเครียดเกลือบทุกวัน ตอนนี้ ผมอยากได้คำแนะนำกับชีวิตที่ผมเป็นอยู่ ว่าควรหาแนวทางดำเนินชีวิตอย่างไร ผมเชื่อว่าต้องมีหนทางที่ทำให้ผมหลุดพ้นจากชีวิตนี้ โดยที่ตัวผมจะดูไม่ได้เป็นคนอกตัญญูต่อคนในครอบครัว