

ข้อความที่นำมาโพสต์หน้าไมค์ ได้ขอกับทางคู่สนทนาแล้วครับ
นำข้อความที่สนทนากัน มาทำเป็นภาพประกอบ
ข้อความกรอบเหลืองและแดงในภาพประกอบ โพสต์ครบหมดแล้วดังนี้
ข้อความในกรอบเหลือง
พี่ครับเห็นพี่สะสมหุ้นต่ำบาท แล้วถือยาวๆ ได้ 3-4 เด้ง ขอคำแนะนำหน่อยครับ พี่ใช้หลักการเลือกหุ้นอย่างไรครับ ขอบคุณมากๆครับ
ความเห็นเพิ่มเติม
เพิ่มเติมจากในภาพประกอบ
มีอีกค่า ที่ใช้พิจารณาคือ ค่าหนี้สินทั้งหมดต่อส่วนผู้ถือหุ้นต่ำ บางตัวแค่ ๑ ต่อ ๑๐ หรือ ๑ ต่อ ๑๐๐ ก็มี
เกรด เอ ตลาดหุ้นเป็นใจ ราคาหุ้นที่อยากจะซื้อเป็นใจ
คำว่าตลาดหุ้นเป็นใจ ตีความได้หลายทาง พวกเล่นเก็งกำไร ก็ต้องว่า
ตลาดหุ้นเป็นใจ
หมายถึงตลาดหุ้นซื้อขายคึกคัก ดัชนีหุ้นหลักพุ่งกระฉูด ราคาหุ้นเคลื่อนไหวรวดเร็วต่อเนื่องยาวนาน
ส่วนผม ตีความ ตลาดหุ้นเป็นใจ
หมายถึงตลาดหุ้นซบเซา ไม่มีใครที่อยู่นอกตลาดอยากเข้าตลาด
ส่วนคนในตลาดก็ไม่อยากจะซื้อและถือหุ้น
พอย้อนกลับไปดูในพอร์ตหุ้นตอนนี้
หุ้นเกือบทุกตัวในพอร์ตที่ได้กำไรเงินมายาเกินหนึ่งเท่าตัว มาจากข้อเอเป็นส่วนใหญ๋ และจากข้อบี บางส่วน
ดังนั้นพอตลาดหุ้นเป็นใจ มีแต่ความซบเซา
นักเก็งกำไรไม่อยากเข้าตลาด เพราะเล่นไปก็ไม่คุ้มค่าต๋ง
สำหรับผม ถือเป็นโอกาสดีๆแบบสองเด้ง
ถ้าหุ้นที่เราอยากจะซื้อก็เป็นใจไปตามตลาดหุ้น
ก็เข้าซื้อไปตามตัวชี้วัดที่เราได้กำหนดไว้แล้ว
เลยเป็นที่มาของพอร์ตหุ้นในปัจจุบัน
เกรด บี ตลาดหุ้นไม่เป็นใจ แต่ราคาหุ้นที่อยากซื้อเป็นใจ
หมายถึงตลาดหุ้นเริ่มคึกคักบ้างแล้ว
แต่ราคาหุ้นที่เราอยากซื้อกลับไม่คึกคักตามที่ควรจะเป็น
ผมได้ lit กับ synex จากข้อ บี
เกรดซี ตลาดหุ้นเป็นใจ ราคาหุ้นที่อยากซื้อไม่เป็นใจ
ตลาดหุ้นซบเซา แต่ราคาหุ้นที่อยากจะซื้อตามตัวชี้วัดกลับไม่มี
เพราะความรู้ ความสามารถของเราหาไม่เป็น (ไม่ใช่หาไม่เจอ

)
เกรดดี ตลาดหุ้นไม่เป็นใจ ราคาหุ้นที่อยากซื้อไม่เป็นใจ
ตลาดหุ้นคึกคัก ใครๆก็ได้กำไรส่วนต่างราคาหุ้นกันอย่างง่ายๆ
คนที่ไม่เคยเข้าตลาดก็อยากเข้าตลาด
คนที่อยู่ในตลาดเฉพาะช่วงขาขึ้นก็อยากจะเพิ่มวงเงินสด วงเงินกู้เพื่อเร่งกำไรให้มากขึ้น
คนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้นตามเจ้ามือในตลาด (เจ้ามือรายใหญ่สุดในตอนนี้คือพวกกองทุน) เลยเห็นกำไรจากตลาดหุ้นเป็นเรื่องง่ายๆ
แต่ผมกลับไม่มี ราคาหุ้นที่เราอยากจะซื้อไปตามตัวชี้วัดที่เรากำหนดไว้
ซึ่งคือสถานะของพอร์ตตัวเองในตอนนี้

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ข้อความในกรอบแดง
แต่บางที ถ้าเราใช้ตัวเลขมากเกินไป อาจจะพลาดหุ้นที่จะมีราคาดีๆในอนาคต ไปเหมือนกันครับ
เพราะไม่มีหุ้นที่เข้าเกณฑ์ที่เราตั้งไว้หลายๆข้อ
ความเห็นเพิ่มเติม
บางทีถ้าเราใช้ตัวชี้วัดอย่างเคร่งครัดหรือใช้หลายตัวมากเกินไป ไม่มีการปรับเปลี่ยนบ้าง ลดค่าตัวชี้วัดลงบ้าง
เราก็จะติดกับดักเครื่องมือของเราเอง
เพราะตลาดไม่เป็นใจกับเครื่องมือที่เราเคยใช้ได้ผล
เหมือนตอนตลาดหุ้นเป็นใจสำหรับตัวชี้วัดของเรา
พอย้อนกลับไปดูพอร์ตตัวเอง
ตัวที่ได้มาจากการคิดนอกกรอบตัวชี้วัดที่เคยใช้มา
ด้วยการซื้อที่พีอีเกิน ๑๐ พีบีวีเกิน ๑ ดีอีเกิน ๑ ยีลด์ปันผลแค่ สามสี่เปอร์เซนต์ในตอนซื้อ
กลับสร้างเงินมายาเพิ่มเกินสามเท่าทั้งสองตัว และได้ยีลด์ปันผลเทียบกับราคาซื้อ เกินสิบเปอร์เซนต์

ส่วนตัวที่ทำตามตัวชี้วัดค่อนข้างเคร่งครัด
ถือมาเกือบสามปี ได้กำไรรวมไม่ถึง ยี่สิบเปอร์เซนต์(บวกเงินปันผลรับแล้ว)

ที่แย่กว่านั้นคือ ตัวที่คิดนอกกรอบ กลับซื้อไว้น้อย ตัวที่คิดตามกรอบกลับซื้อไว้มากๆ
จริงๆแล้ว ค่าอีในอนาคต คือตัวชี้วัดที่แท้จริง
ถ้าเราเข้าซิ้อในราคาหุ้นที่ยังเป็นใจให้ซื้อ เพราะค่าพียังไม่ได้ขยับตามค่าอี ที่คาดไว้ในอนาคต
คนที่ได้กำไรเป็นสิบเด้ง ส่วนใหญ่คือคนที่ซื้อหุ้นตามเกรดเอ หรือไม่ก็เกรดบี

คนที่หาค่าอีในอนาคตเก่งๆ และสามารถเข้าซื้อตอนที่ราคาหุ้นในตลาดยังไม่ได้ขยับมาก
คือคนที่ชนะตลาดหุ้นได้ในทุกสถานการณ์
ซึ่งผมก็ทำไม่ได้

ได้แค่ออกนอกกรอบบ้างเป็นบางครั้ง
เพราะจะไม่โลภเกินความรู้ ความสามารถตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของตัวเองเป็นอันขาด
สำหรับผม รู้เขา ยังไงก็ต้องมาทีหลัง รู้จักตัวเราเอง
ขอต่ออีกนิด เรื่องความอดทนในการถือหุ้น ที่เคยโพสต์เอาไว้
โดยเอามาทำเป็นภาพประกอบแทน
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ขอขยายความข้อความสนทนาหลังไมค์ ที่อยู่ในกรอบเหลืองและแดง
นำข้อความที่สนทนากัน มาทำเป็นภาพประกอบ
ข้อความกรอบเหลืองและแดงในภาพประกอบ โพสต์ครบหมดแล้วดังนี้
ข้อความในกรอบเหลือง
พี่ครับเห็นพี่สะสมหุ้นต่ำบาท แล้วถือยาวๆ ได้ 3-4 เด้ง ขอคำแนะนำหน่อยครับ พี่ใช้หลักการเลือกหุ้นอย่างไรครับ ขอบคุณมากๆครับ
เพิ่มเติมจากในภาพประกอบ
มีอีกค่า ที่ใช้พิจารณาคือ ค่าหนี้สินทั้งหมดต่อส่วนผู้ถือหุ้นต่ำ บางตัวแค่ ๑ ต่อ ๑๐ หรือ ๑ ต่อ ๑๐๐ ก็มี
คำว่าตลาดหุ้นเป็นใจ ตีความได้หลายทาง พวกเล่นเก็งกำไร ก็ต้องว่า
ตลาดหุ้นเป็นใจ
หมายถึงตลาดหุ้นซื้อขายคึกคัก ดัชนีหุ้นหลักพุ่งกระฉูด ราคาหุ้นเคลื่อนไหวรวดเร็วต่อเนื่องยาวนาน
ส่วนผม ตีความ ตลาดหุ้นเป็นใจ
หมายถึงตลาดหุ้นซบเซา ไม่มีใครที่อยู่นอกตลาดอยากเข้าตลาด
ส่วนคนในตลาดก็ไม่อยากจะซื้อและถือหุ้น
พอย้อนกลับไปดูในพอร์ตหุ้นตอนนี้
หุ้นเกือบทุกตัวในพอร์ตที่ได้กำไรเงินมายาเกินหนึ่งเท่าตัว มาจากข้อเอเป็นส่วนใหญ๋ และจากข้อบี บางส่วน
ดังนั้นพอตลาดหุ้นเป็นใจ มีแต่ความซบเซา
นักเก็งกำไรไม่อยากเข้าตลาด เพราะเล่นไปก็ไม่คุ้มค่าต๋ง
สำหรับผม ถือเป็นโอกาสดีๆแบบสองเด้ง
ถ้าหุ้นที่เราอยากจะซื้อก็เป็นใจไปตามตลาดหุ้น
ก็เข้าซื้อไปตามตัวชี้วัดที่เราได้กำหนดไว้แล้ว
เลยเป็นที่มาของพอร์ตหุ้นในปัจจุบัน
หมายถึงตลาดหุ้นเริ่มคึกคักบ้างแล้ว
แต่ราคาหุ้นที่เราอยากซื้อกลับไม่คึกคักตามที่ควรจะเป็น
ผมได้ lit กับ synex จากข้อ บี
ตลาดหุ้นซบเซา แต่ราคาหุ้นที่อยากจะซื้อตามตัวชี้วัดกลับไม่มี
เพราะความรู้ ความสามารถของเราหาไม่เป็น (ไม่ใช่หาไม่เจอ
ตลาดหุ้นคึกคัก ใครๆก็ได้กำไรส่วนต่างราคาหุ้นกันอย่างง่ายๆ
คนที่ไม่เคยเข้าตลาดก็อยากเข้าตลาด
คนที่อยู่ในตลาดเฉพาะช่วงขาขึ้นก็อยากจะเพิ่มวงเงินสด วงเงินกู้เพื่อเร่งกำไรให้มากขึ้น
คนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้นตามเจ้ามือในตลาด (เจ้ามือรายใหญ่สุดในตอนนี้คือพวกกองทุน) เลยเห็นกำไรจากตลาดหุ้นเป็นเรื่องง่ายๆ
แต่ผมกลับไม่มี ราคาหุ้นที่เราอยากจะซื้อไปตามตัวชี้วัดที่เรากำหนดไว้
ซึ่งคือสถานะของพอร์ตตัวเองในตอนนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แต่บางที ถ้าเราใช้ตัวเลขมากเกินไป อาจจะพลาดหุ้นที่จะมีราคาดีๆในอนาคต ไปเหมือนกันครับ
เพราะไม่มีหุ้นที่เข้าเกณฑ์ที่เราตั้งไว้หลายๆข้อ
บางทีถ้าเราใช้ตัวชี้วัดอย่างเคร่งครัดหรือใช้หลายตัวมากเกินไป ไม่มีการปรับเปลี่ยนบ้าง ลดค่าตัวชี้วัดลงบ้าง
เราก็จะติดกับดักเครื่องมือของเราเอง
เพราะตลาดไม่เป็นใจกับเครื่องมือที่เราเคยใช้ได้ผล
เหมือนตอนตลาดหุ้นเป็นใจสำหรับตัวชี้วัดของเรา
พอย้อนกลับไปดูพอร์ตตัวเอง
ตัวที่ได้มาจากการคิดนอกกรอบตัวชี้วัดที่เคยใช้มา
ด้วยการซื้อที่พีอีเกิน ๑๐ พีบีวีเกิน ๑ ดีอีเกิน ๑ ยีลด์ปันผลแค่ สามสี่เปอร์เซนต์ในตอนซื้อ
กลับสร้างเงินมายาเพิ่มเกินสามเท่าทั้งสองตัว และได้ยีลด์ปันผลเทียบกับราคาซื้อ เกินสิบเปอร์เซนต์
ส่วนตัวที่ทำตามตัวชี้วัดค่อนข้างเคร่งครัด
ถือมาเกือบสามปี ได้กำไรรวมไม่ถึง ยี่สิบเปอร์เซนต์(บวกเงินปันผลรับแล้ว)
ที่แย่กว่านั้นคือ ตัวที่คิดนอกกรอบ กลับซื้อไว้น้อย ตัวที่คิดตามกรอบกลับซื้อไว้มากๆ
จริงๆแล้ว ค่าอีในอนาคต คือตัวชี้วัดที่แท้จริง
ถ้าเราเข้าซิ้อในราคาหุ้นที่ยังเป็นใจให้ซื้อ เพราะค่าพียังไม่ได้ขยับตามค่าอี ที่คาดไว้ในอนาคต
คนที่ได้กำไรเป็นสิบเด้ง ส่วนใหญ่คือคนที่ซื้อหุ้นตามเกรดเอ หรือไม่ก็เกรดบี
คนที่หาค่าอีในอนาคตเก่งๆ และสามารถเข้าซื้อตอนที่ราคาหุ้นในตลาดยังไม่ได้ขยับมาก
คือคนที่ชนะตลาดหุ้นได้ในทุกสถานการณ์
ซึ่งผมก็ทำไม่ได้
เพราะจะไม่โลภเกินความรู้ ความสามารถตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของตัวเองเป็นอันขาด
ขอต่ออีกนิด เรื่องความอดทนในการถือหุ้น ที่เคยโพสต์เอาไว้
โดยเอามาทำเป็นภาพประกอบแทน