๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๐ บันทึกถึงพ่อ

เมื่อวันจันทร์ ลูกได้เดินทางไปที่ตลาดนัดมีโชค จังหวัดเชียงใหม่ ขากลับ ใกล้ๆ กับสนามกีฬา ๗๐๐ ปี ลูกขี่รถผ่านศูนย์แสดงสินค้าฯ ซึ่งเป็นที่ที่ “พระเมรุมาศจำลอง” ตั้งอยู่ ขณะนั้น ลูกเหลือบไปเห็นยอดแหลมของพระเมรุมาศจำลองซึ่งเหลืองอร่ามเปล่งประกายฉายแสงเจิดจรัสสะดุดตา ภาพนั้นทำให้ลูกรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก แล้วรถของลูกก็ดับวูบลง ลูกได้แต่ภาวนาว่า ขอให้ลูกกลับถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพด้วยเทอญ ท้ายที่สุดในวันนั้นลูกก็กลับถึงมหาวิทยาลัยโดยสวัสดิภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์ (น้ำมันเครื่องหมด)
    วันอังคาร ลูกก็ไปตลาดนัดมีโชคอีก ขากลับ ลูกเห็นมี “วงดุริยางค์” ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเป็นของหน่วยงานใดกำลังบรรเลงเพลงอยู่บนเวที ด้านล่างของเวที เต็มไปด้วยผู้คนที่มาฟัง มาสังเกตการณ์ รวมทั้งมาดูพระเมรุมาศจำลองอยู่บริเวณศูนย์แสดงสินค้าฯ ลูกก็ขี่รถผ่านไป ทั้งๆ ที่หัวใจก็อยากจะแวะดูสักครั้ง
    วันนี้เป็นวันพุธ ซึ่งลูกเชื่อว่าคนไทยทั่วทั้งโลกไม่อยากให้วันพรุ่งนี้มาถึง เพราะเป็นวันที่พ่อจะกลับสู่สรวงสวรรค์อย่างถาวร พ่อจะไม่ได้อยู่กับเราเหล่าชาวไทยอีกต่อไป จะไม่มีข่าวให้เห็น ให้ได้ยินอีกต่อไป
ที่ผ่านมา แม้ว่าพ่อจะสวรรคตไปกว่า ๑ ปีแล้ว แต่ลูกเชื่ออย่างสนิทใจว่าพสกนิกรชาวไทย ซึ่งเป็น “ลูกของพ่อ” ก็ยังอุ่นใจว่า พ่อยังไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ (ในหีบพระบรมศพ) ในพระบรมมหาราชวัง คอยดูแลและรับรู้ความรักที่ลูกๆ มีให้พ่อเสมอมา อีกทั้งเมื่อลูกได้ยินข่าวการบำเพ็ญพระราชกุศล ข่าวพระบรมวงศานุวงศ์ ยิ่งทำให้ลูกรู้สึกว่า พ่อยังไม่ไปไหนจริงๆ
ลูกเชื่อว่าพ่อเป็นแรงบันดาลใจให้เราเหล่าชาวไทยเปลี่ยนแปรความเศร้าโศกเป็นพลังในการสร้างสรรค์ความสามัคคีให้บังเกิดขึ้นในแผ่นดินไทย
ลูกเห็นในเฟซบุ๊ก ทุกคนแสดงความอาลัยต่อพ่อในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้อยกรองถ้อยคำออกมา ซึ่งร้อยกรองนั้นอาจจะผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่ลูกเชื่อว่าทุกคนมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันคือ แสดงความอาลัยในฐานะลูกของพ่อ มีคนแสดงน้ำใจไปช่วยงานของพ่ออย่างล้นหลาม ในฐานะ “จิตอาสา” งานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ซึ่งเป็นความทรงจำและความภาคภูมิใจอันสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยก็ว่าได้
    พ่อจ๋า ลูกเฝ้าสังเกตคนเชียงใหม่ตั้งแต่ช่วงเย็นๆ ลูกรู้สึกว่าบรรยากาศในเชียงใหม่วันนี้คึกคักเป็นพิเศษ คึกคักมากกว่าทุกวัน ลูกไม่รู้ว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปไหนกัน แต่ที่ลูกรู้ก็คือ แม้ว่าบรรยากาศภายนอกจะยิ่งคึกคักเพียงไร แต่ทว่าความรู้สึกภายในใจคนไทยกลับเศร้าซึมและเงียบงันมากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี บรรยากาศที่คึกคักภายนอกไม่อาจทำให้จิตใจรู้สึกเบิกบานได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคิดถึง “เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้”
    บรรยากาศเมื่อ ๑ ปีที่แล้ว บรรยากาศก่อน-หลังที่สำนักพระราชวังจะแถลงการณ์เรื่องการสวรรคตของพ่อได้กลับมาอีกครั้ง บรรยากาศที่เศร้าๆ ซึมๆ ทึมๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา  
กาลเวลาได้พรากพ่อไป พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปโดยไม่หวนกลับมาอีก
แม้พ่อจะจากไป แต่ลูกก็ยังอิ่มใจว่า “แม่” ยังอยู่สุขสบาย ลูกยังคงเฝ้ารอที่จะได้เห็น “แม่” ในโอกาสสำคัญๆ เสมอมา และลูกก็มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า ลูกจะได้เฝ้าชมพระบารมีของ “แม่” จะได้เห็นพระพักตร์ของแม่ ลูกเชื่อเสมอว่า คนไทยรัก เทิดทูน และดูแล “แม่” ตราบเท่าชีวิต
    ลูกเชื่อเหลือเกินว่า พ่อคงดีใจที่เห็นลูกๆ รักกัน แต่จะดีกว่านี้ถ้าลูกๆ รักกัน ในวันที่แม่ยังรับรู้ เพื่อให้พ่อหมดห่วงและลูกๆ เองก็จะจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังว่าในวันที่เราอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตานี้ ความสุขของครอบครัวไทยคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คนไทยจะหยิบยื่นให้แก่กันได้
    ลูกยังยืนยันคำเดิมว่า วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐ นี้ มันบีบหัวใจลูกเหลือเกิน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่