แชร์ประสบการณ์การเรียน ไปสู่ ชีวิตการทำงานที่ไม่ตรงกับที่เรียนมา

สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้เราอยากจะมาแชร์ ประสบการณ์ในชีวิตจริงของเราเอง ที่ผ่านมาตั้งแต่ เริ่มเลือกเรียน และเข้าทำงาน อาจจะเล่าวนไปวนมาหรือไม่ครบขาดตกบกพร่องก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยค่ะ
เหตุผล : ที่นำมาแชร์เผื่อว่าประสบการณ์ชีวิตเราที่ผ่านมาอาจจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นหรือต่อน้องๆที่กำลังจะเรียนจบหรือจบแล้ว ยังไม่มีแนวทางอะไรในการเริ่มทำงาน ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้นะคะ หรือไม่เห็นด้วย ติชมยังไง ก็ขอรับไว้ทั้งหมดค่ะ ไม่มีเจตนาจะอวดอ้างอะไรทั้งสิ้น
ปัจจุบันตอนนี้เราอายุได้ 27ปีกำลังจะเข้า 28 ปี จงเรียกเราว่า “ดาวไถ” (เรียกตามพ่อ)

การศึกษา
เราได้เลือกเข้าศึกษาที่ มหาวิทยาลัยรัฐบาลชั้นนำในจังหวัด ซึ่งมีแค่มหาวิทยาลัยเดียวในจังหวัด...แฮร่ๆ (ด้วยเหตุผลที่ว่า ครอบครัวเรามีฐานะค่อนข้างจะยากจนแต่ไม่ถึงกับย่ำแย่ เรามีพี่น้องทั้งหมดสามคน เราเป็นคนเดียวที่ได้เรียนต่อระดับปริญญา ซึ่งสูงกว่าพี่น้องคนอื่นๆ) เราเลือกเรียน คณะวิทยาการจัดการ สาขาการบริหารทรัพยากรมนุษย์(HR) จะเรียกว่าฝ่ายบุคคลก็ได้ เรียนเกี่ยวกับการจัดการสรรหาคัดเลือก, การอบรม, เงินเดือน,กฏหมายแรงงาน เป็นต้น คือจำได้ไม่หมด (เรียนมานานก็ลืม ฮ่าๆ อาจารย์ที่สอนมาอ่านคงจะเอามะเหงก ลงกระบาลเราเลยละ ลูกศิษย์ไม่เอาถ่านคนนี้) เราใช้ระยะเวลาเรียนในหลักสูตรปกติ 4 ปี ซึ่ง ความจริงเรารีบลงเรียนเก็บหน่วยกิตวิชาเลือก วิชาเสริมเกือบจะครบทุกหน่วยกิตใน 3ปีครึ่ง เพื่อหวังจะได้จบเร็วๆ แต่ทางมหาวิทลัยไม่มีนโยบายให้ นศ.เรียนจบเร็วกว่าหลักสูตร แต่เราลงเรียนวิชาเลือกอื่นๆ ไปจนครบเหลือวิชาหลักแค่ 1-2 ตัวซึ่งก็ต้องลงเรียนในเทอมสุดทายตามกฏของมหาวิทยาลัยตามปกติ ถึงแม้ว่าเราจะเรียนเร็วแต่เราไม่ใช่คนเรียนดีอะไรถูๆไถๆ เกรดเฉลี่ยเราก็ไม่ได้ดีเริศอะไร แต่ก็เกิน 2.5 นะ  คณะการจัดการที่เราเรียน จะเป็นการเรียนที่เกี่ยวการบริหารการจัดการ ตามที่หลายๆ คนเข้าใจกันดี แต่มันก็มีแยกออกไปหลายแบบ ถ้าแบบเฉพาะเจาะจง(อย่างเช่นบัญชี จะเรียนเกี่ยวกับบัญชีโดยเฉพาะเจาะลึกถึงรากเลยทีเดียว) หรือจะรวมๆก็คือการจัดการทั่วไป คือเรียนทั้งหมดเกี่ยวกับวิชาของสาขาอื่นๆในคณะ แต่ไม่ได้เจาะลึกลงไป (ความจริงเราไม่ชอบเรียนการจัดการ เราชอบศิลปะ แต่พ่อแม่กลัวเราไส้แห้งเพราะตอนนั้นเราอาจจะไม่มีคนแนะนำเรื่องการเรียนเท่าไหร่ เลยเลือกเรียนตามที่พ่อแม่ บอก เพราะยังไง ท่านก็ส่งเราเรียน)

การทำงาน

เตรียมสมัครงาน ---- หลังจากเรียนจบ เสร็จธุระเรื่องการเรียนเรียบร้อยรวมทั้งการรับปริญญา (ช่วงนั้นเกิดเรื่องน้ำท่วมครั้งใหญ่ เลยทำให้เรื่องการปริญญาเลื่อนเร็วขึ้น ไม่ต้องรอนาน) พอจัดการทุกอย่างเสร็จ เราก็เริ่มร่าง Resume ประวัติของเรา เนื่องจากเราเป็น นศ. จบใหม่ ไม่เคยมีประวัติการทำงาน ไม่ว่าจะ part-time หรือ Full-time เราก็เลยเขียนเรื่องการฝึกงานลงไปแทน และการเข้าอบรมต่างๆ ตามที่ คณะ หรือ สาขาวิชา มีการจัดอบรม เตรียมเอกสารเริ่มการสมัครงาน เอกสารทุกอย่างเลยคะ สำคัญไม่สำคัญ ยัดๆเข้าไป แต่ของเรา มีไม่เยอะ แต่มีที่เกินๆมาน่าจะเป็น ประกาศณียบัตรของนักศึกษาวิชาทหาร(ร.ด.) (ลืมบอกเราเข้าเรียน ร.ด. หลักสูตร 5 ปี) ที่เราแนบเข้าไปในสมัครงาน เราไม่ได้จะอวดว่าเราเรียนวิชาทหารมาด้วยนะ แต่เราจะบอกเป็นนัยว่า ที่ฉันเลือกเรียนวิชาทหารมาเพราะฉันได้เข้ารับการฝึกฝน ให้มีความอดทน มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา อื่นๆอีกมากมายเพื่อให้บริษัทฯ พิจารณามองเห็นในข้อที่เรากล่าวมา ถ้าใครเคยเรียนจะรู้ว่ามันเข้มข้น......มาต่อดีกว่าไปไกลละ พอเตรียมเอกสารทุกอย่างเรียบร้อยก็เริ่มการหาสมัครงานวิธีของเรา ใช้วิธี walk-in คือเดินเข้าไปสมัครด้วยตนเองเพื่อหวังว่า จะให้เจ้าหน้าที่ HR เห็นหน้าเห็นความตั้งใจจริงของเราที่เราอยากจะทำงานจริงๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วเราก็ได้แค่กรอกใบสมัครและทิ้งเอกสารไว้ที่ป้อม รปภ. หน้าบริษัทเท่านั้น........

ที่ทำงานที่แรกของชีวิต ----- หลังจากหาสมัครงานไม่นาน ไม่ถึงเดือนแต่จำระยะเวลาที่แน่นอนไม่ได้ ก็มีบริษัทฯ แห่งหนึ่งติดต่อเข้ามา ไปสัมภาษณ์งาน เป็นบริษัทเกี่ยวกับโลจีสติกส์ (ตัวแทนนำเข้า-ส่งออก) เรารีบคว้าไว้ก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่า มีงานทำดีกว่าตกงาน ไม่เลือกงานไม่ยากจน แต่ลัษณะงานที่ทำไม่มีอะไรเกี่ยวกับที่เราเรียนมาสักนิด ที่สามารถนำมาปรับใช้บ้างก็มี แต่ไม่ใช่ที่เรียนมาเลย แต่ก็ต้องทำ คือให้กำลังใจตนเองว่า คนเราไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่จะเรียนรู้ ตอนแรกที่ทำงานอาจจะลำบาก เพราะโลจีสติกส์ เค้ามีศัพท์เฉพาะ บางครั้งก็ถึงกับท้อเลย แต่ก็อดทนเพื่อหวังให้ตนเองมีประสบการณ์ในการทำงาน แต่เราก็ได้รุ่นพี่ที่ทำงาน คอยเทรนคอยให้คำแนะนำ และก็เข้าอินเตอร์เน็ตศึกษาด้วยตนเองบ้าง หน้าที่ของเราที่ทำก็ติดต่อสายเรือเพื่อจอง(บุ๊คกิ้ง)พื้นที่ส่งออกให้ลูกค้าตามความต้องการ, ติดต่อกับลูกค้าเพื่อขอรายละเอียดที่จะส่งออก-นำเข้า รวมไปถึงเช่าพื้นที่ในการจัดเก็บสินค้าของลูกค้าเพื่อรอการส่งออกหรือรอส่งต่อ, ควบคุมการบรรจุสินค้าใส่ตู้คอนเทนเนอร์ หรือ ส่งต่อสินค้าไปยังปลายทางตามที่ลูกค้าสั่ง, สิ้นเดือนจัดทำใบแจ้งหนี้เรียกเก็บค่าบริการต่างๆของเดือนนั้นๆ (ส่วนนี้เราเล่าแค่หัวข้อใหญ่ๆนะคะ รายละเอียดมาเยอะมาก เอาพอเข้าใจและเห็นภาพแล้วกันเนอะ) พอทำงานเข้าใจในระดับหนึ่ง เมื่อทำงานครบปี ก็เริ่มมีความคิดอยากจะเปลี่ยนงาน จากความคิดที่ว่าอยากเจออะไรใหม่ๆ อยากไปหาประสบการณ์เพิ่มเติม เมื่อพึ่งจบ ไฟมันก็ยังแรงอยู่ รวมๆทำงานที่แรกได้ ปีครึ่ง ก็บินคะ เมื่อปีกติดขนก็เริ่มบินได้แล้ว (ขอบคุณที่ทำงานแรกที่ให้ประสบการณ์มากมายจัดเต็มเกินร้อย งานเยอะ เหนื่อยเยอะ แต่ก็คุ้มค่ากับประสบการณ์ที่ได้รับ)

ที่ทำงานที่สอง ----- หลังจากเราได้ลาออกจากที่แรก เราได้หางานรอไว้ก่อนแล้ว หรือเรียกง่ายๆว่าได้งานที่ใหม่เป็นที่แน่นอนก่อนถึงเขียนใบลาออก ที่ทำงานที่สองก็เป็นบริษัทฯ ค่อนข้างใหญ่ขึ้นมาเยอะกว่าที่แรก เกี่ยวกับวิศวกรรมการก่อสร้างบริษัทใหญ่ มีคนเข้าทำงานระดับ 1,000 คนขึ้นไปถึง 10,000 คน เราก็เดินทางสายเดิมคือมาสายโลจีสติกส์ ก็มาสายนี้เลย สำหรับที่นี่ เราได้ทำงานเอกสารส่วนใหญ่ จัดเก็บเอกสาร นั่นนี่นู้น ตามแต่ที่หัวหน้างานจะสั่ง และได้ออกไปทำงานข้างนอกบ่อยๆ คือไปท่าเรือ คือติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางท่าเรือเพื่อเคลียร์ปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการดำเนิการส่งออก ที่ทำให้เกิดการติดขัดให้สามารถผ่านไปได้ คล้ายๆ ชิปปิ้ง แต่ไม่100% และทำบัญชีของแผนกส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายการขนส่ง ส่งรายละเอียดเบิกจ่ายให้หัวหน้าและส่งต่อให้บัญชีของบริษัท ที่ทำงานที่นี่ค่อนข้างจะสบายมาก งานไม่เยอะ ไม่จุกจิก นั่นฟินๆ ตาปรือๆ ไป แต่มันทำให้รู้สึกอยากกลับไปทำที่เดิม แต่ก็ทำอยู่ประมาณ 2 ปีกว่าๆ เกือบ 3 ปี แต่ก็ไม่ได้ออกเองนะ บริษัทให้ออกหรือจ้างออกนั่นแหละ เพราะงานหมด(งานโปรเจ็ค) ต้องลดจำนวน พนง. คือเราเป็นอัตราจ้างรายเดือน(เหมาทั้งเดือน) หรือซับคอนแทรค จะให้ออกตอนไหนก็ย่อมได้ ก็โดนจ้างออกตามระเบียบ ได้เงินชดเชย จากบริษัทฯ สามเท่าของเงินเดือน ได้เงินชดเชยคนว่างงานจากประกันสังคม 50% ของเงินเดือน ฐานเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท (คิดง่ายๆว่าถ้าเรามีฐานเงินเดือน 20,000 เค้าก็จะใช้แค่15,000 มาคิด : 15,000*50% = 7,500 แต่ถ้าฐานเงินเดือนไม่ถึง 15,000ก็คิดตามเงินเดือนนั้น นำมาคูณ50% เลย)

......... หลังจากนั้นเราก็ว่างงานไปสักพัก ประมาณ 3 เดือนถือเป็นการพักผ่อนไปในตัว แต่ระหว่างนั้นเราก็กลับบ้านนอกไปช่วยพ่อแม่ทำงาน ทำนา-ไร่ รอได้งานใหม่ ในระหว่างที่เราว่างงาน เราก็สมัครงานไปด้วยนะ แต่รอบนี้สมัครผ่านอินเตอร์เน็ต ผ่านเวบสมัครงานชั้นนำในอินเตอร์เน็ต Jobthai, jobsdb เชิตกูเกิ้ลหาบริษัทที่เปิดรับสมัครงาน ก็มีหลายบริทัษที่โทรติดต่อมา แต่เราก็เลือกปฏิเสธไป (เพราะเงินชดเชยยังไม่หมดฮ่าๆ.....ไม่ใช่.....ยังช่วยพ่อกับแม่ทำงานไม่เสร็จ) พอทำงานช่วยที่บ้านเสร็จก็เริ่มกระตือรือล้นจะไปหางานแบบจริงๆจังๆ ก็หอบตัวเองเข้ามาหางานในพื้นที่อุตสาหกรรมต่อ

ที่ทำงานที่สาม ปัจจุบัน ----- หลังจากกลับมาสู้หางานอีกครั้งมายังไม่ถึงอาทิตย์ ก็มีบริษัทชื่อดังติดต่อมา ให้สัมภาษณ์งาน คือ ทุกคนรู้คำตอบใช่ใหมว่าเรารีบตอบตกลงเลยหลังจากได้สัมภาษณ์  ไม่รู้แหละ คว้าไว้ก่อนละ มีงานมีเงินดีกว่า ไม่มีงานไม่มีเงิน แล้วอดตาย ซึ่งตอนนี้ยังทำงานอยู่กับบริษัทนี้ ก็เกือบจะครบปีแล้วละ เป็นบริษัทฯข้ามชาติ ที่ส่งสินค้าไปทั่วโลก โดยส่วนใหญ่ บางบ้านอาจจะมีผลิตภัณฑ์นี้ หรือบางคนอาจจะพกติดตัวอยู่ก็ได้ ส่วนการทำงานทำในส่วนโลจีสติกส์เหมือนเดิมแต่จะอัพเวลขึ้นมาหน่อยๆ (ไม่ขอลงรายละเอียดนะคะ ด้วยเหตุผลส่วนตัวค่ะ)

สรุปสั้นๆ....ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน

ขอจบการแชร์เพียงเท่านี้นะคะ บทจะจบก็จบไปเลย ไม่ต้องสงสัยอะไรมากค่ะ คือคิดเขียนต่อไม่ออก อิอิ.........
ขอขอบคุณไว้ล่วงหน้าที่เข้ามาอ่านจนจบเพราะยาวมากและหวังว่าจะเป็นประโยนช์ต่อท่านผู้อ่านนะคะ ขอบคุณค่ะ

ปล.1. หวังว่าหลายๆคนจะได้ข้อคิดจากชีวิตเราและนำแนวคิดไปปรับใช้นะคะ
ปล.2.งานที่ช่วยพ่อแม่ทำคือ ขุดมันสัมปะหลัง, ตัด-ปลูกอ้อย เกษตรกรดีๆนี่เอง ^_^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่