สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆน้องชาวพันทิพทุกท่าน วันนี้ผมจะมาแชร์ประสบการเที่ยวสิงคโปร์ในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งในความคิดหลายๆคนที่ไปสิงคโปร์ ก็จะไปช็อปปิ้ง หาของกินอร่อยๆ เที่ยวชมเมือง ถ่ายรูปกับสถานที่สวยงามๆ แต่ครั้งนี้ผมจะขอแตกต่างในบางเรื่อง ซึ่งมันเกิดจากความชอบส่วนตัวล้วนๆ ฮ่าๆๆ เริ่มกันเลย
ทริปนี้จะมีคีย์เวิร์ดแค่ "ต่างประเทศ ใกล้บ้าน เดินเล่น นั่งชิล" เท่านั้นจริงๆ เป็นความรู้สึกอยากพักผ่อนกับอะไรหลายๆเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต พูดเหมือนผ่านสงครามมามาก แต่จริงๆแค่เบื่อ เหงาๆ เท่านั้นแหละ ฮ่าๆๆ
เริ่มวางแผนประมาณช่วงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม เมื่อวางแผนแล้วสิ่งแรกคือจองตั๋วเครื่องบินทันที และลงตัวที่ 17-19 ตุลาคม 2560 เป็นการจองตั๋วก่อนมีแผนการท่องเที่ยวโดยตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าสิงคโปร์เป็นอย่างไร รูปร่างดีรึเปล่า น่ารักมั้ย เอ้ยย ไม่ใช่ล่ะ
Flight
17 ตุลาคม 2560 10.40 น.(ไทย) เดินทางจากดอนเมือง ถึง Changi airport เวลา 14.05 น.(สิงคโปร์) โดย แอร์เอเชีย
19 ตุลาคม 2560 22.20 น.(สิงคโปร์) เดินทางจาก Changi airport ถึง ดอนเมืองเวลา 23.45 น.(ไทย) โดย Scoot
ส่วนที่พักก็ไม่รู้ว่าที่ไหนดียังงัย ยังไม่มีข้อมูลเช่นกัน ใช้บริการ App Booking ก่อนเลย หาที่พักในตัวเมือง เดินทางสะดวก และถูก เลยมาลงตัวเป็น โฮสเทล ชื่อว่า 5Footway.inn Project Chinatown 2 รู้เพียงว่า ในตัวเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ราคาถูกด้วย โอเคเลย
มีที่พักกับตั๋วเดินทางเรียบร้อย ต่อไปก็จะหาข้อมูลว่า มีอะไรให้ทำในสิงคโปร์บ้าง ก็หาข้อมูล รีวิวต่างๆ รวมถึงถามน้องที่สนิท ลิสรายการมาเยอะมาก จนรู้สึกอยากจะเพิ่มวันอีกสองสามวัน อยากเก็บให้ครบในครั้งเดียว แต่เราก็จองไปแล้วไม่อยากเปลี่ยนอะไร เลนต้องจัดกรรเวลาที่มีเพื่อเที่ยวในที่ที่อยากจะไปให้เกิดประโยชน์สูงสุดเลยละกัน ก็ได้แผนการคร่าวๆมาว่า
วันแรกถึงไปบ่ายสอง เข้าที่พัก เดินเล่น แถวๆ Chinatown ไปชิลโซน Clarke quay
วันที่สองไปเที่ยว MacRitchie Reservoir, Singapore Botanic Gardens, Sentosa beach กลางคืนแวะช็อปที่ Marina bay sand
วันที่สาม ปั่นจักรยานที่ Punggol Waterway Park, Pulau Ubin Island, East Coast Park ปิดท้ายด้วยการชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Marina Barrage ก่อนกลับ
งบประมาณ ตั้งไว้ที่ ค่าตั๋ว+ที่พัก+300 SGD
-----------------------------------------------------------
Day 1
เดินทางไปถึงดอนเมืองโดยรถเมล์ A1 โดยขึ้นที่หน้าสวนจตุจักร ไปถึง Terminal 1 พอดี เข้าไปเช็คอินตั้งแต่แปดโมงเช้า แล้วออกมานั่งทานมื้อเช้าก่อน
เมื่อเรียบร้อยก็เข้าผ่าน ตม. เข้าไปครั้งใน ทุกอย่างเสร็จประมาณ 8.30 น. คือแบบยังมีเวลาเหลืออีกชั่วโมงกว่าๆก่อนขึ้นเครื่อง เลยไปนั่งกินกาแฟชิลๆรอละกัน เที่ยวสายชิล เราก็ต้องชิล
นั่งดื่มกาแฟร้อนไป ชมบรรยากาศสนามบินไป แต่เช้านี้เมฆเยอะ ก็กลัวเล็กน้อยว่าจะมีฝนตก พายุเข้า เพราะแพลนที่วางไว้สำหรับการเที่ยวครั้งนี้ส่วนมากจะออกนอกพื้นที่ ฝนตกนี่แย่เลย
รอไปจนถึงเกือบ 10 โมงเช้า ก็เดินไปที่ Gate 4 ซึ่งต้องเดินไปให้สุดแล้วลงชั้นล่าง คิดว่ามาก่อนเวลาสักหน่อย มาถ่ายรูปเล่นก่อนละกัน แต่พอมาถึงเกต โอ้วว ทำไมเป็นเช่นนี้ รีบไปไหนกันป้าๆลุงๆ ยังไม่ถึงเวลากันเล้ยยย อดถ่ายรูปเรยเรา = =
พอถึงเวลา เขาก็เรียกแถวหน้าไปก่อน ประมาณว่า Hot Seat ได้เข้าก่อน ไม่รู้ทำไมนะ เราได้ 1E เลยได้เข้าไปก่อน แซงหน้าทุกมนุษย์ป้าและลุงทั้งหมดไปเลย เขาก็มองหน้าและบ่นเบาๆ เราแคร์รึ ไม่เลย เดินเชิดเข้าไปคนแรกๆๆเลย 5555
พอขึ้นรถบัส ก็พาไปยังเครื่อง เย้ๆๆๆ มาถึงแล้ว ลำนี้ๆๆๆ เฮ้ยยยยย!!!!!
ลำนี้ๆๆๆๆ เฮ้ยยยยย!!!!!
ลำนี้ๆๆๆ เฮ้ยยยยย!!!!! ถูกแล้ววววว 55555
ที่นั่งหน้าสุดนี่ลำบากเหมือนกันนะ ถ้ามองไปสิบนาฬิกาก็จะเจอหน้าแอร์ทั้งสอง เขิลเบาๆๆ 5555 มองท้องฟ้าละกันแก้เขิล
ประมาณสองชั่วโมงครึ่งที่โบยบิน ในที่สุดก็ได้มาถึง Changi Airport เป็นสนามบินแรกที่ได้มีโอกาสดูสารคดีตอนสร้าง รู้สึกว่าอลังการมากๆๆ พอมาถึงจริงก็เป็นแบบที่คิดไว้เลย สนามบินที่ดีที่สุดในโลก ^^
วันนี้คนไม่เยอะมาก ใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็ผ่าน ตม. เจ้าหน้าที่ไม่ถามอะไรเลย ยิ้มให้ด้วย เราเลยขอลูกอมที่แจกมาด้วย ไม่รู้ว่าแจกไหม แต่เห็นวางให้หยิบฟรี ฮ่าๆๆ
หลังจากผ่าน ตม. ก็ต้องหาหนทางไปยัง Terminal 2 ให้ได้ เพราะมีรถไฟฟ้า MRT บริการเข้าเมือง แต่ตอนนั้นอยู่ Terminal 1 และวิธีไปแบบเร็วที่สุดคือ Skytrain และการเดินไป Skytrain ที่เร็วที่สุดคือเดินดูป้ายนำทาง (ตอนแรกเราเดินตามความรู้สึก หลงเลย 5555) พอมาถึง Terminal 2 ก็เดินไปยัง MRT ส่วนเรื่องตั๋วแนะนำ EZ-link เพราะสะดวกดี ค่าธรรมเนียมอาจจะแพงหน่อย 5$(เริ่มต้นจ่าย 12$ เป็นค่าบัตร 5$ และเงินในบัตรที่สามารถใช้จ่ายได้ 7$) แต่สะดวกนะ ซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ MRT ได้เลย
(สำหรับคนไม่เก่งภาษาอังกฤษ พยายามสื่อให้ได้ว่า เราต้องการอะไร เขาจะช่วยเหลือเราอย่างดี อีกเรื่องที่ชอบในที่นี่)
นี่เป็นบัตร EZ-link ซึ่งมีหลายลายมาก เจ้าหน้าที่มีถามด้วย ชอบแบบไหน เราบอกว่าคิตตี้มีไหม เขาว่าไม่มี เลยเอาอะไรก็ได้ ฮ่าๆๆๆ
อีกใบเป็น Sands rewards lifestyle คล้ายๆกับบัตรส่วนลดจากห้างในบริเวณ marina bay sands ไปช็อปปิ้งจะได้ส่วนลด หรือทานอาหาร นวดสปา เอ็นเตอร์เทน และอีกหลายเรื่อง สนใจเข้าไปดูข้อมูลเว็บ marina bay sands ได้เลย
นั่งMRT จากสถานี Changi Airport มาเปลี่ยนขบวนที่ Tanah Merah นั่งต่อไปยังสถานี Bugis เปลี่ยนเป็นสายสีนำเงิน(Downtown) ไปออกที่สถานี Chinatown ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจำไม่ได้ละว่าออกทางออกไหน 555 แต่สถานีนี้มันเล็กๆ ออกทางไหนก็ไม่ต่างกันมาก นี่คือภาพแรกในเมืองสิงคโปร์ แฮ่ๆๆ
เดินประมาณ 200 เมตร ก็ถึงที่พัก คือใกล้มากๆๆ ที่พักทำเลดี ที่นี่มีทั้งห้องส่วนตัว และห้องรวม แต่ความเป็นส่วนตัวถือว่าน้อยไปหน่อย แต่ถ้าเทียบคุณภาพที่พักกับราคา ถือว่าโอเคนะ (ซื้อในราคาโปรโมชั่น ของ Booking ในราคา 35.6$ รวมภาษี) เมื่อเช็คอิน เขาจะมีวางมัดจำเพิ่ม 20$ และจะให้คืนตอนเช็คเอ้า
นี่เป็นบรรยากาศบ่ายสี่โมง South Bridge Road ยังร้อนอยู่เลย เข้าไปพักในโรงแรมก่อนละกัน
ภายในห้องพัก 6 เตียง เตียงสองชั่นสอง และเตียงบนอีกสอง ซึ่งต้องขึ้นบันใดข้างๆ ลืมถ่ายมา ฮ่าๆๆ มีล็อกเกอร์เก็บของใต้เตียง ต้องใช้คีย์การ์ดสแกนเพิ่มใช้เก็บของได้
นั่งพักเหนื่อยได้แปปนึง ก็ไปเที่ยวเถอะ ไม่ได้มานอนนะ ฮ่าๆๆ ตอนนั้นก็ 16.40 ล่ะ อากาศยังไม่หายร้อน ต้นไม้เยอะ มีตึกเยอะ มีที่บังแดดและลมพัดตลอด รู้สึกว่าสบายดี
เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆจนถึงโซน Clarke quay สังเกตุตึก UOB เพราะน่าจะสูงที่สุดในแถบนี้เดินมาเรื่อยๆเจอ ร้าน 7-11 เลยแวะมาซื้อซิมการ์ดก่อนเลย
Singtel tourist ราคา 15$ (มีอายุใช้งาน 7 วัน)
- โทรในสิงคโปร์ 500 นาที/ต่างประเทศ 30 นาที
- ใช้อินเตอร์เน็ต 100GB
- Social Media ฟรี WhatsApp, Facebook, WeChat, Line
ถือว่าโอเคนะ เข้าป่าก็มีสัญญาณ แหะๆๆๆ เมื่อบอกพนักงานซื้อซิม เขาก็จะเปิดสัญญาณให้ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เขาก็แนะนำวิธีใช้งานทั้งหมด แล้วก็เริ่มใช้งานได้เลย
ได้ซิมการ์ดแล้วมาเดินเล่นโซนบาร์ คาเฟ่ Clarke quay ริมแม่น้ำสิงคโปร์ เดินชิลไปเรื่อยๆ พอเหนื่อยมานั่งกินมื้อเย็น เป็นร้านเล็กๆ มีดนตรีสากลเก่าๆ เปิดเบาๆ เปิดบอลให้ดู(น่าจะรีรัน) แต่ราคาไม่เบาเท่าไหร่ เอาเหอะ มาแล้วก็ต้องลอง (คำนี้อีกแล้ว 5555)
เมื่ออิ่มกับมื้อเย็นอันแสนอบอุ่นคล้าวเสียงเพลงเก่าๆ มันฟินจริงๆว่าไหม ยิ่งค่ำลงคนเริ่มมากขึ้น บรรยากาศคึกคักมากขึ้น ก็ออกจากร้านไปเดินเล่นเลียบริมน้ำไปเรื่อยๆ ไปทางโรงแรม Fullerton จะมีสะพาน เดินไปเรื่อยๆจะไปถึง Merlion ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายรูปที่ทุกคนมาสิงคโปร์ต้องถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก ยกเว้นเรานี่แหละ 55555
*ทริปนี้ใช้กล้องจากมือถือ Samsung J7 (2015) ล้วนๆๆ ทำให้ถ่ายบรรยากาศกลางคืนได้แย่มาก เลยไม่ลงดีกว่า ฮ่าๆ
สำหรับวันแรกก็เดินเล่นซะมากกว่า เก็บบรรยากาศ สังเกตผู้คน วิถีชีวิตคนเมืองเล็กๆที่เจริญสุดในแถบนี้ ว่าเป็นอย่างไร ทำให้รู้ว่า เมืองสิงคโปร์ เป็นเมืองที่ชิลมากๆๆๆๆ ทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำ(ถ้าไม่ผิดกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ) ผู้คนให้ความช่วยเหลือที่ดีมาก และเป็นประเทศที่ปลอดภัยมากด้วย ชอบตรงนี้ที่สุด
ภาพบรรยากาศของวันแรกเลยจบที่นี่ละกันนะ แสงสุดท้ายที่กระทบกับผืนน้ำ มันช่างดูอบอุ่นจริง ^^
SINGAPORE TRIP 2017 เดินเล่นเบาๆ นั่งชิลสบายๆ ครั้งแรกในสิงคโปร์
ทริปนี้จะมีคีย์เวิร์ดแค่ "ต่างประเทศ ใกล้บ้าน เดินเล่น นั่งชิล" เท่านั้นจริงๆ เป็นความรู้สึกอยากพักผ่อนกับอะไรหลายๆเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต พูดเหมือนผ่านสงครามมามาก แต่จริงๆแค่เบื่อ เหงาๆ เท่านั้นแหละ ฮ่าๆๆ
เริ่มวางแผนประมาณช่วงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม เมื่อวางแผนแล้วสิ่งแรกคือจองตั๋วเครื่องบินทันที และลงตัวที่ 17-19 ตุลาคม 2560 เป็นการจองตั๋วก่อนมีแผนการท่องเที่ยวโดยตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าสิงคโปร์เป็นอย่างไร รูปร่างดีรึเปล่า น่ารักมั้ย เอ้ยย ไม่ใช่ล่ะ
Flight
17 ตุลาคม 2560 10.40 น.(ไทย) เดินทางจากดอนเมือง ถึง Changi airport เวลา 14.05 น.(สิงคโปร์) โดย แอร์เอเชีย
19 ตุลาคม 2560 22.20 น.(สิงคโปร์) เดินทางจาก Changi airport ถึง ดอนเมืองเวลา 23.45 น.(ไทย) โดย Scoot
ส่วนที่พักก็ไม่รู้ว่าที่ไหนดียังงัย ยังไม่มีข้อมูลเช่นกัน ใช้บริการ App Booking ก่อนเลย หาที่พักในตัวเมือง เดินทางสะดวก และถูก เลยมาลงตัวเป็น โฮสเทล ชื่อว่า 5Footway.inn Project Chinatown 2 รู้เพียงว่า ในตัวเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ราคาถูกด้วย โอเคเลย
มีที่พักกับตั๋วเดินทางเรียบร้อย ต่อไปก็จะหาข้อมูลว่า มีอะไรให้ทำในสิงคโปร์บ้าง ก็หาข้อมูล รีวิวต่างๆ รวมถึงถามน้องที่สนิท ลิสรายการมาเยอะมาก จนรู้สึกอยากจะเพิ่มวันอีกสองสามวัน อยากเก็บให้ครบในครั้งเดียว แต่เราก็จองไปแล้วไม่อยากเปลี่ยนอะไร เลนต้องจัดกรรเวลาที่มีเพื่อเที่ยวในที่ที่อยากจะไปให้เกิดประโยชน์สูงสุดเลยละกัน ก็ได้แผนการคร่าวๆมาว่า
วันแรกถึงไปบ่ายสอง เข้าที่พัก เดินเล่น แถวๆ Chinatown ไปชิลโซน Clarke quay
วันที่สองไปเที่ยว MacRitchie Reservoir, Singapore Botanic Gardens, Sentosa beach กลางคืนแวะช็อปที่ Marina bay sand
วันที่สาม ปั่นจักรยานที่ Punggol Waterway Park, Pulau Ubin Island, East Coast Park ปิดท้ายด้วยการชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Marina Barrage ก่อนกลับ
งบประมาณ ตั้งไว้ที่ ค่าตั๋ว+ที่พัก+300 SGD
-----------------------------------------------------------
Day 1
เดินทางไปถึงดอนเมืองโดยรถเมล์ A1 โดยขึ้นที่หน้าสวนจตุจักร ไปถึง Terminal 1 พอดี เข้าไปเช็คอินตั้งแต่แปดโมงเช้า แล้วออกมานั่งทานมื้อเช้าก่อน
เมื่อเรียบร้อยก็เข้าผ่าน ตม. เข้าไปครั้งใน ทุกอย่างเสร็จประมาณ 8.30 น. คือแบบยังมีเวลาเหลืออีกชั่วโมงกว่าๆก่อนขึ้นเครื่อง เลยไปนั่งกินกาแฟชิลๆรอละกัน เที่ยวสายชิล เราก็ต้องชิล
นั่งดื่มกาแฟร้อนไป ชมบรรยากาศสนามบินไป แต่เช้านี้เมฆเยอะ ก็กลัวเล็กน้อยว่าจะมีฝนตก พายุเข้า เพราะแพลนที่วางไว้สำหรับการเที่ยวครั้งนี้ส่วนมากจะออกนอกพื้นที่ ฝนตกนี่แย่เลย
รอไปจนถึงเกือบ 10 โมงเช้า ก็เดินไปที่ Gate 4 ซึ่งต้องเดินไปให้สุดแล้วลงชั้นล่าง คิดว่ามาก่อนเวลาสักหน่อย มาถ่ายรูปเล่นก่อนละกัน แต่พอมาถึงเกต โอ้วว ทำไมเป็นเช่นนี้ รีบไปไหนกันป้าๆลุงๆ ยังไม่ถึงเวลากันเล้ยยย อดถ่ายรูปเรยเรา = =
พอถึงเวลา เขาก็เรียกแถวหน้าไปก่อน ประมาณว่า Hot Seat ได้เข้าก่อน ไม่รู้ทำไมนะ เราได้ 1E เลยได้เข้าไปก่อน แซงหน้าทุกมนุษย์ป้าและลุงทั้งหมดไปเลย เขาก็มองหน้าและบ่นเบาๆ เราแคร์รึ ไม่เลย เดินเชิดเข้าไปคนแรกๆๆเลย 5555
พอขึ้นรถบัส ก็พาไปยังเครื่อง เย้ๆๆๆ มาถึงแล้ว ลำนี้ๆๆๆ เฮ้ยยยยย!!!!!
ลำนี้ๆๆๆๆ เฮ้ยยยยย!!!!!
ลำนี้ๆๆๆ เฮ้ยยยยย!!!!! ถูกแล้ววววว 55555
ที่นั่งหน้าสุดนี่ลำบากเหมือนกันนะ ถ้ามองไปสิบนาฬิกาก็จะเจอหน้าแอร์ทั้งสอง เขิลเบาๆๆ 5555 มองท้องฟ้าละกันแก้เขิล
ประมาณสองชั่วโมงครึ่งที่โบยบิน ในที่สุดก็ได้มาถึง Changi Airport เป็นสนามบินแรกที่ได้มีโอกาสดูสารคดีตอนสร้าง รู้สึกว่าอลังการมากๆๆ พอมาถึงจริงก็เป็นแบบที่คิดไว้เลย สนามบินที่ดีที่สุดในโลก ^^
วันนี้คนไม่เยอะมาก ใช้เวลาแค่ 10 นาทีก็ผ่าน ตม. เจ้าหน้าที่ไม่ถามอะไรเลย ยิ้มให้ด้วย เราเลยขอลูกอมที่แจกมาด้วย ไม่รู้ว่าแจกไหม แต่เห็นวางให้หยิบฟรี ฮ่าๆๆ
หลังจากผ่าน ตม. ก็ต้องหาหนทางไปยัง Terminal 2 ให้ได้ เพราะมีรถไฟฟ้า MRT บริการเข้าเมือง แต่ตอนนั้นอยู่ Terminal 1 และวิธีไปแบบเร็วที่สุดคือ Skytrain และการเดินไป Skytrain ที่เร็วที่สุดคือเดินดูป้ายนำทาง (ตอนแรกเราเดินตามความรู้สึก หลงเลย 5555) พอมาถึง Terminal 2 ก็เดินไปยัง MRT ส่วนเรื่องตั๋วแนะนำ EZ-link เพราะสะดวกดี ค่าธรรมเนียมอาจจะแพงหน่อย 5$(เริ่มต้นจ่าย 12$ เป็นค่าบัตร 5$ และเงินในบัตรที่สามารถใช้จ่ายได้ 7$) แต่สะดวกนะ ซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ MRT ได้เลย
(สำหรับคนไม่เก่งภาษาอังกฤษ พยายามสื่อให้ได้ว่า เราต้องการอะไร เขาจะช่วยเหลือเราอย่างดี อีกเรื่องที่ชอบในที่นี่)
นี่เป็นบัตร EZ-link ซึ่งมีหลายลายมาก เจ้าหน้าที่มีถามด้วย ชอบแบบไหน เราบอกว่าคิตตี้มีไหม เขาว่าไม่มี เลยเอาอะไรก็ได้ ฮ่าๆๆๆ
อีกใบเป็น Sands rewards lifestyle คล้ายๆกับบัตรส่วนลดจากห้างในบริเวณ marina bay sands ไปช็อปปิ้งจะได้ส่วนลด หรือทานอาหาร นวดสปา เอ็นเตอร์เทน และอีกหลายเรื่อง สนใจเข้าไปดูข้อมูลเว็บ marina bay sands ได้เลย
นั่งMRT จากสถานี Changi Airport มาเปลี่ยนขบวนที่ Tanah Merah นั่งต่อไปยังสถานี Bugis เปลี่ยนเป็นสายสีนำเงิน(Downtown) ไปออกที่สถานี Chinatown ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจำไม่ได้ละว่าออกทางออกไหน 555 แต่สถานีนี้มันเล็กๆ ออกทางไหนก็ไม่ต่างกันมาก นี่คือภาพแรกในเมืองสิงคโปร์ แฮ่ๆๆ
เดินประมาณ 200 เมตร ก็ถึงที่พัก คือใกล้มากๆๆ ที่พักทำเลดี ที่นี่มีทั้งห้องส่วนตัว และห้องรวม แต่ความเป็นส่วนตัวถือว่าน้อยไปหน่อย แต่ถ้าเทียบคุณภาพที่พักกับราคา ถือว่าโอเคนะ (ซื้อในราคาโปรโมชั่น ของ Booking ในราคา 35.6$ รวมภาษี) เมื่อเช็คอิน เขาจะมีวางมัดจำเพิ่ม 20$ และจะให้คืนตอนเช็คเอ้า
นี่เป็นบรรยากาศบ่ายสี่โมง South Bridge Road ยังร้อนอยู่เลย เข้าไปพักในโรงแรมก่อนละกัน
ภายในห้องพัก 6 เตียง เตียงสองชั่นสอง และเตียงบนอีกสอง ซึ่งต้องขึ้นบันใดข้างๆ ลืมถ่ายมา ฮ่าๆๆ มีล็อกเกอร์เก็บของใต้เตียง ต้องใช้คีย์การ์ดสแกนเพิ่มใช้เก็บของได้
นั่งพักเหนื่อยได้แปปนึง ก็ไปเที่ยวเถอะ ไม่ได้มานอนนะ ฮ่าๆๆ ตอนนั้นก็ 16.40 ล่ะ อากาศยังไม่หายร้อน ต้นไม้เยอะ มีตึกเยอะ มีที่บังแดดและลมพัดตลอด รู้สึกว่าสบายดี
เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆจนถึงโซน Clarke quay สังเกตุตึก UOB เพราะน่าจะสูงที่สุดในแถบนี้เดินมาเรื่อยๆเจอ ร้าน 7-11 เลยแวะมาซื้อซิมการ์ดก่อนเลย
Singtel tourist ราคา 15$ (มีอายุใช้งาน 7 วัน)
- โทรในสิงคโปร์ 500 นาที/ต่างประเทศ 30 นาที
- ใช้อินเตอร์เน็ต 100GB
- Social Media ฟรี WhatsApp, Facebook, WeChat, Line
ถือว่าโอเคนะ เข้าป่าก็มีสัญญาณ แหะๆๆๆ เมื่อบอกพนักงานซื้อซิม เขาก็จะเปิดสัญญาณให้ ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เขาก็แนะนำวิธีใช้งานทั้งหมด แล้วก็เริ่มใช้งานได้เลย
ได้ซิมการ์ดแล้วมาเดินเล่นโซนบาร์ คาเฟ่ Clarke quay ริมแม่น้ำสิงคโปร์ เดินชิลไปเรื่อยๆ พอเหนื่อยมานั่งกินมื้อเย็น เป็นร้านเล็กๆ มีดนตรีสากลเก่าๆ เปิดเบาๆ เปิดบอลให้ดู(น่าจะรีรัน) แต่ราคาไม่เบาเท่าไหร่ เอาเหอะ มาแล้วก็ต้องลอง (คำนี้อีกแล้ว 5555)
เมื่ออิ่มกับมื้อเย็นอันแสนอบอุ่นคล้าวเสียงเพลงเก่าๆ มันฟินจริงๆว่าไหม ยิ่งค่ำลงคนเริ่มมากขึ้น บรรยากาศคึกคักมากขึ้น ก็ออกจากร้านไปเดินเล่นเลียบริมน้ำไปเรื่อยๆ ไปทางโรงแรม Fullerton จะมีสะพาน เดินไปเรื่อยๆจะไปถึง Merlion ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายรูปที่ทุกคนมาสิงคโปร์ต้องถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก ยกเว้นเรานี่แหละ 55555
*ทริปนี้ใช้กล้องจากมือถือ Samsung J7 (2015) ล้วนๆๆ ทำให้ถ่ายบรรยากาศกลางคืนได้แย่มาก เลยไม่ลงดีกว่า ฮ่าๆ
สำหรับวันแรกก็เดินเล่นซะมากกว่า เก็บบรรยากาศ สังเกตผู้คน วิถีชีวิตคนเมืองเล็กๆที่เจริญสุดในแถบนี้ ว่าเป็นอย่างไร ทำให้รู้ว่า เมืองสิงคโปร์ เป็นเมืองที่ชิลมากๆๆๆๆ ทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำ(ถ้าไม่ผิดกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ) ผู้คนให้ความช่วยเหลือที่ดีมาก และเป็นประเทศที่ปลอดภัยมากด้วย ชอบตรงนี้ที่สุด
ภาพบรรยากาศของวันแรกเลยจบที่นี่ละกันนะ แสงสุดท้ายที่กระทบกับผืนน้ำ มันช่างดูอบอุ่นจริง ^^