ทริปนี้ตั้งใจจะไปนั่งสวดมนต์กัน ณ มหาเจดีย์ชเวดากอง ก็แลกตั๋วปีกแดง 2 คน และเพิ่มเงินอีกคนละ 1,830.90 บาท จองที่พักจาก agoda ใช้ส่วนลดจากบัตรเครดิต โชคดีที่ scb ลดให้ 10% และใช้ส่วนลดจากแต้มใน agoda รวมที่พัก ณ Lavender Hotel 3 วัน 2 คืน รวมเป็น 1,535 รวมอาหารเช้า Triple Room มีสองเตียง ๆ เล็กกับเตียงใหญ่
เราเดินทางกันวันที่ 14 ตุลาคม 2560 ฝนตกตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ สงสารรถมาก คุณสามีมีทริปนัดมิตติ้งกับเพื่อนเขาที่จังหวัดบุรีรัมย์ การไปส่งเราเลยถือว่าเป็นทางผ่าน ลุยน้ำเข้าช่วงวิภาวดีสาหัสมาก อีกฝั่งรถติดยาว กว่าจะหลุดพ้นน้ำไปได้ ดีนะที่ออกมาแต่เช้า เราบินเที่ยง ได้มีเวลาไม่ต้องใจหายใจคว่ำว่าจะตกเครื่อง
เราแลกเงินที่เคาน์เตอร์ SCB กะใช้ 0% 3 เดือน กะจะแลกไว้เผื่อไปอียิปต์กับไต้หวันในเดือนพฤศจิกายนด้วย แต่คราวนี้ไม่มีของแถม ๆ แต่ประกันการเดินทางไม่อยากได้ เลยใช้เงินสดแลกมา 150 ดอลล่าร์ กะเอาดอลล่าร์ไปแลกจ๊าด แล้วเดือนหน้าค่อยมารูด 0% 3 เดือน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
นัดน้องที่ไปด้วยเจอกันที่ King Power Lounge เลย พอไปถึงยื่นใบที่เรา Check in กับเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปผ่าน ตม. เขาแจ้งว่าต้องไปที่เครื่องด้านนอกประตูทางเข้าที่ 2 ไปกดตั๋วจากเครื่องออกมาแนบกับพาสปอร์ต ตายละ ไม่เคยทำ

เพราะเวลาบินทุกครั้งจะต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ประหยัดไม่ยอมซื้อ ด้วยกะว่าจะไม่ซื้ออะไรเลย 555 ไอ้ที่ว่าจะ ๆ ไม่ซื้ออะไรเลยเนี่ย มันซื้อกันได้ทุกคนซิน่า เอาหวะไปงมอยู่ตั้งนานกว่าจะได้ตั๋วออกมา ก็ไลน์บอกน้องที่กำลังตามว่าต้องทำอะไรมั่ง บอกขั้นตอนไป แล้วเราก็เข้าไปกะไปนั่งรอให้สบายที่ King Power Lounge เราก็ถามเขาว่าสามารถเข้าไปได้เลยไหม เพราะเราบินเที่ยง ซึ่งตอนนั้นประมาณ 8 โมงกว่า เจ้าหน้าที่เขาบอกว่าสามารถนั่งได้คนละ 2 ชั่วโมง เราก็เลยคำนวณเวลา ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปนั่งรอข้างนอกก่อนก็ได้ สักเก้าโมงค่อยเข้ามาใหม่
พอเก้าโมงเราก็มายื่นบัตรของ scb เพื่อเข้าไปด้านใน เข้าไปนั่งชาร์ทแบตรอน้อง ซึ่งกะลังเดินเข้ามา ระหว่างรอ ก็ชิว ๆ กับอาหารว่างที่มีอยู่

จากที่หิว ๆ อิ่มเลย ทริปนี้ก่อนเดินทาง เราซื้ออาหารบนเครื่องกันทั้งไปและกลับ ซื้อก่อนขึ้นเครื่องถูกกว่าซื้อบนเครื่องนะคะ
พอ 11 โมงเราก็ออกจาก Lounge เพื่อไปเตรียมตัวเข้าห้องน้ำ พอเดินออกมาได้หน่อยหนึ่ง รองเท้า School มันทรยศ ไม่อยากไปพม่าก็ไม่บอก T-T อ้าปากเฉยเลย ทำไงดี เลยต้องเสียตังซื้อรองเท้าใหม่อีกคู่ adidas ลดแล้วเหลือ 940 บาท
รอบนี้ระหว่างการเดินทางเครื่องสั่น ฮวบขึ้น ฮวบลง น่ากลัวมาก ได้แต่มองหน้ากัน แล้วไม่พูดอะไร เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป และเราก็ผ่านมันมาได้อย่างปลอดภัย
หลังเครื่องลงเราก็ไปแลกเงินจ๊าดกัน ใช้เงินบาทแลกได้ เราเลยตัดสินใจเก็บดอลล่าร์ไว้ และใช้เงินไทย 3,000 บาท แลกจ๊าด ได้มา 117,500 จ๊าด แล้วก็มาดำเนินการซื้อซิมกันต่อ ราคาซิมที่นี่ไม่แพง เราซื้อซิม 2 GB ราคา 4,500 จ๊าด ขณะออนเกือบตลอดเวลา เพราะ Wifi ที่โรงแรมไม่ค่อยเวิร์ค ยังเหลือเป็นพันกว่า MB ยังมีเหลืออยู่หลาย MB และจะหมดในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ใครจะไปพม่าในช่วงนี้ติดต่อขอรับไปใช้ต่อได้นะคะ ให้ฟรีคะ ถ้าจะนัดรับที่สนามบินดอนเมืองได้ในวันที่ 23 จะบินไปตรังคะ เที่ยว 13.00 น. นัดเจอที่ King Power Lounge ได้คะ (เป็นรางวัลสำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ และกำลังจะเดินทางไปพม่า)
** ถ้าไปเที่ยวแบบเรา 3 วัน 2 คืน ไม่ต้องเอาหลายกิ๊ก ซื้อซิมการ์ดราคาต่ำกว่านี้จะประหยัดกว่า **
ออกจากสนามบินเราก็ต้องพบกับแท็กซี่ที่ขูดราคาเราในการเดินทางเข้าเมือง มีราคาตั้งแต่ 8,000 - 10,000 จ๊าด ด้วยไม่มีใครเคยรีวิวไว้ว่าราคามันควรสักเท่าไหร่ เราก็ต่อรอง กว่าจะได้ออกจากสนามบินก็พอสมควร พวกที่ขูดเราไม่ได้กินเงินเรา เพราะมีแท็กซี่คนหนึ่งเดินเข้ามาถามเราว่าไปไหน พอบอกเขาก็บอกว่า 6,000 จ๊าด เราก็ OK นั่งรถมาก็ไกลเหมือนกัน
อัตราแลกเปลี่ยนตอนเราไป เราคิดค่าเงินกันให้ง่าย 1,000 จ๊าด = 40 บาท

โรงแรมที่เราพัก เราอ่านรีวิวมาจากในเน็ตบอกว่าอยู่ใกล้มหาเจดีย์ชเวดากองมาก และติดกับตลาด ๆ อยู่หน้าโรงแรมเลย ไปรอบนี้ เราเตรียมน้ำพริกและมาม่าไปกินกัน ซื้อข้าวสวยแถว ๆ ที่พัก ไม่แพงประมาณ 150 - 200 จ๊าด ประหยัดค่ากินไปได้แยะเลย อาหารเช้าพอกินได้ ขนมปังเขาเนื้อแน่นมาก ไข่ดาวเห็นแล้วอยากไปทอดแทน 555 มาเที่ยวมันก็ต้องมีลำบากบ้าง มีคนบอกว่าถ้าอยากสะดวกสบายก็ต้องอยู่บ้านจ๊ะ

วิวจากห้องพัก

พักสักพัก เราก็เริ่มศึกษาแผนที่ที่ได้จากโรงแรม ตั้งใจจะไปดูวิถีชีวิตของคนที่นี่ด้วยการไปเดิน Night Market เราก็ลงไปถามเจ้าหน้าที่ที่ฟร้อนท์ ภาษาเราก็อ่อนแอ เขาก็เขียนโน้ตให้เรา 2 ใบ ๆ แรกเป็นที่ที่เราจะไป เขาแนะนำให้ไป China Town และใบที่สองเป็นที่อยู่โรงแรม เป็นภาษาพม่า เขาบอกว่าค่ารถประมาณ 2,000 จ๊าด เราก็เดินออกจากโรงแรม เจอวัดฝั่งตรงข้ามก็ข้ามไปไหว้พระ และถ่ายรูป

แล้วก็เดินออกไปทางซ้ายของวัด ไปเรียกแท็กซี่ เราเห็นมีรถเมล์ แต่ไม่มีข้อมูล ป้ายรถก็มีแต่ภาษาพม่า
จากแผนที่ในย่างกุ้ง ๆ แบ่งออกเป็น 3 โซน Uptown, Midtown และ Downtown โรงแรมที่เราพักอยู่โซน Midtown และที่เราจะไปอยู่ Downtown นั่งแท็กซี่มาไกลมาก แล้วเขาก็จอดส่งภาษาพม่า คล้ายบอกว่าถึงแล้วและให้เราลง เราก็ลงมาแบบงง มัน China town ตรงไหน มีแต่ของขายข้างทางตามรูปเลย

มีแต่ของกินที่เห็นแล้ว ฉันกินไม่ได้แน่ ๆ

น่าตาดี แต่ทำไมไม่หอมเหมือนบ้านเราทำ

แล้วเราก็กางแผนที่ดู ข้างซ้ายมือเป็นถนนคู่ขนาน ต้องตะกายบันไดขึ้น มองไปอีกฝั่งเหมือนจะเป็นตลาด และจากแผนที่จะเป็นแม่น้ำด้วย แต่เราไม่ได้เดินข้ามไป ส่วนด้านขวามือ เป็นถนน รถวิ่งกันขวักไขว้ มืไฟเขียวไฟแดง แต่รถไม่มีจอดเลย คนข้ามต้องไปเสี่ยงตายกันกลางถนน เรากำลังคุยกัน และถามคนที่เดินมา สงสัยจะเสียงดัง 555 มีคนขับรถสองแถวมา ตะโกนถามเราด้วยภาษาไทยว่าจะไปไหน เราบอกว่า china town เราก็ชี้ไปอีกฝั่งให้เราข้ามถนนที่มีไฟเขียวไฟแดงไป เราสองคนจำต้องเสี่ยงตาย 555 ข้ามมาได้อย่างทุกลักทุเล ...

มองขึ้นไปสูง ๆ เราเห็นโรงแรม Pullman ด้วย มาถึงพม่าเลย พอข้ามไปก็เห็นตึกเก่า ๆ เหมือนจะเป็นย่านขายของส่ง ผู้คนเดินกันเยอะแยะ แบบยิ่งมืดคนยิ่งแยะ ไม่น่ากลัวเลย

กระปุกสีเขียวที่เห็นด้านล่าง ข้างในเป็นน้ำพริกกะปิ น้องที่ไปด้วย ซื้อมาลองกันติดใจซื้อกลับมาแยะเลย กระปุกละ 100 จ๊าด

อาหารบ้านเขาก็เหมือน ๆ บ้านเรา

แล้วเราก็ไปเจอซุปเปอร์มาเก็ต เป็นตึกแถว 4 - 5 ชั้น ของขายเพียบเลย มีแก้ว Starbucks ขายด้วย

แล้วเราก็เจอตุ๊กตาไขลาน น่ารักมากเลย กะเอามาขาย ตัวละ 70 บาท รวมค่าจัดส่งลงทะเบียน ใครสนใจสั่งได้นะคะ

เจอห้างเล็ก ๆ แวะซื้อของฝากน้องสาว ๆ สั่งมาขนมตุ๊บตั๊บตัวนี้อร่อย เราซื้อมา 1,050 จ๊าด แต่ที่ตลาดหน้าที่พัก ขาย 1,000 จ๊าด ใครไปซื้อให้ถูกราคานะคะ

เขามีตู้น้ำสาธารณะด้วยนะ มีเกือบตลอดทางเป็นระยะ ๆ

แล้วเราก็มาสุดทางที่เจดีย์ซูเล เราก็เดินเข้าไปกะขึ้นไปไหว้พระ เห็นมาว่ามืดเลย พอเดินขึ้นไปก็มีคนเดินมาจะเก็บเงินค่าเข้าชม ตอนนั้นเราเริ่มเมื่อย และเริ่มหงุดหงิด อะไรของมัน ไม่อยากจ่าย เราเลยลงไม่จ่ายเงินด้วย ออกมาก็ส่งโพ้ยที่โรงแรมให้มายื่นให้แท็กซี่ ๆ ดูแล้วก็ส่ายหน้า ตายละกรู จะกลับถูกไหมเนี่ย พูดภาษาอังกฤษไปก็ไม่รู้เรือง ก้อมีคนพม่าท่าทางเหมือนจะเป็นไกด์เข้ามาให้ความช่วยเหลือ และส่งภาษากับแท็กซี่ ๆ ก็พยักหน้า เราก็ขึ้นรถคิดว่าถึงที่พักแน่คราวนี้ แต่ที่ไหนได้ มาเทเลยตรงทางขึ้นมหาเจดีย์ชเวดากองช่วงกลาง ทางขึ้นจะมีช่วงกลางเป็นถนน รถสามารถขึ้นไปถึงได้ เราต้องดู Google Map ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ๆ ต้องเข้าไปถามคนโบกรถ เอาโพ้ยให้เขาดู เขากี้ให้เราเดินลงบันไดแล้วเลี้ยวซ้าย ในที่สุดเราก็ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ อย่างน้อยก็ยังเจอคนดี ๆ ในระหว่างทาง ณ ต่างแดน นี่แระคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทางที่ได้รับเสมอมา วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะค่ะ พรุ่งนี้จะมาต่อวันที่สองคะ
>>> ตอนต่อไป >>>
https://pantip.com/topic/37000633
[CR] Mynmar: The Golden Land
เราเดินทางกันวันที่ 14 ตุลาคม 2560 ฝนตกตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ สงสารรถมาก คุณสามีมีทริปนัดมิตติ้งกับเพื่อนเขาที่จังหวัดบุรีรัมย์ การไปส่งเราเลยถือว่าเป็นทางผ่าน ลุยน้ำเข้าช่วงวิภาวดีสาหัสมาก อีกฝั่งรถติดยาว กว่าจะหลุดพ้นน้ำไปได้ ดีนะที่ออกมาแต่เช้า เราบินเที่ยง ได้มีเวลาไม่ต้องใจหายใจคว่ำว่าจะตกเครื่อง
เราแลกเงินที่เคาน์เตอร์ SCB กะใช้ 0% 3 เดือน กะจะแลกไว้เผื่อไปอียิปต์กับไต้หวันในเดือนพฤศจิกายนด้วย แต่คราวนี้ไม่มีของแถม ๆ แต่ประกันการเดินทางไม่อยากได้ เลยใช้เงินสดแลกมา 150 ดอลล่าร์ กะเอาดอลล่าร์ไปแลกจ๊าด แล้วเดือนหน้าค่อยมารูด 0% 3 เดือน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
นัดน้องที่ไปด้วยเจอกันที่ King Power Lounge เลย พอไปถึงยื่นใบที่เรา Check in กับเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปผ่าน ตม. เขาแจ้งว่าต้องไปที่เครื่องด้านนอกประตูทางเข้าที่ 2 ไปกดตั๋วจากเครื่องออกมาแนบกับพาสปอร์ต ตายละ ไม่เคยทำ
เพราะเวลาบินทุกครั้งจะต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ประหยัดไม่ยอมซื้อ ด้วยกะว่าจะไม่ซื้ออะไรเลย 555 ไอ้ที่ว่าจะ ๆ ไม่ซื้ออะไรเลยเนี่ย มันซื้อกันได้ทุกคนซิน่า เอาหวะไปงมอยู่ตั้งนานกว่าจะได้ตั๋วออกมา ก็ไลน์บอกน้องที่กำลังตามว่าต้องทำอะไรมั่ง บอกขั้นตอนไป แล้วเราก็เข้าไปกะไปนั่งรอให้สบายที่ King Power Lounge เราก็ถามเขาว่าสามารถเข้าไปได้เลยไหม เพราะเราบินเที่ยง ซึ่งตอนนั้นประมาณ 8 โมงกว่า เจ้าหน้าที่เขาบอกว่าสามารถนั่งได้คนละ 2 ชั่วโมง เราก็เลยคำนวณเวลา ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปนั่งรอข้างนอกก่อนก็ได้ สักเก้าโมงค่อยเข้ามาใหม่
พอเก้าโมงเราก็มายื่นบัตรของ scb เพื่อเข้าไปด้านใน เข้าไปนั่งชาร์ทแบตรอน้อง ซึ่งกะลังเดินเข้ามา ระหว่างรอ ก็ชิว ๆ กับอาหารว่างที่มีอยู่
จากที่หิว ๆ อิ่มเลย ทริปนี้ก่อนเดินทาง เราซื้ออาหารบนเครื่องกันทั้งไปและกลับ ซื้อก่อนขึ้นเครื่องถูกกว่าซื้อบนเครื่องนะคะ
พอ 11 โมงเราก็ออกจาก Lounge เพื่อไปเตรียมตัวเข้าห้องน้ำ พอเดินออกมาได้หน่อยหนึ่ง รองเท้า School มันทรยศ ไม่อยากไปพม่าก็ไม่บอก T-T อ้าปากเฉยเลย ทำไงดี เลยต้องเสียตังซื้อรองเท้าใหม่อีกคู่ adidas ลดแล้วเหลือ 940 บาท
รอบนี้ระหว่างการเดินทางเครื่องสั่น ฮวบขึ้น ฮวบลง น่ากลัวมาก ได้แต่มองหน้ากัน แล้วไม่พูดอะไร เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป และเราก็ผ่านมันมาได้อย่างปลอดภัย
หลังเครื่องลงเราก็ไปแลกเงินจ๊าดกัน ใช้เงินบาทแลกได้ เราเลยตัดสินใจเก็บดอลล่าร์ไว้ และใช้เงินไทย 3,000 บาท แลกจ๊าด ได้มา 117,500 จ๊าด แล้วก็มาดำเนินการซื้อซิมกันต่อ ราคาซิมที่นี่ไม่แพง เราซื้อซิม 2 GB ราคา 4,500 จ๊าด ขณะออนเกือบตลอดเวลา เพราะ Wifi ที่โรงแรมไม่ค่อยเวิร์ค ยังเหลือเป็นพันกว่า MB ยังมีเหลืออยู่หลาย MB และจะหมดในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ใครจะไปพม่าในช่วงนี้ติดต่อขอรับไปใช้ต่อได้นะคะ ให้ฟรีคะ ถ้าจะนัดรับที่สนามบินดอนเมืองได้ในวันที่ 23 จะบินไปตรังคะ เที่ยว 13.00 น. นัดเจอที่ King Power Lounge ได้คะ (เป็นรางวัลสำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ และกำลังจะเดินทางไปพม่า)
** ถ้าไปเที่ยวแบบเรา 3 วัน 2 คืน ไม่ต้องเอาหลายกิ๊ก ซื้อซิมการ์ดราคาต่ำกว่านี้จะประหยัดกว่า **
ออกจากสนามบินเราก็ต้องพบกับแท็กซี่ที่ขูดราคาเราในการเดินทางเข้าเมือง มีราคาตั้งแต่ 8,000 - 10,000 จ๊าด ด้วยไม่มีใครเคยรีวิวไว้ว่าราคามันควรสักเท่าไหร่ เราก็ต่อรอง กว่าจะได้ออกจากสนามบินก็พอสมควร พวกที่ขูดเราไม่ได้กินเงินเรา เพราะมีแท็กซี่คนหนึ่งเดินเข้ามาถามเราว่าไปไหน พอบอกเขาก็บอกว่า 6,000 จ๊าด เราก็ OK นั่งรถมาก็ไกลเหมือนกัน
อัตราแลกเปลี่ยนตอนเราไป เราคิดค่าเงินกันให้ง่าย 1,000 จ๊าด = 40 บาท
โรงแรมที่เราพัก เราอ่านรีวิวมาจากในเน็ตบอกว่าอยู่ใกล้มหาเจดีย์ชเวดากองมาก และติดกับตลาด ๆ อยู่หน้าโรงแรมเลย ไปรอบนี้ เราเตรียมน้ำพริกและมาม่าไปกินกัน ซื้อข้าวสวยแถว ๆ ที่พัก ไม่แพงประมาณ 150 - 200 จ๊าด ประหยัดค่ากินไปได้แยะเลย อาหารเช้าพอกินได้ ขนมปังเขาเนื้อแน่นมาก ไข่ดาวเห็นแล้วอยากไปทอดแทน 555 มาเที่ยวมันก็ต้องมีลำบากบ้าง มีคนบอกว่าถ้าอยากสะดวกสบายก็ต้องอยู่บ้านจ๊ะ
วิวจากห้องพัก
พักสักพัก เราก็เริ่มศึกษาแผนที่ที่ได้จากโรงแรม ตั้งใจจะไปดูวิถีชีวิตของคนที่นี่ด้วยการไปเดิน Night Market เราก็ลงไปถามเจ้าหน้าที่ที่ฟร้อนท์ ภาษาเราก็อ่อนแอ เขาก็เขียนโน้ตให้เรา 2 ใบ ๆ แรกเป็นที่ที่เราจะไป เขาแนะนำให้ไป China Town และใบที่สองเป็นที่อยู่โรงแรม เป็นภาษาพม่า เขาบอกว่าค่ารถประมาณ 2,000 จ๊าด เราก็เดินออกจากโรงแรม เจอวัดฝั่งตรงข้ามก็ข้ามไปไหว้พระ และถ่ายรูป
แล้วก็เดินออกไปทางซ้ายของวัด ไปเรียกแท็กซี่ เราเห็นมีรถเมล์ แต่ไม่มีข้อมูล ป้ายรถก็มีแต่ภาษาพม่า
จากแผนที่ในย่างกุ้ง ๆ แบ่งออกเป็น 3 โซน Uptown, Midtown และ Downtown โรงแรมที่เราพักอยู่โซน Midtown และที่เราจะไปอยู่ Downtown นั่งแท็กซี่มาไกลมาก แล้วเขาก็จอดส่งภาษาพม่า คล้ายบอกว่าถึงแล้วและให้เราลง เราก็ลงมาแบบงง มัน China town ตรงไหน มีแต่ของขายข้างทางตามรูปเลย
มีแต่ของกินที่เห็นแล้ว ฉันกินไม่ได้แน่ ๆ
น่าตาดี แต่ทำไมไม่หอมเหมือนบ้านเราทำ
แล้วเราก็กางแผนที่ดู ข้างซ้ายมือเป็นถนนคู่ขนาน ต้องตะกายบันไดขึ้น มองไปอีกฝั่งเหมือนจะเป็นตลาด และจากแผนที่จะเป็นแม่น้ำด้วย แต่เราไม่ได้เดินข้ามไป ส่วนด้านขวามือ เป็นถนน รถวิ่งกันขวักไขว้ มืไฟเขียวไฟแดง แต่รถไม่มีจอดเลย คนข้ามต้องไปเสี่ยงตายกันกลางถนน เรากำลังคุยกัน และถามคนที่เดินมา สงสัยจะเสียงดัง 555 มีคนขับรถสองแถวมา ตะโกนถามเราด้วยภาษาไทยว่าจะไปไหน เราบอกว่า china town เราก็ชี้ไปอีกฝั่งให้เราข้ามถนนที่มีไฟเขียวไฟแดงไป เราสองคนจำต้องเสี่ยงตาย 555 ข้ามมาได้อย่างทุกลักทุเล ...
มองขึ้นไปสูง ๆ เราเห็นโรงแรม Pullman ด้วย มาถึงพม่าเลย พอข้ามไปก็เห็นตึกเก่า ๆ เหมือนจะเป็นย่านขายของส่ง ผู้คนเดินกันเยอะแยะ แบบยิ่งมืดคนยิ่งแยะ ไม่น่ากลัวเลย
กระปุกสีเขียวที่เห็นด้านล่าง ข้างในเป็นน้ำพริกกะปิ น้องที่ไปด้วย ซื้อมาลองกันติดใจซื้อกลับมาแยะเลย กระปุกละ 100 จ๊าด
อาหารบ้านเขาก็เหมือน ๆ บ้านเรา
แล้วเราก็ไปเจอซุปเปอร์มาเก็ต เป็นตึกแถว 4 - 5 ชั้น ของขายเพียบเลย มีแก้ว Starbucks ขายด้วย
แล้วเราก็เจอตุ๊กตาไขลาน น่ารักมากเลย กะเอามาขาย ตัวละ 70 บาท รวมค่าจัดส่งลงทะเบียน ใครสนใจสั่งได้นะคะ
เจอห้างเล็ก ๆ แวะซื้อของฝากน้องสาว ๆ สั่งมาขนมตุ๊บตั๊บตัวนี้อร่อย เราซื้อมา 1,050 จ๊าด แต่ที่ตลาดหน้าที่พัก ขาย 1,000 จ๊าด ใครไปซื้อให้ถูกราคานะคะ
เขามีตู้น้ำสาธารณะด้วยนะ มีเกือบตลอดทางเป็นระยะ ๆ
แล้วเราก็มาสุดทางที่เจดีย์ซูเล เราก็เดินเข้าไปกะขึ้นไปไหว้พระ เห็นมาว่ามืดเลย พอเดินขึ้นไปก็มีคนเดินมาจะเก็บเงินค่าเข้าชม ตอนนั้นเราเริ่มเมื่อย และเริ่มหงุดหงิด อะไรของมัน ไม่อยากจ่าย เราเลยลงไม่จ่ายเงินด้วย ออกมาก็ส่งโพ้ยที่โรงแรมให้มายื่นให้แท็กซี่ ๆ ดูแล้วก็ส่ายหน้า ตายละกรู จะกลับถูกไหมเนี่ย พูดภาษาอังกฤษไปก็ไม่รู้เรือง ก้อมีคนพม่าท่าทางเหมือนจะเป็นไกด์เข้ามาให้ความช่วยเหลือ และส่งภาษากับแท็กซี่ ๆ ก็พยักหน้า เราก็ขึ้นรถคิดว่าถึงที่พักแน่คราวนี้ แต่ที่ไหนได้ มาเทเลยตรงทางขึ้นมหาเจดีย์ชเวดากองช่วงกลาง ทางขึ้นจะมีช่วงกลางเป็นถนน รถสามารถขึ้นไปถึงได้ เราต้องดู Google Map ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ๆ ต้องเข้าไปถามคนโบกรถ เอาโพ้ยให้เขาดู เขากี้ให้เราเดินลงบันไดแล้วเลี้ยวซ้าย ในที่สุดเราก็ถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ อย่างน้อยก็ยังเจอคนดี ๆ ในระหว่างทาง ณ ต่างแดน นี่แระคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทางที่ได้รับเสมอมา วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะค่ะ พรุ่งนี้จะมาต่อวันที่สองคะ
>>> ตอนต่อไป >>> https://pantip.com/topic/37000633