
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารอีอีซี (กรศ.) ที่มีนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธาน รับทราบหลักเกณฑ์วิธีการ เงื่อนไขและกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 (พีพีพี) สำหรับขับเคลื่อน 5 โครงการลงทุนในอีอีซี วงเงินลงทุน 4 แสนล้านบาท คาดจะสามารถออกประกาศเชิญชวนภาคเอกชนร่วมประมูลได้ก่อน 2 โครงการในช่วงต้นปี 2561 ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินแบบไร้รอยต่อ และโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา
ส่วนอีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะ 3 กับโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะ 3 ที่อยู่ระหว่างเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (อีเอชไอเอ) และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบิน ภาคตะวันออกที่อยู่ระหว่างการศึกษาจะเร่งรัดกระบวนการต่างๆ ให้แล้วเสร็จสามารถลงนามได้พร้อมกันภายในเดือนกันยายน 2561 ทั้ง 5 โครงการ
นอกจากนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัยและเทคโนโลยี รองรับความต้องการแรงงานสำหรับพัฒนาอุตสาหกรรม แห่งอนาคตของประเทศ ในพื้นที่ อีอีซีรวม 63,567 คนภายใน 5 ปี (ปี 2560-64) เนื่องจากอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตส่วนใหญ่ ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญรองรับ จึงต้องเตรียมครูผู้ฝึกในสาขาที่มีอยู่แล้ว
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่มีความต้องการแรงงาน 15,860 คน ยานยนต์ไฟฟ้าต้องการ 34,311 คน การผลิตชิ้นส่วนอากาศยานและโลจิสติกส์ต้องการ 11,331 คน และสาขาที่ประเทศไทยยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญอาจต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) และกระทรวงศึกษาธิการได้ใช้เป็นเงื่อนไขในการขอส่งเสริมการลงทุนว่าจะอนุญาตให้มหาวิทยาลัยจากต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงสุดมาเปิดสาขาที่ตอบรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายได้
“รมว.อุตสาหกรรมมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนโครงการศึกษาและจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมระดับปริญญาตรีและอาชีวศึกษาเป็นการพัฒนาครูผู้ฝึกและแผนขยายพลให้มีครูฝึกจำนวนมากขึ้นเพื่อขยายสู่หลักสูตร 4 หลักสูตรเข้าสู่การเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายอีอีซี ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิจารณาในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้” นายคณิศ กล่าว
นอกจากนี้ยังเตรียมรายงานให้ นายกรัฐมนตรีทราบแนวทางดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (TG MRO Campus) วงเงินลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าหมายเริ่มดำเนินธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงได้ภายในปี 2564
“วันที่ 22 พฤศจิกายน จะมีการประชุมบอร์ดอีอีซี ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยวาระสำคัญที่จะนำเสนอได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินแบบไร้รอยต่อโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อให้บอร์ดอนุมัติในการหลักการ รวมทั้งเสนอแผนการพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัยและเทคโนโลยี รองรับความต้องการแรงงานในพื้นที่อีอีซี” นายคณิศ กล่าว
http://www.naewna.com/business/298667
ข่าวประกอบกระทู้ค่ะ...
เร่งศึกษารถไฟทางคู่เชื่อม 3 ท่าเรือดูดต่างชาติลงทุนในอีอีซี

“บอร์ดEEC” ลุยสร้างรถไฟทางคู่เชื่อม3ท่าเรือหลักแหลมฉบัง สัตหีบ มาบตาพุด สั่ง”รฟท.-สนข.” ศึกษาแผน พร้อมต้อนรับนักลงทุนจีน ด้าน”คมนาคม” เตรียมขอเพิ่มวงเงินเวนคืนที่ดินรถไฟทางคู่ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า เพิ่ม 243 ล้านบาท
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.)กล่าวว่า รัฐบาลได้เตรียมการต้อนรับนักลงทุนจีน ฮ่องกง กว่า 60 ราย นำโดยสภาการค้าแห่งฮ่องกงที่จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย หลังจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นำคณะเยือนฮ่องกงและจีนสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนจีน ฮ่องกง ต่างสนใจลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ของไทย ทั้งด้านการบิน ท่าเรือ และโครงการกำจัดขยะ
โดยเมื่อวานนี้ (8 พ.ค.60) ทางรัฐบาลได้จัดงานเสวนาชี้แจงแผนการลงทุน ณ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี ถนนวิทยุ เพื่อชี้แจงแผนการลงทุนด้านต่าง ๆ และจัดเวทีหารือแยกเป็นรายกลุ่ม รวมทั้งการลงทุนระหว่างสำนักงานระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกกับสภาการค้าแห่งฮ่องกง (SKTDC) เพื่อแสดงเจตจำนงค์การลงทุนกับไทยและความร่วมมือด้านต่างๆ แก่นักลงทุน ก่อนจะนำคณะนักลงทุนจีนเข้าพบนายกรัฐมนตรี
โดยมอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) การท่าเรือสัตหีบ ไปจัดทำแผนแม่บทโครงการรถไฟทางคู่เชื่อมโยง 3 ท่าเรือหลัก และพัฒนาระบบขนส่งสินค้าอย่างไร้รอยต่อเสร็จภายใน 1 เดือน เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบาย EEC โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ รฟท.และ กทท.ร่วมกันศึกษาออกแบบปรับปรุงสถานีขนส่งสินค้าทางรถไฟที่โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะ 3 เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเน้นการใช้ระบบขนถ่ายสินค้าอัตโนมัติ เนื่องจากการขนส่งสินค้าทางระบบรางปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 2 % โดยพึ่งการขนส่งสินค้าทางถนนถึง 80% ขณะที่มาตรฐานโลกพึ่งพาขนส่งสินค้าทางถนน 40% ระบบราง 30% และทางน้ำ 30%
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังเห็นชอบประกาศให้จัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (อีอีซีดี) มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ศึกษาความเหมาะสมของโครงการเพิ่ม เพื่อให้มีส่วนในการสร้างประโยชน์ต่อประชาชนในท้องถิ่น การผลิตบุคลากรแรงงานคุณภาพรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมาย และมีมาตรการเยียวยาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมกำหนดให้มีแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตส่งเสริมและแผนที่แนวเขตที่ชัดเจน รวมถึงแผนการเผยแพร่ผลการศึกษาเพื่อรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย ประชาชน และชุมชนที่เกี่ยวข้อง พร้อมการนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพิจารณาครั้งต่อไป
อ่านรายละเอียดที่เว็บไซต์อ้างอิงค่ะ..
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
http://www.ddproperty.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/2017/5/152080/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7
ข่าวประกอบกระทู้ค่ะ...
การท่าเรือฯพัฒนาธุรกิจขนส่งสินค้าท่าเรือชายฝั่งอ่าวไทยหนุนแข่งสู้ทางบก
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) สายวิศวกรรม รักษาการแทนผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยว่า กทท. เตรียมแผนการพัฒนาโครงการส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาธุรกิจขนส่งสินค้าท่าเรือชายฝั่งในอ่าวไทย เพื่อเป็นการสนับสนุนและพัฒนาการขนส่งสินค้าและตู้สินค้าทางน้ำภายในประเทศ ให้มีต้นทุนอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับการขนส่งทางบก อีกทั้งเป็นการพัฒนาเส้นทางการขนส่งทางน้ำเชื่อมโยงกับท่าเรือชายฝั่ง 20G ของท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือชายฝั่ง A0 ของท่าเรือแหลมฉบัง ที่จะเริ่มเปิดให้บริการในปี 2561 อีกด้วย
แผนการพัฒนาโครงการฯ แบ่งเป็น 3 ระยะ (ปี 2561 - 2565) โดยมีแผนการดำเนินงานหลัก ได้แก่ การเจรจาลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับภาคเอกชนเพื่อเป็นเครือข่ายรูปแบบ Business Alliance การส่งเสริมด้านการตลาด และการศึกษาแนวทางการจัดตั้งบริษัทลูกในรูปแบบของหน่วยธุรกิจ เพื่อเป็นการให้บริการอย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปี 2561 นี้ กทท. มีแผนจะดำเนินการจัด Road Show/Business Matching การจัดนิทรรศการเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ การประชาสัมพันธ์การขนส่งสินค้าหรือตู้สินค้าทางน้ำภายในประเทศ
สำหรับแผนการพัฒนาโครงการส่งเสริมการลงทุน และพัฒนาธุรกิจขนส่งสินค้าท่าเรือชายฝั่งในอ่าวไทย จะส่งผลดีต่อระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องการพัฒนาการขนส่งทางน้ำและกิจการพาณิชยนาวี เพิ่มศักยภาพการขนส่งทางลำน้ำภายในประเทศ และโครงการของรัฐที่สำคัญ ได้แก่ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อตั้งเป้าหมายในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ภาคการขนส่ง และโครงการส่งเสริมคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
http://m.thansettakij.com/content/221407

"พยายามที่จะผลักดันให้ทุกส่วนดำเนินงานเร็วที่สุด ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยมีผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษ โดยโครงการหลักทั้ง 5 โครงการ ต้องมีแผนงาน และกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน”
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
อนาคตประเทศไทยจะโชติช่วงชัชวาลย์ในครั้งนี้นะคะ..
ขอบคุณรัฐบาลลุงตู่ที่ช่วยกันพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน...


~มาลาริน~** เรื่องดีๆในรัฐบาลลุงตู่ ความหวังใหม่ของเศรษฐกิจไทย....EEC สะพัด 4 แสนล้าน ทั้งรถไฟฟ้า-ท่าเรือลงทุนปลายปี’61
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารอีอีซี (กรศ.) ที่มีนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เป็นประธาน รับทราบหลักเกณฑ์วิธีการ เงื่อนไขและกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 (พีพีพี) สำหรับขับเคลื่อน 5 โครงการลงทุนในอีอีซี วงเงินลงทุน 4 แสนล้านบาท คาดจะสามารถออกประกาศเชิญชวนภาคเอกชนร่วมประมูลได้ก่อน 2 โครงการในช่วงต้นปี 2561 ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินแบบไร้รอยต่อ และโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา
ส่วนอีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะ 3 กับโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะ 3 ที่อยู่ระหว่างเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (อีเอชไอเอ) และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบิน ภาคตะวันออกที่อยู่ระหว่างการศึกษาจะเร่งรัดกระบวนการต่างๆ ให้แล้วเสร็จสามารถลงนามได้พร้อมกันภายในเดือนกันยายน 2561 ทั้ง 5 โครงการ
นอกจากนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัยและเทคโนโลยี รองรับความต้องการแรงงานสำหรับพัฒนาอุตสาหกรรม แห่งอนาคตของประเทศ ในพื้นที่ อีอีซีรวม 63,567 คนภายใน 5 ปี (ปี 2560-64) เนื่องจากอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตส่วนใหญ่ ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญรองรับ จึงต้องเตรียมครูผู้ฝึกในสาขาที่มีอยู่แล้ว
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติที่มีความต้องการแรงงาน 15,860 คน ยานยนต์ไฟฟ้าต้องการ 34,311 คน การผลิตชิ้นส่วนอากาศยานและโลจิสติกส์ต้องการ 11,331 คน และสาขาที่ประเทศไทยยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญอาจต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) และกระทรวงศึกษาธิการได้ใช้เป็นเงื่อนไขในการขอส่งเสริมการลงทุนว่าจะอนุญาตให้มหาวิทยาลัยจากต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงสุดมาเปิดสาขาที่ตอบรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายได้
“รมว.อุตสาหกรรมมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนโครงการศึกษาและจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมระดับปริญญาตรีและอาชีวศึกษาเป็นการพัฒนาครูผู้ฝึกและแผนขยายพลให้มีครูฝึกจำนวนมากขึ้นเพื่อขยายสู่หลักสูตร 4 หลักสูตรเข้าสู่การเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายอีอีซี ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิจารณาในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้” นายคณิศ กล่าว
นอกจากนี้ยังเตรียมรายงานให้ นายกรัฐมนตรีทราบแนวทางดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา (TG MRO Campus) วงเงินลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าหมายเริ่มดำเนินธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงได้ภายในปี 2564
“วันที่ 22 พฤศจิกายน จะมีการประชุมบอร์ดอีอีซี ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยวาระสำคัญที่จะนำเสนอได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินแบบไร้รอยต่อโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อให้บอร์ดอนุมัติในการหลักการ รวมทั้งเสนอแผนการพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัยและเทคโนโลยี รองรับความต้องการแรงงานในพื้นที่อีอีซี” นายคณิศ กล่าว
http://www.naewna.com/business/298667
ข่าวประกอบกระทู้ค่ะ...
เร่งศึกษารถไฟทางคู่เชื่อม 3 ท่าเรือดูดต่างชาติลงทุนในอีอีซี
“บอร์ดEEC” ลุยสร้างรถไฟทางคู่เชื่อม3ท่าเรือหลักแหลมฉบัง สัตหีบ มาบตาพุด สั่ง”รฟท.-สนข.” ศึกษาแผน พร้อมต้อนรับนักลงทุนจีน ด้าน”คมนาคม” เตรียมขอเพิ่มวงเงินเวนคืนที่ดินรถไฟทางคู่ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า เพิ่ม 243 ล้านบาท
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.)กล่าวว่า รัฐบาลได้เตรียมการต้อนรับนักลงทุนจีน ฮ่องกง กว่า 60 ราย นำโดยสภาการค้าแห่งฮ่องกงที่จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย หลังจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นำคณะเยือนฮ่องกงและจีนสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนจีน ฮ่องกง ต่างสนใจลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ของไทย ทั้งด้านการบิน ท่าเรือ และโครงการกำจัดขยะ
โดยเมื่อวานนี้ (8 พ.ค.60) ทางรัฐบาลได้จัดงานเสวนาชี้แจงแผนการลงทุน ณ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี ถนนวิทยุ เพื่อชี้แจงแผนการลงทุนด้านต่าง ๆ และจัดเวทีหารือแยกเป็นรายกลุ่ม รวมทั้งการลงทุนระหว่างสำนักงานระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกกับสภาการค้าแห่งฮ่องกง (SKTDC) เพื่อแสดงเจตจำนงค์การลงทุนกับไทยและความร่วมมือด้านต่างๆ แก่นักลงทุน ก่อนจะนำคณะนักลงทุนจีนเข้าพบนายกรัฐมนตรี
โดยมอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) การท่าเรือสัตหีบ ไปจัดทำแผนแม่บทโครงการรถไฟทางคู่เชื่อมโยง 3 ท่าเรือหลัก และพัฒนาระบบขนส่งสินค้าอย่างไร้รอยต่อเสร็จภายใน 1 เดือน เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบาย EEC โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ รฟท.และ กทท.ร่วมกันศึกษาออกแบบปรับปรุงสถานีขนส่งสินค้าทางรถไฟที่โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะ 3 เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเน้นการใช้ระบบขนถ่ายสินค้าอัตโนมัติ เนื่องจากการขนส่งสินค้าทางระบบรางปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 2 % โดยพึ่งการขนส่งสินค้าทางถนนถึง 80% ขณะที่มาตรฐานโลกพึ่งพาขนส่งสินค้าทางถนน 40% ระบบราง 30% และทางน้ำ 30%
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังเห็นชอบประกาศให้จัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (อีอีซีดี) มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ศึกษาความเหมาะสมของโครงการเพิ่ม เพื่อให้มีส่วนในการสร้างประโยชน์ต่อประชาชนในท้องถิ่น การผลิตบุคลากรแรงงานคุณภาพรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมาย และมีมาตรการเยียวยาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมกำหนดให้มีแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตส่งเสริมและแผนที่แนวเขตที่ชัดเจน รวมถึงแผนการเผยแพร่ผลการศึกษาเพื่อรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย ประชาชน และชุมชนที่เกี่ยวข้อง พร้อมการนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพิจารณาครั้งต่อไป
อ่านรายละเอียดที่เว็บไซต์อ้างอิงค่ะ..
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ข่าวประกอบกระทู้ค่ะ...
การท่าเรือฯพัฒนาธุรกิจขนส่งสินค้าท่าเรือชายฝั่งอ่าวไทยหนุนแข่งสู้ทางบก
เรือตรี ทรงธรรม จันทประสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) สายวิศวกรรม รักษาการแทนผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยว่า กทท. เตรียมแผนการพัฒนาโครงการส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาธุรกิจขนส่งสินค้าท่าเรือชายฝั่งในอ่าวไทย เพื่อเป็นการสนับสนุนและพัฒนาการขนส่งสินค้าและตู้สินค้าทางน้ำภายในประเทศ ให้มีต้นทุนอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับการขนส่งทางบก อีกทั้งเป็นการพัฒนาเส้นทางการขนส่งทางน้ำเชื่อมโยงกับท่าเรือชายฝั่ง 20G ของท่าเรือกรุงเทพ และท่าเรือชายฝั่ง A0 ของท่าเรือแหลมฉบัง ที่จะเริ่มเปิดให้บริการในปี 2561 อีกด้วย
แผนการพัฒนาโครงการฯ แบ่งเป็น 3 ระยะ (ปี 2561 - 2565) โดยมีแผนการดำเนินงานหลัก ได้แก่ การเจรจาลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับภาคเอกชนเพื่อเป็นเครือข่ายรูปแบบ Business Alliance การส่งเสริมด้านการตลาด และการศึกษาแนวทางการจัดตั้งบริษัทลูกในรูปแบบของหน่วยธุรกิจ เพื่อเป็นการให้บริการอย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปี 2561 นี้ กทท. มีแผนจะดำเนินการจัด Road Show/Business Matching การจัดนิทรรศการเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ การประชาสัมพันธ์การขนส่งสินค้าหรือตู้สินค้าทางน้ำภายในประเทศ
สำหรับแผนการพัฒนาโครงการส่งเสริมการลงทุน และพัฒนาธุรกิจขนส่งสินค้าท่าเรือชายฝั่งในอ่าวไทย จะส่งผลดีต่อระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศตามนโยบายรัฐบาลในเรื่องการพัฒนาการขนส่งทางน้ำและกิจการพาณิชยนาวี เพิ่มศักยภาพการขนส่งทางลำน้ำภายในประเทศ และโครงการของรัฐที่สำคัญ ได้แก่ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อตั้งเป้าหมายในการลดต้นทุนโลจิสติกส์ภาคการขนส่ง และโครงการส่งเสริมคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
http://m.thansettakij.com/content/221407
"พยายามที่จะผลักดันให้ทุกส่วนดำเนินงานเร็วที่สุด ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม โดยมีผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษ โดยโครงการหลักทั้ง 5 โครงการ ต้องมีแผนงาน และกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน”
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
อนาคตประเทศไทยจะโชติช่วงชัชวาลย์ในครั้งนี้นะคะ..
ขอบคุณรัฐบาลลุงตู่ที่ช่วยกันพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน...