คนโสด เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิก เพราะรักคงยังไม่พอ?

การตกหลุมรักใครสักคนไม่ใช่เรื่องยากหรอกนะ แต่ที่มันยากมักจะเป็นช่วงที่รักกันมากกว่า
บางครั้งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมเราเห็นคู่รักที่เหมาะสมกัน รักกันดี แต่ที่สุดก็ต้องมีเหตุให้เลิกรากันได้

รัก คำๆนี้คงอาจคาดหวังอะไรไม่ได้อีกต่อไปถ้าหากรักแล้วไม่มีความเข้าใจกัน มีทัศนคติไม่ตรงกัน แล้วสุดท้ายก็ลงเอยด้วยคำว่า เข้ากันไม่ได้

จะรักใครสักคนมันยากจริงๆหรือ  มันก็ยากนะ มันยากตรงที่ว่าต้องอดทนหลับหูหลับตารักไปทั้งๆที่เขาหรือเธอคนนั้นยังไม่ใช่คนที่ใจตามหา แต่ส่วนใหญ่แล้วรักแล้วก็ยอมได้ทั้งนั้นแหละ ตกกระไดพลอยโจนแล้วนี่นา เขาไม่ได้ผิดอะไรเพียงแต่แค่ยังไม่ใช่เท่านั้น จะถอนตัวก็ยากแล้ว กลัวเสียหน้า กลัวเสียใจ ทั้งๆในใจก็รู้อยู่แล้วว่าทัศนคติไม่ตรงกัน ฝืนไปหวังเพียงสักวันอาจจะจูนกันได้ จะเปลี่ยนเขาได้

จริงอยู่ที่ว่า เราต้องมองข้ามข้อเสียของอีกฝ่าย ให้มองข้อดีเยอะๆไว้ นั่นเป็นใช้กับชีวิตหลังแต่งงานนะ เพราะว่าจะกลับตัวกลับใจก็ไม่ทันแล้ว  ขณะที่คุณยังไม่ได้แต่งงานยังมีโอกาสตัดสินใจนะ
ลองถามตัวเองดู ว่าแค่รักอย่างเดียวพอไหม บางคนก็บอกแค่รักก็พอ บางคนก็บอกไม่พอต้องมีองค์ประกอบหลายๆอย่าง
มันน่าคิดนะ ไม่สิ มันต้องคิดนะ คิดซะตอนนี้เลย ตอนที่ยังโสดๆเนี่ยแหละ ถ้าคุณคิดหลังจากที่ตกลงปลงใจแต่งงานกันไปเรียบร้อยแล้ว อาจจะเสียใจได้นะที่คิดช้าไป
คิดดูนะ เราอยากจะให้ชีวิตเราดำเนินไปทางไหน เป้าหมายคืออะไร คบกันกับคนๆนี้จะช่วยกันทำให้ชีวิตดีขึ้นหรือไม่ หรือแค่อยากลองเสี่ยงดวงดูว่าคบกันแล้วสักวันอาจจะมีชีวิตดีขึ้นมาเองก็ได้งั้นหรือ
ทำไมหลายคู่ๆพอหมดระยะโปร ความรักนั้นก็จืดจางลงไปได้อย่างง่ายดาย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ก็เพราะว่า แค่รักอย่างเดียวมันไม่พอยังไงล่ะ มันยังต้องมีหลายๆอย่างที่ต้องจูนกันให้ได้ เช่นมีทัศนคติที่ตรงกัน ไปในทางเดียวกัน สมมติว่าถ้าคนหนึ่งคิดแต่เรื่องลบๆตลอดเวลากับอีกคนที่คิดแต่เรื่องบวก อยู่ด้วยกันสักสิบปี สุขภาพจิตจะเป็นยังไง คนนึงมองโลกสวยเกินไปกับอีกคนหัวร้อนชอบใช้กำลัง หรือ คนหนึ่งไม่ค่อยชอบพูดแต่อีกคนชอบพาลหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว
คุณคิดว่ารักคำเดียว มันจะไปได้ไกลสักแค่ไหน
แต่มันก็ยากนะถ้าจะให้เฟ้นหา คนที่ใช่และรักไปด้วยพร้อมๆกัน ไม่รู้ว่าในโลกนี้จะมีคนๆนั้นอยู่ไหมด้วยซ้ำ เพราะผู้ชายดีๆมันมีแต่ในนิยาย..ผู้หญิงที่แสนดีเป็นนางเอกก็มีแต่ในละครเช่นกัน
ทำไมมันจึงเหมือนย้อนแย้งกันล่ะ
  ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครเพอร์เฟกร้อยเปอร์เซนต์หรอกนะ ทุกคนมีความแตกต่างกัน ไลฟ์สไตล์อาจจะไม่เหมือนกัน  การใช้ชีวิตร่วมกันก็อาจมีเข้ากันได้บ้างไม่ได้บ้างตามอย่างที่เห็นๆกันในปัจจุบัน แต่สิ่งที่อยากจะพูดถึงคือให้เลือกคนที่มีทัศนคติตรงกันกับตัวเราเอง ถึงแม้ไลฟ์สไตล์จะแตกต่างกันสุดขั้ว แต่ถ้ามีความมุมมองของชีวิตเป็นจุดหมายอย่างเดียวกัน ทัศนคติไปในทิศทางเดียวกัน นี่รวมถึงพฤติกรรมที่แสดงออกด้วยนะ (เพราะทัศนคตินั้นอาจเปลี่ยนกันได้ สร้างกันใหม่ได้  บางทีก็ดูเหมือนไม่ออกว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์หรือว่าเป็นตัวตนของเค้าจริงๆ)
ตัวอย่างคนที่ไลฟ์สไตล์ต่างกันแต่ทัศนคติตรงกันเช่น คุณเป็นคนที่มีนิสัยเงียบขรึม ไม่ค่อยอยากออกงานสังคมเท่าไร แต่แฟนของคุณชอบของแบรนเนม รักความสวยความงาม มักจะให้คุณช่วยเลือกชุดให้ ชวนคุณไปช้อปบ่อยๆ คุณก็อาจจะเอือมๆบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับคิดว่านั่นเป็นปัญหาอะไรใหญ่โต ถึงแม้ว่าคุณกับแฟนไลฟ์สไตล์แตกต่างกันมาก แต่คุณและแฟนต่างก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญและจริงจังกับการทำงานมาก ซึ่งทำให้ต่างก็เข้าใจกันดี และคุณทั้งสองก็เกลียดการนอกใจกันที่สุด ดังนั้นพวกคุณจึงไม่มีปัญหาในเรื่องชู้สาวให้หวาดระแวงเหนื่อยใจ เพราะคุณทั้งสองยึดมั่นถือความไว้ใจกันเป็นหลัก

แล้วจะหาคนที่มีทัศนคติที่ตรงกันได้ที่ไหนล่ะ หาอย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าคนๆนี้มีทัศนคติตรงกับเราหรือเปล่า
หาที่ไหน อันนี้ก็ไม่รู้นะ แต่ก็เคยได้ยินว่าถ้าเราเป็นคนแบบไหน เราก็มักจะเจอคนแบบนั้น คือคนศีลเสมอกันก็มักจะอยู่ด้วยกันได้ อยู่ที่ว่าคุณชอบไปเที่ยวที่ไหน ทำงานอะไร ถ้าไปฟิตเนตล่ะคุณคิดว่าจะเจอคนประเภทไหน ถ้าไปสถานที่อโคจรล่ะจะเจอคนแบบไหน คุณก็ลองคิดดูเองนะ
และเมื่อคุณเจอคนที่ถูกใจ ใช่เลย ก็ยังไม่รู้ได้ทันทีหรอกว่าเธอหรือเขาคนนั้นมีทัศนคติอย่างไร นอกจากจะใช้เวลาด้วยกันเพื่อคบหาดูใจ แต่ระหว่างนั้นคุณหรือเขามีสิทธิ์ถอยไหม ถามจริงๆ ถ้าคุณค้นพบว่าจริงๆแล้วเขาคนนั้นไม่ใช่แบบที่คุณฝันไว้  คุณเลือกที่จะถอยหรือฝืนคบไปต่อดูก่อน อันนั้นก็แล้วแต่คุณนะ

*ทิ้งท้ายไว้ให้คิด
เคยขึ้นรถเมล์กับแฟนคุณหรือยัง ลองดูก็ได้นะ แล้วลองสังเกตดูซิว่าแฟนของคุณเอาตั๋วรถเมล์ซุกใส่กระเป๋ากางเกง หรือว่าเอายัดไว้ใต้เบาะนั่ง
เคยข้ามถนนกับแฟนคุณหรือยัง ผช.จูงมือคุณข้ามไปด้วยกันหรือเปล่า หรือวิ่งนำหน้าไปก่อน
เวลาเดินด้วยกันบนฟุตบาท ผช.เดินฝั่งด้านในหรือด้านนอก เขาห่วงคุณมากแค่ไหน
ลองเวลาที่ลำบากด้วยกันหรือยัง ไปเดินขึ้นภูกระดึงดูสักครั้งแล้วจะได้รู้ว่านิสัยจริงๆของคนนั้นเป็นอย่างไร
เรื่องเล็กๆน้อยๆบางคนอาจคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญนะ แต่สำหรับบางคน เขาอาจจะจำฝังใจหรือประทับใจไปนานแสนนานก็ได้
*ปล.เพิ่มเติมจากจขกท.เอง เมื่อสมัยวัยทีนปี48 ในวันหยุด เราก็นัดพากันไปทานบุฟเฟ่ต์ที่ห้างแห่งหนึ่งกับเพื่อนๆมีทั้งชายและหญิงหลายคน พอไปถึงเราก็นั่งด้วยความปกติ ณ ตอนนั้นนะ เราคิดว่าเราปกตินะแต่ไม่รู้ตัวหรอกว่าทำอะไรเปิ่นๆไปบ้างตามประสาวัยรุ่นตอนปลาย แต่แฟนที่มาคบกันทีหลัง เขาเล่าว่า ตอนนั้นเขามองเราอยู่ เราก็ถามว่าจริงเหรอ เป็นยังไงบ้างเปิ่นๆมั้ย คือตอนนั้นเราย้ายมาจากต่างจังหวัดแค่ไม่กี่ปีน่ะ
เขาบอกว่า เขาเห็นเรามองดูขอบกระจกของร้านแล้วเอานิ้วป้ายขึ้นมาดู แล้วเวลาพนักงานมาจดออเดอร์ เราก็มองวิธีการบริการอย่างตั้งใจ ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆมัวแต่คุย เขาบอกว่าประทับใจแต่แรก เราก็ถามเขาว่า ดูเหมือนเด็กน้อยเข้ากรุงไหม พอดีวันนั้นเห็นเขาแต่งร้านสวยดีและก็สะอาดด้วย ถึงแม้ว่าขอบกระจกอยู่ลึกในซอกก็ยังไม่มีฝุ่นเลย แล้วที่เรามองพนักงานเนี่ย เราก็นึกไปไกลถึงตอนที่เรียนจบถ้าได้เปิดร้านอาหารเองก็คงอยากจะบริการลูกค้าแบบนี้บ้าง
ไม่นึกว่าจะมีคนแอบสังเกต  เขาบอกว่าเขาชอบคนที่ใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยที่คนทั่วไปไม่ค่อยสนใจกัน
เอ่อ เราชอบเก็บขยะยัดใส่กระเป๋ากลับมาทิ้งหน้าบ้าน เช่นขวดน้ำที่ดื่มแล้วหรือกระดาษเช็ดหน้า เปลือกลูกอม แม้แต่หมากฝรั่งที่คายเสร็จก็เก็บไว้มาทิ้งที่บ้าน ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าในกระเป๋าจะมีเศษขยะตลอด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่